Author: admin

by admin admin ไม่มีความเห็น

พระศรีอาริย์ ได้ฝากคนของท่านไว้ ๓ แสน

 (คัดลอกบางตอนจากหนังสือธัมมวิโมกข์ฉบับ ๒๐๓ ปี ๒๕๔๑ หน้า๑๒๔ – ๑๒๕)

บันทึกของหลวงพ่อเมื่อวันที่ ๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๐๖

องค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าได้มาแจ้งว่า …

     “…เจ้าเจริญธรรมให้แจ้ง ถึงไม่รักในฐานะที่ควรรัก …ไม่เกลียด ไม่โกรธ ในฐานะที่ควรโกรธ …ไม่ขัดเคืองในฐานะทีขัดเคือง >>> อย่างนี้ได้ชื่อว่า ได้อริยผลบริบูรณ์แล้ว เจ้าเป็น “พระขีนาสพ” ตั้งแต่เวลา ๔ นาฬิกา วันนี้ ซึ่งตรงกลางเดือน ๙ พอดี…”

     ท่านจึงได้ชื่อว่าเป็นผู้ชนะในที่สุด สมความปรารถนาที่ได้อธิษฐานลงมา ออกบวชของท่านในชาตินี้ จึงถือได้ว่าเลือกทางเดินเป็นพระอริยสาวกอย่างแน่นอน ด้วยการกำจัดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหาน

     แต่ถึงจะหมดภาระสำหรับตนแล้ว ท่านก็ยังต้องมีภารกิจสำหรับลูกหลานที่ติดตามกันมา ที่เรียกว่า “เป็นผู้ที่เคยสนับสนุนพระโพธิญาณกันมาในกาลก่อน” จึงมีข้อแม้ว่า จะต้องอยู่เพื่อทำกิจของพระโพธิญาณต่อไปอีก ๑๒ ปี (ถึงปี ๒๕๑๘)

     ครั้นถึงปี ๒๕๑๕ หนังสือประวัติหลวงพ่อปาน ก็ปรากฏออกมา พร้อมอาการป่วยหนักของท่าน เมื่อจะขอลาเข้าสู่พระนิพพาน ท่านปู่พระอินทร์ ก็มายับยั้งว่า

     “คุณตั้งใจมาช่วยบรรดาลูกหลาน อย่างน้อยก็ไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เวลานี้คนของคุณยังมาไม่หมด (จะครบสิ้นปี ๒๓)  คนของโยมก็ยังมาไม่ครบ แล้วยังมีคนขององค์สมเด็จองค์ปัจจุบัน และคนของหลวงพ่อปานอีก..”

     หลวงพ่อท่านก็บอกว่า “ก็รอมาตั้งนานแล้ว ทำไมยังไม่มาอีกล่ะ” นับตั้งแต่นั้นมากการหลั่งไหลมาตาม “ใบสั่ง” ก็เกิดขึ้นอย่างมากมาย ดังที่เห็นในปัจจุบันนี้…แต่ก่อนมรภาพ พระศรีอาริย์ มาแถมฝากไว้ให้อีกไม่มาก ประมาณ ๓ แสนคน เวลานี้มีคนมาเล่าให้ฟังหลายรายว่า หลวงพ่อไปเข้าฝันให้มาวัด ทั้งที่ไม่เคยรู้จักวัด และไม่รู้จักหลวงพ่อมาก่อน 

     ครั้งนั้นจึงมีการต่อสัญญาอีก ๑๐ ปี เพื่อใช้หนี้ลูกหลานที่ติดตามกันมา จนถึงเวลาครบ ๑๐ ปีตามสัญญา (ครบในปี ๒๕๒๕) ท่านก็ต้องมาตายชั่วคราวในปี พ.ศ. ๒๕๒๓ เพื่อตัดตอนก่อนที่จะครบในปี พ.ศ. ๒๕๒๕ ซึ่งมีการยืดไปอีก ๑๐ ปี ถึงปี พ.ศ. ๒๕๓๕ ท่านก็ได้ทำกิจพระศาสนาครบถ้วนตามมโนปณิธาน จนถึงวาระสุดท้ายของสังขาร 

