อันตรายจากการเลี้ยงสัตว์

by admin

อันตรายจากการเลี้ยงสัตว์

by admin

by admin

ในโลกปัจจุบันนี้มีแฟชั่นหรือมีความนิยมเอาสัตว์เดรัจฉานมาเลี้ยงเป็นเพื่อนบ้าง ขังกรงไว้ดูเล่นบ้าง และบางคนชอบเลี้ยงสัตว์ที่มีพิษร้าย เช่น งูพิษ ตะขาบ แมงป่องช้าง แมงมุมยักษ์ รวมทั้งสัตว์เลื้อยคลานอีกหลายอย่าง โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกาและออสเตรเลีย มีสัตว์แปลก ๆ อยู่มากชนิดที่เขานำมาเลี้ยงกัน


ปัญหาที่เกิดตามมาก็คือ อันตรายจากสัตว์เลี้ยงมีอยู่มาก เช่น เป็นพาหะนำเชื้อโรคต่าง ๆ โรคภูมิแพ้จากพิษของสัตว์ และอุบัติเหตุต่าง ๆ จากสัตว์เลี้ยง ปัญหาหรือทุกข์ซึ่งพวกนี้ไม่เห็น หรือเห็นรู้แต่มีความประมาท ที่สุดแม้ผู้เชี่ยวชาญเองก็ถูกสัตว์เหล่านี้ทำร้าย บางรายก็ถึงตายเลย ก็มีจำนวนไม่น้อย ผมจะไม่เขียนรายละเอียดเพราะเป็นเรื่องทางโลก ซึ่งหาที่สิ้นสุดไม่ได้ เพราะโลกหรือโลกะ พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า คือสิ่งที่นำไปสู่ความฉิบหาย คืออนัตตาในที่สุด เพราะทุกสิ่งในโลกรวมทั้งวัตถุธาตุใด ๆ ในโลก คนสัตว์ ล้วนตกอยู่ภายใต้กฎของไตรลักษณ์ทั้งสิ้น คือ ไม่เที่ยง (เป็นอนิจจัง)ไม่สามารถจะคงทนอยู่ในสภาพเดิม รูปเดิม สภาวะเดิมได้นาน หากผู้ใดไปยึดไปถือเข้า (เพื่อให้มันทรงตัว ให้ทรงอยู่ในสภาพเดิม ฝืนความเป็นจริงของโลก) ก็เป็นทุกข์ (เป็นทุกขัง)เพราะไม่ช้าไม่นานก็เปลี่ยนแปลงไปจากสภาพเดิม จากสภาวะเดิม หรือพังหมด ช้าหรือเร็วเท่านั้น (เป็นอนัตตา) สิ่งที่พบเห็นกันทุกคนก็คืออาหารที่เราสรรหามาบริโภค แปลก ๆ ใหม่ ๆ รสอร่อย ๆ ราคาแพง ๆ บางอย่างก็หายากแสนยากมาบริโภค พอเข้าทางปากผ่านโคนลิ้น ทั้งกลิ่น ทั้งรส ก็อนัตตาให้เห็นได้ทันที และพอถึงพรุ่งนี้ก็ออกมาทางทวารหนัก มีสภาพเหมือนกันหมด ไม่สามารถจะแยกได้ว่าอะไรเป็นอะไร มีสีเดียวกันหมด คือสีเหลือง และมีกลิ่นเหม็นทุกคนไม่มากก็น้อย ผมขอเขียนไว้เป็นแค่ตัวอย่างเท่านี้

