การรับรู้สภาวะที่แท้จริง ของร่างกายในธรรมปัจจุบัน คือ อริยสัจ

by admin

การรับรู้สภาวะที่แท้จริง ของร่างกายในธรรมปัจจุบัน คือ อริยสัจ

by admin

by admin

การรับรู้สภาวะที่แท้จริง ของร่างกายในธรรมปัจจุบัน คือ อริยสัจ

เมื่อวันพฤหัสบดี 15 ก.ค. 2536 สมเด็จองค์ปฐม ทรงพระเมตตามาสอนไว้ดังนี้

1.การรู้สภาวะที่แท้จริงของร่างกายในธรรมปัจจุบัน คือ อริยสัจ เป็นทุกขสัจที่พระอริยเจ้าจักต้องยอมรับนับถือ สภาวะที่แท้จริงของร่างกายไม่มีใครเขาฝืนมันได้ ยิ่งฝืนมากเท่าไหร่ ยิ่งทุกข์มากเท่านั้น ร่างกายเป็นไปตามสภาวะปกติของมัน คือ ทำงานหนักเกินกำลัง มันก็เสื่อมโทรมให้เห็นปรากฏชัดเจน เป็นเวทนาอยู่ภายใน หากจิตรับทราบเวทนานั้นแล้ว วางป็นสังขารรุเบกญาณ คือยอมรับสภาพของร่างกายขณะนั้นๆ จิตก็ไม่จักดิ้นรอเพื่อให้พ้นจากสภาวะนั้น ซึ่งไม่มีใครพ้นไปได้ เมื่อยอมรับจิตก็จักมีความสุข ด้วยความเห็นร่างกายนี้ มีความเสื่อมไปตามปกติของมัน

2.ประการสำคัญต้องรู้อยู่เสมอว่า ร่างกายนี้มิใช่เรา มิใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย น่างกายไม่มีในเรา จิตก็จักผ่อนคลายจากความยึกเกาะในเวทนานั้น ดังนั้นการกำหนดรู้ว่าร่างกายเสื่อมนั้นเป็นของจริง จิตก็ควรจักยอมรับความจริงนั้นๆ

3.ในเมื่อรู้ก็สมควรพัก ดูความเสื่อมและเห็นความดับไปของความเสื่อมนั้น เมื่อร่างกายได้พักพอสมควรแล้ว ก็จักเห็นความไม่เที่ยงของร่างกายอย่างชัดเจน

4.บุคคลผู้รู้จริงจักไม่ฝืนสภาพร่างกาย กล่าวคือไม่มีความเบียดเบียนร่างกายจนให้เกินไปกว่ากฎธรรมดา (ผู้เห็นทุกข์จริงจะไม่ฝืน และไม่เพิ่มทุกข์ให้แก่ตนเอง)

5.กฏธรรมดาคืออะไร อย่างร่างกายแก่ก็ไม่ฝืนความแก่ อย่างสตรีแก่แต่ไม่ยอมแก่ ไปผ่าตัดเสริมสาว ทำร่างกายเจ็บปวดก้เป็นการเบียดเบียน หรือ คนเจ็บป่วยมีหนทางรักษา แต่ฝืนกฎธรรมดาไม่ยอมรักษา ไม่ยอมใช้ยา ไม่ยอมไปหาหมอ ก็เบียดเบียนร่างกาย อย่างร่างกายเสื่อม ต้องการเปลี่ยน อิริยาบถ จิตไม่รู้เท่าทัน ถือทิฏฐิ นั่งนาน ยืนนาน เดินนาน นอนนาน ก็ฝืนกฏธรรมดา คือการเบียดเบียนร่างกายเช่นกัน

6.คำว่าสังขารุเบกขาญาณ ต้องแปลว่า วางเฉยอย่างรู้เท่าทันในกองสังขารทั้งปวง คือ ยอมรับกฎธรรมดาอัน เป็นจริงของสภาพร่างกาย

7.อย่าคิดว่า เกิดมาชาตินี้ ขอมีร่างกายเป็นชาติสุดท้าย แล้ว ตะบี้ตะบันใช้งานมันไปอย่างไม่มีปัญญา ร่างกายถูกเบียดเบียนเท่าไหร่ จิตอาศัยเป็นเครื่องอยู่ ก็จักมีเวทนาที่ถูกเบียดเบียนเท่านั้น

8.จักต้องรู้จักกฎธรรมดาของร่างกาย จิตจึงจะเป็นสุขได้ ยกตัวอย่างง่ายๆ ร่างกายมันมีความสกปรก ต้องอาบน้ำชำระล้างทุกวัน จิตเหมือนในบ้าน บ้านสกปรกตามกฎธรรมดาของโลก ถ้าไม่เช็ดไม่ล้างไม่ถูให้อาด คนอยู่จักหาความสบายใจได้หรือไม่ ร่างกายเช่นกัน กฎของธรรมดาเป็นอย่างนั้น ถ้าเราฝืนธรรมดาไม่อาบน้ำให้มัน จิตก็ทุกข์ไม่สบายใจเช่นกัน

9.นี่คือธรรมในธรรมของร่างกาย ที่เจ้าจักต้องศึกษาเรียนรู้เพื่อก้าวไปสู่อารมณ์สังขารุเบกขาญาณที่ถูกต้องโดยไม่ฝืนกฎธรรมดาของร่างกาย

10.จำไว้ธรรมของตถาคต ต้องเป็นไปเพื่อการไม่เบียดเบียน ทั้งร่างกายและจิตใจ ยอมรับกฎของธรรมดาของร่างกายและจิตใจ เช่น
ก) ทุกข์ของร่างกาย หรือ โรคของร่างกาย ระงับได้ก็พึงระงับอย่างรู้เท่าทัน
ข) ทุกข์ของจิตใจ หรือโรคของจิตใจ อันได้แก่สังโยชน์ 10 ก็จักต้องรู้กำหนดรู้กฎของธรรมดาของอารมณ์ที่ยังสังโยชน์นั้นๆ เห็นการเกิดดับไปของอารมณ์สังโยชน์นั้นๆ แล้วพึงอาศัยพระธรรมคำสั่งสอนของตถาคต เป็นยารักษาโรคหรือทุกข์ของจิตใจ ให้หายขาดจากโรคนั้นๆ 

11.อารมณ์กำหนดรู้จักต้องมี รู้ร่างกาย รู้จิตใจ รู้ระงับ รู้รักษา ให้ตรงจุดที่เป็นโรค จิตก็จักเป็นสุข หมดความเบียดเบียนทั้งร่างกายและจิตใจ

ธรรมะที่นำไปสู่ความหลุดพ้นเล่มที่ 6
พระราชพรหมยานมหาเถระ หลวงพ่อฤาษีลิงดำวัดท่าซุง

รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน จากหนังสือ ธรรมที่นำสู่ควาหลุดพ้น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Top