     เป็นอันว่า หน่อเนื้อพระบรมพงศ์โพธิสัตว์พระองค์นี้ ที่ได้จุติลงมาเพื่อปฏิบัติภารกิจพระศาสนา หวังที่จะสนองคุณองค์สมเด็จพระบรมศาสดา ท่านจึงได้ชื่อว่า เป็นผู้ที่มีความ กตัญญูเป็นเลิศ

     ในระหว่างที่ทรงชีวิตอยู่ ท่านมีความเคารพต่อบิดามารดา ดังที่ท่านเล่าไว้ในเทปชุดสุดท้ายเรื่อง “โปรดโยมบนสวรรค์” เป็นต้น ส่วนครูบาอาจารย์นั้น หลวงพ่อท่านมีความเคารพหลวงปู่ปานเป็นอย่างยิ่ง ดังจะเห็นป้ายที่ซุ้มทางเข้าพระอุโบสถ ซึ่งเป็นการสร้างวัดครั้งแรก ท่านยังตั้งชื่อว่า “ศูนย์ศิษย์หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค” 

     เพราะการสร้างคุณประโยชน์ต่อชาวโลกเป็นอันมาก ท่านจึงเป็นที่รัก และเคารพของเหล่ามนุษย์และเทวา โดยเฉพาะเหล่าเทพเจ้าทั้งหลายต่างขนานนามท่านว่า”พ่อปู่” ทั้งองค์สมเด็จพระบรมครูทรงตรัสเรียกหน่อพุทธางกรูพระองค์นี้ ตามที่พวกได้ทราบกันดีแล้วว่า “ท่านสัพเกษีพรหม” นั่นเอง

by admin admin ไม่มีความเห็น

พระโกนาคมเคยเสด็จมาที่ภูกระดึงส์

กลุ่มเดิมพวกเราในสมัยสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโกนาคม

(คัดลอกบางตอนจากหนังสือ เรื่องจริงอิงนิทานพิเศษ หน้า ๑๐๒-๑๐๔)

     ที่ริมสระอโนดาดหลวงพ่อเล่าให้ลูกๆฟังว่าในสมัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่า  พระพุทธกุกุธสันโธ  พื้นที่ภูกระดึงนี้อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล ๑ โยชน์  และเวลาผ่านไปชั่วพุทธันดรหนึ่ง  แผ่นดินสูงจากเดิมขึ้นมา ๑ โยชน์ (๑ โยชน์ =  ๑๖ กม.  ลุง.ศ จำมาจากหลวงพ่อครับ  แสดงว่าสมัยนั้น ภูกระดึง จมอยูใต้ทะเลลึกถึง ๑๖ กม.) 

     วันต่อมาพวกเราอันมีหลวงพ่อเป็นผู้นำ  เดินทางไปนั่งพักคุยกันใต้ต้นไม้อีกแห่งหนึ่งบนภูกระดึง  อากาศร้อนเพราะเป็นช่วงเดือนเมษายน  แต่ลมพัดเย็นสบาย  ใจของพวกเราเป็นสุข  หลวงพ่อเล่าให้ฟังว่า  เราเกิดบนภูกระดึงแห่งนี้มาวาระแล้ว  ในสมัยสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระโกนาคมเราเกิดบนภูกระดึงแห่งนี้  มีเนื้อที่หมื่นไร่เศษมีสภาพเป็นเกาะกลางทะเล  ท่านปู่ และท่านย่าอินทิรา  เป็นกษัตริย์ปกครองดินแดนนี้  มีลูกชาย  ต่อมาได้เป็นพระราชาแทนพระราชบิดาต่อไป  สำหรับพระราชาองค์นี้ปรารถนาพระโพธิญาณอยู่  มีน้องชายเป็นพระเจ้าอนุราช มีนามว่า พระเจ้าวชิระราชา ชื่อเล่นว่า เจ้าชายตุ่มเพราะตอนเด็กอ้วน  โตแล้วไม่อ้วน

