เยือนนครพิงค์
สวัสดีท่านผู้อ่านทุกท่าน วันนี้วันที่ 1 กรกฏาคม 2557 เวลา 24.10น. ห่างหายไปสองเดือนเศษก็เห็นว่ามีคนมารออ่านมากมาย ต้องขอบอกว่าสองเดือนที่ผ่านมานี่ไม่ค่อยจะว่างซักเท่าไหร่ ลงใต้ขึ้นอีสานยันนครพิงค์ สะสางงานเก่าที่ค้างไว้ก็เลยไม่มีโอกาสเหมาะๆมานั่งเล่านั่งพิมพ์ อีกทั้งบริวารคู่ใจดันมาตีจากลาออกไปเผชิญโลกกว้างก็เลยเหนื่อยหนัก อีกทั้งเริ่มต้นทำธุรกิจใหม่อีกก็เลยเหนื่อยทวีคูณ การเป็นมนุษย์นี่มันช่างยากช่างเย็นแสนลำเค็ญแท้ ช่วงนี้ก็เป็นช่วงถือศีลอดของมุสลิมทั่วโลก ทั้งโคตรผมก็ถือบวชกันหมดแต่ผมนี่ดิประเดิมมาถวายหลวงพ่อกับหล่อพระเสียหนิ ก็ผ่านไปด้วยดีกับโครงการหนึ่งอำเภอเจอหลวงพ่อ ณ วัดเจดีย์หลวงวรมหาวิหาร อ.เมือง จ.เชียงใหม่ การนี้จะไม่สำเร็จด้วยดีหากขาดความเมตตาของพระอาจารย์จิรวัตร รวมไปถึงพี่หมูแห่งช้างเผือกที่เป็นธุระจัดแจงนิมนต์อันเชิญรูปหล่อหลวงพ่อขึ้นไปให้ ผมและคณะหลวงพ่อตามกลับต้องกราบขอบพระคุณทั้งสองท่านสุดหัวใจ การมานครพิงค์ครั้งนี้ก็ได้มีโอกาสมาร่วมงานหล่อพระที่สำนักศาลาพุทธปฐม อ.ดอยสะเก็ดอีกงานนึง แหมเห็นท่านที่มาร่วมหล่อพระร่วมแรงร่วมใจด้วยกำลังกายกำลังทรัพย์ก็ทำให้เราอดที่จะอิ่มใจเสียมิได้
คณะผมก็มากันจากกรุงเทพบ้างก็อยู่เชียงใหม่ บ้างก็อยู่ต่างประเทศก็ยังฝากเงินมาร่วมทำบุญกันเป็นจำนวนมากก็ขอโมทนาร่วมยินดีในกุศุลที่พวกเราสร้างร่วมกัน โดยงานบุญวันแรกก็เป็นงานถวายรูปหล่อเท่าองค์จริงของพระราชพรหมยาน ณวัดเจดีย์หลวงวรมหาวิหาร อ.เมืองเชียงใหม่ ความจริงผมตั้งใจไว้ตั้งแต่ปีที่แล้วแต่ด้วยภารกิจและอุปสรรคในการขนส่งก็ทำให้ต้องเลื่อนมาตลอด มาได้ฤกษ์ได้ยามก็ช่วงนี้ประจวบเหมาะกับงานหล่อพระที่สำนักศาลาพุทธปฐม นี่ก็สองบุญใหญ่ คณะผมร่วมกับคณะพระอาจารย์จิรวัตรแห่งไตรตรึงษ์นครและชาวนครพิงค์กลุ่มช้างเผือก นัดหมายกันไว้ช่วงเช้าเก้าโมง วันนั้นพอดีว่าพระคุณเจ้าท่านมีกิจนอกวัดเลยต้องประสานกับทางพระเลขาแทนแต่ก็ผ่านไปได้ด้วยดี ทุกท่านอิ่มใจในบุญกันถ้วนหน้าพอจบกิจช่วงเช้าคณะของพระอาจารย์ก็มาชวนไปสำนักพุทธปฐมกันช่วงบ่าย ไอ้เราก็ว่างพอดีก็ไปกันทั้งคณะครั้งนี้ผมเตรียมแผ่นดวงของท่านที่มาร่วมทริปนำมาบรรจุด้วย พอมาถึงก็พบกับคณะของอ.ภุชงค์แห่งป่าซางกำลังทำงานกันอยู่หลังพูดคุยทักทายกันเรียบร้อย ท่านก็บอกว่าถ้าผมจะบรรจุแผ่นทองอะไรต่างๆก็เชิญได้เลย เพราะเดี๋ยวจะเริ่มผสมปูนเทกันต่อผมจึงกราบขอขมาพระที่ฐานก่อนแล้วปีนขึ้นไปเพื่อบรรจุแผ่นดวง