สิ่งที่ผมต้องการเน้นก็คือ การเลี้ยงสัตว์ที่ใกล้ชิดคนมากที่สุดก็คือหมากับแมว เพราะสถานการณ์โลกบังคับ คนมีสิทธิเสรีภาพกันมากขึ้น คนแย่งกันเกิด แย่งกันทำงาน แย่งกันหาที่อยู่อย่างอิสระ แย่งกันกิน แย่งกันนอน ทุกอย่างล้วนมีปัญหาหรือเป็นทุกข์ทั้งสิ้น แต่น้อยคน ที่จะเก็บเอามาคิดพิจารณา ตามสถิติคนฝรั่งเศส คนอังกฤษไม่ค่อยจะแต่งงาน มีคนสูงอายุมากขึ้น (คนแก่) มักอยู่คนเดียวโดยเช่าบ้าน หรือคอนโดมิเนียมอยู่กัน ทางเอเชียก็ที่ฮ่องกงมีมากที่สุด เมื่ออยู่คนเดียวก็เหงา จึงหาสัตว์มาเลี้ยงเป็นเพื่อนเป็นส่วนใหญ่หมาและแมว จึงถูกนำมาเลี้ยง กิน นอน เล่น บางรายนอนห้องเดียวกัน และบางรายนอนเตียงเดียวกัน และก็เอากิเลสของตนไปยัดเหยียดให้กับสัตว์ที่ตนเลี้ยง โดยจับมันนุ่งผ้า แต่งตัว มีเสริมสวย สปาออกกำลังกาย แม้อาหารการกินต่าง ๆ ที่ปกติสัตว์ไม่เคยมีกินมาก่อน จึงเกิดธุรกิจในเรื่องนี้ขึ้นมาก ผมก็ขอหยุดไว้แค่นี้ เพราะเป้าหมายของผมไกล ลึก และละเอียดยิ่งกว่านี้มาก

ปุถุชนคนธรรมดาที่จิตยังมิได้ถูกอบรม ย่อมมีกิเลสหนากว่าจิตที่ถูกอบรมแล้วมาก ต้นเหตุเพราะปุถุชนเขาคิดว่าร่างกาย เป็นเขาเป็นของเขา เขาไม่ทราบเรื่องกายกับจิตเป็นคนละส่วนกัน ส่วนพวกชาวพุทธแท้ไม่ใช่พุทธตามสำมะโนครัว ย่อมรู้ดีว่า ร่างกายมันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราคือจิตที่มาอาศัยร่างกายอยู่ชั่วคราวเท่านั้น จิตไม่เคยตายเป็นอมตะผู้ตายคือร่างกาย เมื่อกายตายจิตก็ต้องไปตามกรรมหรือการกระทำที่จิตของตนทำไว้ ทำดีก็ไปดี(สุคติ) ทำชั่ว ก็ไปชั่ว (ทุคติ) และรู้ว่าเมื่อจิตเป็นของเรา เราก็ต้องอบรมมันได้

พระองค์จึงทรงตรัสว่า“จิตที่อบรมดีแล้วย่อมนำสุขมาให้” เป็นต้น ส่วนกายเมื่อไม่ใช่ของเรา เราจึงบังคับมันไม่ได้ เช่น ไม่ให้มันแก่ มันป่วย มันตายไม่ได้ แต่ผู้มีปัญญาเขาชะลอได้หรือบรรเทาได้ด้วยพระธรรม หรือใช้ธรรมโอสถช่วย ผมขอเขียนย่อไว้แค่นี้

ขอเข้าประเด็นอันตรายจากการเลี้ยงสัตว์ต่อ พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า “สภาพจิตใกล้สิ่งไหนเกาะสิ่งนั้น รับสัมผัสสิ่งดีก็ยึดดี รับสัมผัสสิ่งเลวก็ยึดเลว” จุดนี้สำคัญมากตอนใกล้จะตาย จิตเกาะบุญหรือความดีก็ไปสวรรค์ จิตเกาะบาปหรือความชั่วก็ไปนรก ผู้ไม่ประมาทในความตาย จึงซ้อมตายและพร้อมที่จะตายอยู่เสมอ

คนเลี้ยงสัตว์โดยประมาทขาดปัญญา เลี้ยงแล้วส่วนใหญ่จิตจะยึดเกาะสัตว์เลี้ยงเกินพอดี กลายเป็นตัณหา หรือทรงตรัสว่า เป็นความทะยานอยาก อันเป็นสมุทัย ต้นเหตุทำให้จิต เกิดความทุกข์ธรรมข้อนี้พระองค์ทรงเน้นสอนไว้ชัดเจนว่า เป็นธรรมที่ต้องละปล่อยวางให้ได้ เพราะเป็นอริยสัจข้อที่ ๒ 