     ในสมัยนี้เอง  สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโกนาคมเสด็จมาโปรดบนภูกระดึง  มาประทับที่พระราชวังซึ่งทำด้วยไม้ธรรมดาๆ  ก็ไม่ใหญ่โตนัก  เป็นสถานที่รับรองสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า  เวลานั้นประชาชนมีศีล ๕ กันเป็นส่วนมาก  องค์สมเด็จพระจอมไตรทรงเทศน์โปรดให้ฟัง….ถึงตอนไหนภาพก็ปรากฏแก่ผู้ฟังด้วยอำนาจพุทธานุภาพ  พระองค์ตรัสว่า  

     …ตอนพวกเราเป็นเทวดามีรูปร่างอย่างไร  มีวิมาน  ทิพย์สมบัติเป็นประการใด  ก็มีภาพในตอนเราเป็นเทวดาปรากฏทันที  เราเคยเกิดเป็นพรหมแล้วกี่ชาติแต่ละชาติมีรูปร่างอย่างไร  มีวิมาน  มีความสุขยังไง  ภาพตอนเป็นพรหมก็ปรากฏทันที  ทุกคนเห็นภาพตัวเองตอนเป็นเทวดาเป็นพรหมมีความสุขด้วยอำนาจของความดีทั้งนี้ด้วยอำนาจพุทธานุภาพ  และพระองค์ทรงชี้ให้เห็นว่า  แล้วเราก็ต้องกลับมาเป็นคนอีก  การเกิดทีไรมันก็มีแต่ความทุกข์  เกิดมาทีไรมันก็แก่  แล้วเกิดมาทีไรมันก็ตาย  พระองค์เน้นเรื่องการตายการเกิดเป็นเทวดาเป็นสุขกว่าเกิดเป็นคน  แต่ก็พักทุกข์ชั่วคราว  การเกิดเป็นพรหมมีความสุขกว่าการเกิดเป็นเทวดา  แต่แล้วก็กลับมาเกิดเป็นคนอีก  ความสุขตอนเป็นเทวดาสู้ความสุขตอนเป็นพรหมไม่ได้  แล้วพระองค์ก็จบลงด้วยความสุขบนพระนิพพาน เป็นสุขที่สุด  พระพุทธองค์ทรงรับรอง  จบพระธรรมเทศนา  หลายคนเป็นพระอริยเจ้า  เพราะศีล ๕ เขาบริสุทธิ์อยู่แล้วเป็นปกติก็เป็นของไม่ยาก

     โดยเฉพาะท่านปู่  ท่านย่า  เวลาสิ้นชีพตักษัยเป็นพระอริยเจ้าขั้น พระอนาคามี แต่เวลานี้ ท่านไปนิพพานแล้ว

     ประชาชนส่วนใหญ่เป็นพระอริยเจ้า  แต่หัวหน้าคือพระราชาผู้ครองประเทศได้ไตรสรณคมน์ เพราะปรารถนาพระโพธิญาณ  และมีบุคคลใกล้ชิดอีกพวกหนึ่งขอติดตามหัวหน้าไปด้วย  เลยไม่มีโอกาส  ท่านที่เป็นพระอริยเจ้ากราบทูลขอบวชเป็นพระภิกษุและภิกษุณี  พระพุทธองค์ทรงบวชให้ด้วย เอหิภิกขุอุปสัมปทา”   “เจ้าจงเป็นภิกษุมาเถิด”  จีวรที่สำเร็จด้วยฤทธิ์ก็มาสวมกาย  ศรีษะก็โล้นเป็นภิกษุ  นี่ด้วยอำนาจพุทธานุภาพ  และบุคคลผู้บวชเคยถวายผ้าไตรจีวรไว้ในพระพุทธศาสนามาก่อน