ช่วงนี้เป็นช่วงสำคัญอย่างยิ่งที่ผมจะนำแผ่นดวงของทุกท่านที่ร่วมทริปของเราทั้งหมดที่ผ่านมา ผมถอดอทิสมานกายขึ้นไปบนวิมานตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก อยู่จนใจเบาโปร่งและเห็นภายในวิมานชัดเจนแจ่มใสดีแล้วจึงขึ้นไปกราบสมเด็จองค์ปฐมบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งก็เป็นเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมาคือองค์ท่านใหญ่มากตัวผมนี่เล็กจิ๋วเดียวผมก้มกราบท่านอย่างเช่นทุกครั้ง ท่านถามผมว่าวันนี้มาได้มีอะไร ผมกราบทูลท่านขอฝากดวงชะตาลูกหลานไว้กับพระองค์ท่าน ท่านยิ้มน้อยๆ แล้วแผ่นดวงก็ลอยขึ้นไปจากนั้นผมกราบลาท่านลงมาที่กายเนื้อที่ยืนเกาะพระพุทธรูปอยู่ ผมอาราธนาบารมีสมเด็จองค์ปฐมและพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์เป็นประธาน ท่านปู่ท่านย่า ท่านท้าวมหาราชเป็นทิพญานในการอธิฐานจิตแห่งเรา “ข้าพเจ้าขอตั้งจิตอธิษฐาน ขอเหล่าเทวดาทั้งหลาย พรหมทั้งหลาย โปรดเมตตาจดจำชื่อบุคคลทั้งหมดนี้ หากแม้นวันใดพวกเขาออกไปในมิจฉาทิฏฐิขอเหล่าท่านจงดึงพวกเขากลับมาในสัมมาทิฏฐิ และหากแม้นว่าท่านเหล่านี้ประกอบกิจอันเป็นสัมมาทิฏฐิแล้วไซร์ ขอเหล่าเทวดาพรหมทั้งหลายได้ร่วมโมทนาในกุศลผลบุญที่ได้ทำไปด้วยเถิด” ต้องขอบอกว่าเทวดาพรหมที่มานั้นมีมาก เดาๆจากที่เห็นก็น่าจะหลายพันองค์ มีทั้งที่ผมรู้จักและไม่รู้จัก ผมว่าท่านที่อยู่ในเหตุการณ์และได้มโนมยิทธิก็คงเห็นเช่นเดียวกับผม แต่ท่านที่ไม่ได้มโนมยิทธิก็จะเห็นพระอาทิตย์ทรงกลดแทน เหตุที่เหล่าเทวดามากันมากมายนักก็ไม่ใช่ว่าผมเป็นผู้วิเศษหรือเก่งกาจอะไร แต่การกิจที่พวกเราร่วมทำนั้นเป็นมหาบุญมีอานิสงส์มากมายยิ่งนัก หลังจากนั้นก็เริ่มผสมปูนหล่อพระกันต่อ ผมอยู่พักหนึ่งก็เดินทางกลับ
มาถึงวันพิธีก็มีการบวงสรวงกันเวลา 9โมงเศษ ผมด้วยความที่ปวดหลังปวดคอเพราะขับรถมากก็ไปแอบหลบตามมุมต้นไม้ พระอาจารย์จิรวัตรเห็นเข้าก็เรียกให้เข้าไปในพิธี นั่นมั้ยได้เรื่องจนได้ ผมก็ไปนั่งบริเวณฐานพระในช่วงที่อ.ภุชงค์ท่านบวงสรวง ท่านก็เชิญของท่านไปไอ้เราก็มองไปใครมามั่ง ซักพักมีเทวดาแต่งกายเต็มยศ เครื่องทรงสวยงามเป็นสีทองระยิบระยับมายืนห่างจากที่ผมนั่งราว 2 เมตร ท่านบอกว่าคุณใจคอคุณจะนั่งท่านี้รึ ผู้ใหญ่มากันเยอะคุณไม่เห็นรึ เอาเข้าแล้วสิ ผมฟังก็นะแทบจะลงมานอนกราบกรานที่พื้นดิน จากนั่งชันเข่าบนฐานพระกลายมาพับเพียบเรียบร้อยกับพื้นดินหน้าโต๊ะบวงสรวงเสียหนิ แหมหลังก็เจ็บแต่ก็นะท่านพูดซะแทบแทรกแผ่นดินหนี