ผมขอยกตัวอย่างเรื่องจริงสัก ๒-๓ เรื่อง มีความสำคัญโดยย่อๆดังนี้

๑. หลวงปู่บุดดา ถาวโร ท่านบอกว่าพวกชาวประมงส่วนใหญ่ตายแล้วจะเกิดเป็นปลา และปลาก็จะเกิดมาเป็นคน เป็นกำกงกำเกวียนหมุนเวียนไปตามกรรม

๒. ชาวนิวซีแลนด์ซึ่งมีพื้นที่พอๆกับประเทศไทย มีพลเมืองแค่ ๕-๘ ล้านคน แต่มีแกะกว่า ๑๐๐ ล้านตัว ชีวิตของเขาอยู่กับแกะทุกวัน ตั้งแต่เช้าจนกระทั่งนอน หรือมีแกะเป็นที่พึ่ง จิตเกาะอยู่กับแกะตลอดชีวิตเขา ดังนั้น คนที่นั่นส่วนใหญ่ตายแล้วก็ไปเกิดเป็นแกะ ส่วนแกะตายแล้ว ก็จะมาเกิดเป็นคนหมุนเวียนเป็นกงกำกงเกวียนไปตามกรรมเช่นกัน

๓. เมื่อ ๒๐ กว่าปีที่แล้ว มีหญิง ๒ คนตามหาผม ในขณะนั้นส่วนใหญ่ผมจะอยู่วัดมากกว่าอยู่กรุงเทพ จึงไม่พบกันเพราะแคล้วคลาดกัน จนที่สุดเธอตามไปที่วัด ก็ได้พบกัน จุดประสงค์เธอต้องการถามผมว่า เธอเลี้ยงอีเห็นไว้ตัวหนึ่ง กินนอนอยู่ด้วยกันเหมือนเลี้ยงลูก (เธอยังเป็นโสด)ปัจจุบันลูกเลี้ยงของเธอตายไปแล้วเธอทุกข์โศกมาก อยากทราบว่าลูกเลี้ยงเธอตายแล้วไปไหน ขอสรุปสั้นๆว่า ผมตอบเธอว่าไปเกิดเป็นคนแล้ว เพราะจิตเกาะคนอยู่กับคนตลอดเวลา แต่ผมไม่กล้าพูดว่า ตัวเธอนั่นแหละให้ระวัง หากเกิดตายในระหว่างนี้จะเกิดเป็นอีเห็น เพราะจิตผูกพันอยู่กับอีเห็น เกินพอดี

พวกที่ได้มโนมยิทธิแล้วได้ฌาน ๘ ด้วย หากใช้ฌาน ๘ ดูกฎของกรรม ก็จะพบว่า ในปัจจุบันนี้พวกเลี้ยงหมาแมวแบบเป็นเพื่อน เป็นลูกเลี้ยง ตายแล้วจะเกิดเป็นหมาเป็นแมวกันมากโดยเฉพาะชาวต่างชาติ เช่น คนญี่ปุ่นและจีน คนยุโรป ชาวฝรั่งเศสและชาวอังกฤษ เป็นต้น บางคนตายแล้วยังทำพินัยกรรมหรือยกมรดกยกสมบัติให้หมาให้แมวก็มีไม่น้อย (ในสหรัฐอเมริกา มีบ่อยๆ)ก็ขอยกตัวอย่างของจริงไว้เพียงแค่นี้ เพราะหากเขียนรายละเอียด จะเขียนได้ยาวมาก เนื่องจากมีความจริงอยู่ในพระไตรปิฎกอยู่หลายตอน ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้อย่างชัดเจน

วิธีป้องกัน ผมขอแนะนำให้ปิดนรก หรืออบายภูมิ ๔ ให้ได้เสียก่อน เพื่อความไม่ประมาทในความตาย อันเป็นอนาคตธรรม ซึ่งยังมาไม่ถึง จึงหาความแน่นอนไม่ได้ 

การปิดนรก หลวงพ่อฤๅษีท่านสอนไว้ละเอียด และการหนีนรกแบบง่ายๆ ก็แนะนำไว้หลายวิธี ผมจะไม่เขียนให้เสียเวลา กรุณาช่วยตนเองหาอ่านและศึกษากันเอาเอง

ผมขอแนะนำวิธีที่ผมใช้อยู่เป็นปกติ เพราะเป็นคำสั่งของสมเด็จองค์ปฐม มีความสำคัญดังนี้