     ตอนหนึ่งของพระธรรมเทศนา  องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโกนาคมตรัสว่า  ตอนที่เราเกิดเป็นพรหมน่ะไม่ใช่นั่งหลับตาปี๋เพราะเรามีสังคหวัตถุและมีพรหมวิหารเราทรงแบบนี้ได้เป็นปกติแบบสบายๆ (นี่แหละอารมณ์เป็นฌานไม่ใช่ต้องนั่งหลับตาปี๋จึงจะเป็นฌาน)  พวกเราทำหนักมาในด้าน ทาน  ใจก็คิดเสมอในการให้ทาน  ก็เป็นฌานในจาคานุสติกรรมฐาน  จิตทรงอารมณ์แบบนี้จนชินก็เป็นอารมณ์ฌาน (ฌาน  ก็คือ อาการชิน ทำจนชิน) ตายแล้วก็ไปเป็นพรหมได้”

     ตอนนี้หลวงพ่อเน้นว่า  “พวกเราเดินตามปฏิปทาเดิมของเราคือ ทางสายกลาง  อย่าเปลี่ยนทางเดิม การเครียด  ไม่ใช่ทางของพวกเรา  จะทำให้ช้าลง  เพราะเป็นอัตตกิลมถานุโยค  แทนที่จะก้าวไปหน้ากลับไปไม่ถึง”

     ขณะนั้นองค์สมเด็จพระทรงธรรม  เสด็จมาโปรดอีกว่า  ชาตินี้พวกเราควรจะพอกันเสียทีเกิดทุกชาติก็ตายทุกชาติเคยเป็นใหญ่เคยเป็นกษัตริย์นี่ทรัพย์สินมากมายเอาติดมาไม่ได้เลย  แล้วพระพุทธองค์ก็ทรงเน้นสรุปว่า…

     . ให้นึกถึงมรณัสสติกรรมฐานไว้  เพราะเป็นสมถะ  และตัดสักกายทิฏฐิไปด้วย  เพราะคิดถึงความเสื่อมคือความตายเป็นปกติ

     . มีอนุสติครบ  เคารพพระพุทธเจ้า  พระธรรม  พระอริยสงฆ์

     . ทรงศีลบริสุทธิ์

     . นึกถึงพระนิพพานเป็นอารมณ์

     พระพุทธองค์ตรัสว่า  พวกเราทำ ๔ ข้อนี้ให้ได้  ไปนิพพานหมด  ไม่ต้องทำอะไรมากมายไปกว่านี้  เพราะเราทำทุกอย่างมาเต็มหมดแล้ว”

     ในคราวนั้นเมื่อองค์สมเด็จพระทรงธรรมพระพุทธโกนาคมทรงเทศน์จบ  หัวหน้าคือ  กษัตริย์ท่านปรารถนาพระโพธิญาณ เข้าขอรับคำพยากรณ์จากพระพุทธองค์  สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสพยากรณ์ว่า…

     จะบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้า  ทรงพระนามว่า  “สมเด็จพระอุตตรสมณโคดม” แต่ในสมัยสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่า สมเด็จพระสมณโคดม  ก็จะลาจากพุทธภูมิเสียก่อน  เพราะจะช่วยทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา  เป็นการสืบต่ออายุพระพุทธศานา  โดยเฉพาะเวลานั้นมีคนกลุ่มหนึ่งขอติดตามหัวหน้าคือกษัตริย์  คนกลุ่มนั้นจึงยังไม่ไปนิพพาน”

by admin admin ไม่มีความเห็น

การจุติสร้างพระบารมีของสัพเกษีโพธิสัตว์

การจุติสร้างพระบารมีของสัพเกษีโพธิสัตว์

      ขอนำท่านสมาชิกมาทบทวนเรื่องราวช่วงหลังพระเจ้าพรหมมหาราชสวรรคต เห็นว่ามีเนื้อหาที่น่าสนใจเยอะมากทั้งทางโลกทางธรรมครับ … เราพออ่านไปนานๆ อาจลืมเลือน หรือขาดความแม่นยำในเรื่องราวที่จะนำไปประกอบการนำไปอ้างอิง เผยแพร่ธรรมะครับ …  อย่าง ละครพอคนลืมเขายังมาฉายใหม่ สร้างใหม่เลยครับ                                           ——————————————————
         (คัดลอกเฉพาะบางตอนจากหนังสือเรื่องจริงอิงนิทานพิเศษ หน้า ๖๕ จากบรรทัด ๘ – หน้า ๗๘ บรรทัด ๑๒)