ผมก็นั่งท่าเดียวอยู่นานจนขาชาไม่มีความรู้สึกว่ามีขา ก็คงไม่ต้องเล่าว่าใครมาบ้าง เพราะมากันมากพอผู้ใหญ่กลับก่อนกลับท่านหันมามองแล้วยิ้มน้อยๆ แหมเห็นท่านยิ้มให้ก็ใจสบายว่าแต่ลืมกราบลาท่านเพราะมัวแต่มองเพลิน หลังพิธีบวงสรวงเสร็จสิ้นก็ร่วมเทปูนหล่อพระกันจนเสร็จสิ้น กลุ่มเราก็นั่งคุยกันตามประสาไปเรื่อยก็มีหลายท่านมาพบมาทักทาย ผมก็แนะนำไปตามประสาคนบ้าๆบอๆส่งเดชไปเรื่อยเปื่อย ถ้าท่านผู้ฟังวันนั้นบ้าๆบอๆเหมือนกันก็คุยกันรู้เรื่อง ส่วนคนมาใหม่นี่ก็คงจะงงกับคณะเรา
ผมคิดว่าผมนี่ก็แปลกนะไอ้เวลาจะดูชาวบ้านแนะคนนู้นบอกคนนี้มันไม่เหมือนช่วงแรกๆ พูดแบบเข้าใจง่ายๆก็คือมันไม่ต้องตั้งหลักมากคุยๆไปนี่นึกอยากจะรู้ว่าตนนั้นคนนี้ติดขัดแบบไหนยังไงมันก็รู้และเข้าใจอธิบายความได้โดยที่เจ้าตัวไม่ต้องถาม บางครั้งหลายท่านถามนิดเดียวผมก็เข้าใจคำถามแล้วอธิบายยาวเป็นชั่วโมงจนเจ้าตัวเข้าใจหายสงสัย บางคนถามผมว่าทำไมวิมาน ถามแค่นี้เองนะผมรู้แล้วว่าเขาอยากทราบว่าอะไร บางทีมันอัศจรรย์ใจเหมือนกัน สิ่งนึงที่ผมคิดแต่ไม่เคยบอกก็คือ พอกลับมาอยู่คนเดียวก็จะคิดถามตัวเองตลอดว่า นี่กูเดาแม่นขนาดนั้นเลยหรอ เที่ยวไปเสือกรู้เรื่องคนอื่นเข้าใจคนอื่นไปเสียหมด แล้วตัวเรานี่ล่ะเข้าใจตัวเองบ้างรึยังอันนี้ก็ยิ่งสำคัญมัวแต่สนใจชาวบ้านรึยังไงล่ะ พูดเรื่องนี้ก็นึกถึงเรื่องนึงจะเล่าให้อ่านก็คงไม่เหมาะเพราะเกี่ยวกับพระสงฆ์ ก็ขอยกไว้เป็นการภายในไม่เป็นสาธารณะจะดีกว่า เอาเป็นว่าการที่ท่านเป็นสงฆ์กิจบางอย่างไม่เหมาะสมและเป็นการสร้างกรรมกับผู้อื่นซึ่งเป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อนท่านก็ควรจะทราบได้ด้วยตัวท่านเอง การที่ท่านไปทักไปทายคนนั้นป่วยเป็นโรคนั่นโรคนี่ หรือผีเปรตอสูรกายเข้าสิงอะไรเทือกนี่ก็ต้องดูเสียก่อนนะ บางอย่างผมคิดว่ามันก็ไม่ใช่อย่างที่ท่านเห็นเสมอไป มีพระหลายรูปครับที่มาขอคำแนะนำจากผม ตรงนี้ผมต้องขอบายนะ บอกตรงๆว่าอย่ามาถามผมเลยท่านควรปฏิบัติด้วยตัวท่านเองหรือท่านติดขัดก็ควรจะถามพระอาจารย์ของท่านไม่ใช่มาถามผม เพราะผมยังเลวอยู่มากและมิอาจสอนใครได้เพราะตัวเองยังหาดีไม่เจอ ขอบ่นหน่อยแล้วกันนะเพราะอึดอัดใจและไม่สบายใจจริงๆที่อยู่ๆจะมาให้ผมแนะนำพระสงฆ์ ทำเอาคิดมากไปหลายวัน