ทรงตรัสว่า ทุกครั้งที่คุณหมอจะสนทนาธรรม หรือตอบปัญหาธรรมที่ซอยสายลม ให้ปฏิบัติดังนี้

ก่อนสนทนาธรรม ให้คุณหมอเป็นผู้นำ แนะนำทุกคนหันหน้าไปทางพระพุทธรูป แล้วตั้งจิตอธิษฐาน (ในใจไม่ต้องออกเสียง)มีใจความสำคัญว่า

ข้าพระพุทธเจ้าขออธิษฐานจิต ให้สัจจะต่อพระพุทธองค์ว่า ในระหว่างที่สนทนาธรรมกันเป็นเวลา ๓ ชั่วโมงนี้

๑. ข้าพเจ้าของดเว้นไม่กระทำชั่วทั้ง ๕ ประการ คือไม่ฆ่าสัตว์และไม่ทรมานสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่พูดปด (และไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดส่อเสียดนินทาผู้อื่น ไม่พูดเรื่องเหลวไหลไร้สาระ)ไม่เสพสุราและของมึนเมาที่ทำให้สติฟั่นเฟือน

๒. มีจิตมั่นคงต่อพระรัตนตรัย ไม่สงสัยในคำสอนของพระพุทธองค์

๓. ในระหว่างที่สนทนาธรรมกัน เป็นเวลาประมาณ ๓ ชั่วโมงนี้ ความตายอาจเกิดขึ้นกับเหล่าข้าพระพุทธเจ้าก็ได้ เพราะความตายเป็นของเที่ยง แต่ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง เพียงหายใจเข้าแล้วหายใจออกไม่ได้ ความตายก็เกิดขึ้นแล้ว

๔. ในปัจจุบันนี้ข้าพระพุทธเจ้าเห็นทุกข์ เห็นโทษ เห็นภัยจากการเกิดมามีร่างกายซึ่งไม่เที่ยงแล้ว โดยไม่สงสัยในธรรม ๕ ประการที่พระองค์ทรงแนะให้พิจารณาบ่อย ๆ อยู่เนืองๆ คือ เรื่องการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจ และมีความปรารถนาไม่สมหวัง ล้วนเป็นทุกข์ ทุกภพทุกชาติที่เกิดมาไม่มีทางพ้นจากทุกข์ทั้ง ๕ ประการนี้ไปได้ จึงไม่ปรารถนาที่จะเกิดมาพบกับความทุกข์ทั้ง ๕ ประการนี้อีก ขันธ์ ๕ หรือร่างกายตายไปเมื่อไหร่ ข้าพระพุทธเจ้าก็พร้อม เพราะซ้อมตายและพร้อมที่จะตายอยู่เสมอ ตามที่พระพุทธองค์ทรงแนะนำไว้ พร้อมที่จะเอาจิตขึ้นไปสู่แดนพระนิพพาน อยู่กับพระพุทธองค์และหลวงพ่อฤๅษีบนพระนิพพานอย่างถาวร นิพพานสุขขัง

ที่ผมเขียนไว้ยาวและละเอียด ก็เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจ เพราะบุคคลที่เกิดมามีจริตนิสัยและกรรมแตกต่างกันมาก และไม่เสมอกันตามกรรม หรือบารมี อันเป็นกำลังใจที่สะสมกันมาไม่เท่ากัน แต่สำหรับคนที่มีปัญญามาก ไม่จำเป็นจะต้องอธิษฐานยาวนักก็ได้เพียงใช้หลักทั้ง ๔ ข้อ อันเป็นอุบายในการตัดสังโยชน์ ๓ ข้อแรกเท่านั้นเอง คือ 

๑. ตัดสักกายทิฏฐิ ว่าร่างกายนี้มันไม่ใช่เรา มันไม่ใช่ของเรา อารมณ์ขั้นต้นก็คือไม่ประมาทในความตาย รู้ตัวอยู่เสมอ และยอมรับความจริงว่า คนเราทุกคนเกิดมาแล้วจะต้องตาย ไม่ช้าก็เร็วตามกรรมที่ตนเองทำเอาไว้เองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

๒. มีจิตมั่นคงในพระรัตนตรัย ไม่สงสัยในพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์

๓. มีศีล ๕ ข้อเต็ม และบริสุทธิ์(แม้ชั่วคราวในระหว่างที่ปฏิบัติธรรม สนทนาธรรม หรือระหว่างที่สวดมนต์ไหว้พระทุกครั้ง)

๔. จิตเห็นทุกข์ เห็นโทษ เห็นภัย จากการเกิดมามีร่างกายอย่างชัดเจนแล้ว ไม่ปรารถนาจะเกิดมาพบความทุกข์เช่นนี้อีก ขันธ์ ๕ หรือร่างกายตายเมื่อไหร่ ก็พร้อมที่จะไปพระนิพพานเมื่อนั้น (คือมีจิตเบื่อกาย เบื่อเกิด คือ อารมณ์นิพพิทาญาณนั่นเอง)

สำหรับผู้มีปัญญามาก ผมขอสรุปสั้นๆ ว่ามี มรณานุสสติ บวกอุปสมานุสสติ และมีศีลบริสุทธิ์เท่านั้น (ศีลานุสสติ) เท่านั้น ก็พ้นนรกได้อย่างถาวร เพราะผู้ใดมีอนุสติทั้ง ๓ ข้อนี้ทรงตัวอยู่กับจิตแล้ว ผู้นั้นก็มีอารมณ์ของพระโสดาบัน กันนรกหรืออบายภูมิ ๔ ได้อย่างถาวร (ทรงตัวไม่มีเสื่อมอีกต่อไป)

หมายเหตุ

ก) ผู้ที่มีจิตที่มั่นคงในพระรัตนตรัย ก็คือผู้มีศีลานุสสตินั่นเอง
ข) เพราะบุคคลผู้มีปัญญาทางพุทธย่อมรู้ดีว่าศีลมีอยู่แล้วในตนทุกคน ไม่จำเป็นต้องไปขอศีลจากพระอีก ผู้ใดไปขอศีลจากพระ ก็คือคนยังไม่มีศีล เป็นศีลจน มาวัดหรือพบพระทีใดก็ขอศีลทุกทีผู้มีปัญญารู้ว่าตัวเจตนาที่จะงดเว้นไม่กระทำกรรมชั่วคือศีล จิตจะยกเว้นทั้ง ๕-๘-๑๐ หรือ ๒๒๗ ก็ขึ้นอยู่ที่ข้อนี้ข้อเดียวจึงรักษาศีลได้เบาๆไม่หนัก ไม่สงสัยในธรรมที่ตนเองปฏิบัติ
ค) ผู้มีศีลานุสสติ ก็คือผู้มีจิตมั่นคงในพระรัตนตรัยนั่นเอง หรือผู้มีจิตมั่นคงในพระรัตนตรัย ก็คือผู้ไม่สงสัยในพระธรรมคำสั่งสอน ของพระพุทธองค์ หรือบาลีเรียกวิจิกิจฉา นั่นเองธรรมในพุทธศาสนาเกี่ยวเนื่องกันหมด ถ้าเข้าใจจริงหรือมีปัญญา
ผมก็ขอจบไว้เพียงเท่านี้ เพราะยิ่งเขียนก็ยิ่งยาวออกไปเรื่อยๆ เพราะธรรมในพุทธศาสนาเกี่ยวเนื่องกันหมด ตามที่กล่าวแล้วเหตุเพราะจิตยังไม่หมดกิเลส ยังมีอารมณ์ปรุงแต่งอยู่ ยังติดดียังติดบุญอยู่ จึงยังฟุ้งดีอยู่เป็นธรรมดา ยังมีอารมณ์ปรารถนา ไม่อยากให้ผู้อื่นที่ยังมีปัญญาทางพุทธน้อยต้องตกนรก หรืออบายภูมิ ๔ โดยไม่จำเป็นเพราะจิตมีสภาวะรู้กับเร็ว ให้เขารู้อย่างไรจนชิน (จิตเป็นฌาน)จิตเขาก็เร็วไปตามนั้น จิตเกาะบุญเกาะความดีก็ไปดีสู่สุคติ จิตเกาะบาป เกาะความชั่ว ก็ไปชั่วสู่ทุคติ จิตเกาะแมว เกาะหมา ก็ไปเกิดเป็นหมา เป็นแมว จิตเกาะพระพุทธเจ้า เกาะหลวงพ่อฤๅษี ก็ไปอยู่กับพระพุทธเจ้ากับหลวงพ่อฤๅษี 
ให้ผู้อ่านบทความนี้แล้วนำไปคิดพิจารณาด้วยปัญญาของตนให้ดีๆ กรรมใครกรรมมัน ผมมีความปรารถนาดีต่อทุก ๆ คน ให้ใช้ธรรมจากกาลามสูตรที่พระองค์ทรงตรัส(สอนเดียรถีย์สองคน ซึ่งมาขอให้พระองค์ตัดสินปัญหาให้กับพวกเขา) ไว้เป็นหลักพิจารณา เนื่องจากบทความนี้ผู้เขียนยังไม่จบกิจในพระพุทธศาสนา ย่อมยังมีกิเลส ตัณหา อุปาทาน และอกุศลกรรมอยู่เป็นธรรมดา (แต่หากเป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว ก็ให้เชื่อได้เลยโดยไม่ต้องสงสัย) ส่วนหลัก ๑๐ ข้อในกาลามสูตรนั้น พระองค์ทรงแนะให้ใช้สำหรับผู้ที่ยังไม่จบกิจในการตัดกิเลสหรือพวกนอกศาสนา ซึ่งก็คือเดียรถีย์นั่นเอง
เช่น สอนธรรมทางพุทธศาสนาว่า นรกสวรรค์ไม่มีหรอก พรหมเทวดาไม่มี คนตายแล้วไม่เกิดหรือนิพพานก็สูญ ซึ่งเป็นการสอนตรงกันข้ามกับพระพุทธเจ้าโดยตรง ๑๐๐% ฟังแล้วควรใช้หลัก ๑๐ ข้อในกาลามสูตร เป็นหลักสำคัญในการตัดสิน เพราะเขาค้านคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าโดยตรง ผมจึงต้องขออาราธนาบารมีของพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ขอให้ท่านผู้อ่านบทความนี้แล้ว จงโชคดีพ้นนรกได้ในชาติปัจจุบันนี้ด้วยกันทุกๆท่านเทอญ