มาว่าเรื่องของเราก็ต่อดีกว่าขืนไม่จบเดี๋ยวก็ไม่พ้นปากนรกกันทั้งคนเขียนและผู้อ่านจะพากันกอดคอลงไปเที่ยวเล่นข้างล่างกันเสีย แต่ก็นะเพราะทุกวันนี้มันก็มีดีและไม่ดีปะปนกันไป ระหว่างที่เล่าอยู่นี่ผมก็ยังอยู่ยั้งนครพิงค์ อยู่ยาวพออยู่ยาวก็ได้สงเคราะห์คนนั้นนิดคนนี้หน่อยเป็นการเฉพาะ หลายท่านต้องการให้มีทริปช้างเผือกอีก ส่วนผมก็ขี้เกียจ รึยังไงเอาเป็นว่าไม่มีเวลาดีกว่า แต่ท่านทั้งหลายก็ยังหาที่ฝึกได้นะมีหลายท่านแนะนำหรือสอนกันอยู่ไม่จำเป็นต้องมาหาผม แต่ถ้าท่านไปทุกที่แล้วยังไม่ได้เรื่องได้ราวก็น่าคิดว่าท่านคงจะยังไม่ตั้งใจพอรึเปล่า หรือถ้าตั้งใจแล้วแต่ยังไม่ได้ อันนี้ผมก็จะดูให้ว่าติดตรงไหนยังไง ส่วนจะมีทริปช้างเผือกมั้ยอันนี้ไม่รับรอง ค่อยว่ากันอีกทีก็แล้วกัน
ระหว่างอยู่ยั้งนครพิงค์ผมก็สืบเสาะจนได้พบโรงหล่อเรซิ่นที่คิดว่าอนาคตเราจะหล่อหลวงพ่อเป็นเรซิ่นในโครงการหนึ่งอำเภอเจอหลวงพ่อ เนื่องจากมีน้ำหนักเบากว่าปูนมากจะได้ง่ายต่อการขนส่ง แบบไปสองคนก็ยกถวายกันได้ก็จะมีความสะดวกและคล่องตัวดี ไว้จะมาบอกกล่าวเล่าความคืบหน้ากันในโอกาสต่อไป สำหรับวันนี้ก็ขอจบเรื่องเล่าไว้แต่เพียงเท่านี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดให้ตั้งใจไว้นะว่าเราจะทำทุกทางเพื่อกลับพระนิพพานชาตินี้ จงเริ่มต้นเอาจริงเอาจังและไม่ประมาทในความตาย…สวัสดี
นั่นเขายังไม่อยากให้จบ เขาว่าสั้นเกินไปรอมานานก็เอาเป็นว่ามาเล่าเรื่องผีกันซักเรื่องสองเรื่องก็แล้วกัน ช่วงเดือนที่ผ่านมามีกิจไปภูเก็ต อีตอนไปภูเก็ตนี่ไม่เจอมาเจอตอนกลับเพราะตอนกลับนี่แวะนอนพักที่หัวหิน ผมไปถึงราวๆ5ทุ่ม แบบว่าโรงแรมปิดแล้วถ้ามาเกิน2ทุ่มต้องเช็คอินกับยาม ตายามก็ให้ไปพักชั้นสาม แหมออกจากลิฟท์มา เจอผียืนหน้าลิฟท์น่าจะมากกว่า20นะไม่ทันนับ ห้องที่พักก็มีลักษณะคล้ายหอพักนักศึกษา วันนั้นจำได้ว่านั่งดูบอลอยู่ปลายเตียงมีโซฟา หันไปกะว่าเออจะไปอาบน้ำนอน ดันไปเจอสาวใส่ชุดนอนผมยาวยืนก้มหน้าเท้าเปียก ไอ้เราก็คิดในใจอีนี่อาบน้ำไม่เช็ดตัว แต่ก็หลอนนะกลัวเหมือนกันไม่ใช่ไม่กลัว ว่าแต่ผีนี่แปลกมันมานี่ต้องก้มหน้าก้มตาแทนที่มันจะทำผมดีๆเอามาบังหน้าเพื่ออะไรนี่ก็แปลก ผมไม่ได้คุยกะมันนะแต่ทำเป็นไม่เห็นเดินไปหยิบมีดหมอมา อาราธนานิดนึงท่าจะดี เอาแค่หยิบออกมานี่หันไปมองมันหายไปละ แล้วอีตอนอาบน้ำนี่หลอนสุดตอนล้างหน้านี่แหละเกิดอีผีชุดนอนมันยืนจ้องหน้าจะทำไงแบบว่ากูยังไม่ได้ตั้งหลักจะเจอมัน อาบน้ำไปคิดไปว่ามันจะโกรธเรามั้ยเอามีดหมอมาขู่มัน แต่ก็ไม่เจอนะคืนนั้นหลับสบายยันสายอีกวัน สุดท้ายอยากจะบอกท่านผู้อ่านไว้นะว่า ความกลัวคือสิ่งที่จิตสร้างขึ้นมาเอง มันปรุงมันแต่งและสร้างสิ่งต่างๆขึ้นมา เอ้าสุดทัายจริงๆละพบกันใหม่โอกาสหน้า โอกาสนี้ขอลาก่อน สวัสดี..