หมายเหตุ

เพื่อให้ผู้ศรัทธาในบทความนี้เข้าใจดียิ่งขึ้น ผมขอแนะนำให้ท่านอ่านคิริมานนทสูตรฉบับพกพา ซึ่งมีผู้ศรัทธาหลายท่านพิมพ์แจกไปแล้ว ประมาณสี่หมื่นเล่ม ทรงตรัสสอนโดยสมเด็จพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ซึ่งมีหลักคำสอนง่ายๆ ๑๐ ข้อ แล้วท่านจะเข้าใจดีและหมดสงสัยเรื่องนรก สวรรค์ นิพพาน ตายแล้วต้องเกิดตามกฎของกรรมที่ตนเป็นผู้กระทำไว้ วิธีหนีกรรม หนีหรือพ้นจากกฎของไตรลักษณ์ตามลำดับ จนเข้าสู่แดนพระนิพพาน ตรัสสอนไว้ชี้แนะวิธีไว้ชัดเจน ส่วนการปฏิบัติเพื่อให้เกิดผล อยู่ที่ความเพียรของพวกเราเอง ผู้มีปัญญา ย่อมใช้เวลาทุกนาทีให้เกิดประโยชน์ ไม่ประมาทในความตาย เช่น การจราจรติดขัดมาก ก็ภาวนาพุทโธ กำหนดรู้ลมหายใจเข้า-ออก สวดมนต์ในใจตลอดทาง ยกเอาพระธรรมบทใดบทหนึ่งขึ้นมาพิจารณาให้เกิดปัญญา หรือเอาธรรมฉบับพกพาขึ้นมาอ่าน เพราะธรรมภายนอกไม่สามารถจะแก้ไขได้ ทรงให้แก้ที่ตนเองอันเป็นธรรมภายใน เป็นการฝึกจิตให้สู่อารมณ์พระนิพพานโดยตรง ขอให้ผู้อ่านแล้วนำไปปฏิบัติอย่างจริงจังจงโชคดีทุกคน

คัดลอกจาก…. หนังสือ“ธรรมนำไปสู่ความหลุดพ้น” เล่ม ๓
รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน 

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Top