… เป็นอันว่า  เมื่อกองทัพหน้าอันมีพระเจ้าพรหมมหาราช  ตีขอมดำตะลุยไม่หยุดเลย เป็นเวลา ๓ วัน ๓ คืน  ก็มาพักยับยั้งกองทัพที่  บ้านยั้งทัพ  แล้วเคลื่อนไปรวมพลที่บ้าน ชุมพล  เห็นว่าทะแกล้วทหารรวมตัวกันดี และทัพดาบตามมาทัน มีการพักผ่อนพอสมควร ต่อมาก็ขยายกำลังออกเป็นจุดเล็กๆ  เพราะตอนนี้ขอมไม่อยู่เป็นจุดใหญ่แล้ว ก็เก็บเล็กเก็บน้อย ขอมหมดแรง เจอะที่ไหนฆ่าที่นั่น  ขึ้นชื่อว่าขอมไม่ให้มีชีวิตอยู่เลย  ตอนนี้ต้องใช้เวลาถึง ๑ เดือน ก็มาถึงเมืองกำแพงเพชร

     ตามตำนานท่านบอกว่าพระอินทร์มาเนรมิตกำแพงเพชรกั้นไว้  ความจริงแล้วท่านเห็นว่า จะทำบาปมากเกินไปจึงให้วิษณุกรรมเทพบุตรมาทำให้ทหารทั้งหมด หมดกำลังใจ แม้แต่พระเจ้าพรหมมหาราชเอง  คิดว่าเก็บล้างขอมก็ยากแล้วแค่นี้ก็พอ  เป็นอันว่าพระเจ้าพรหมมหาราชได้ขยายอาณาจักรของโยนกนครจากพะเยาลงมาถึงกำแพงเพชร  นี่ก็ไม่ใช่น้อย  หลังจากนั้นก็ยกทัพกลับโยนกนคร  ประชาชนที่อยู่เบื้องหลังยืนถือดอกไม้ ธูปเทียน  รับทัพพระเจ้าพรหมมหาราช ๒ ข้างทางด้วยอาการสงบ   

   พระเจ้าพรหมมหาราชกลับไป  ก็อัญเชิญพระราชบิดาขึ้นเสวยราชสมบัติ ให้พี่ชายเป็นพระมหาอุปราชแทนที่ตัวจะเป็น ท่านเองก็มารักษาอยู่ที่กำแพงเพชรนี่ บ้านเมืองแห่งโยนกนครก็เป็นสุขต่อไป เพราะขอมสิ้นไปจากแผ่นดินไทยแล้ว อาณาเขตของโยนกนครเวลานั้นก็ขยายจาก พะเยา มาถึง กำแพงพชร ก็ไม่ใช่น้อย เวลานั้นพระเจ้าพังคราชมีอายุ ๔๒ ปี รวมเวลาที่เป็นทาสขอมอยู่ ๒๒ ปี คนไทยลืมตาอ้าปากได้มีความสุข 

     ต่อมาสมเด็จพระพุฒโฆษาจารย์ท่านซึ่งเป็นไทยใหญ่  ได้นำพระไตรปิฏก กับพระบรมสารีริกธาตุมาถวายพระเจ้าพังคราช  ดังนั้น  พระองค์จึงให้ลูกชายทั้งสอง คือ เจ้าชายทุกภิกขะ และพระเจ้าพรหมมหาราช  มาร่วมกันบรรจุพระบรมสารีริกธาตุบน ดอยน้อย คือ พระธาตุจอมกิตติ สถานที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ทำเป็นอ่างทองคำ ฝังไว้ใต้ดิน  มีเรือสำเภาทำมณฑปบรรจุ  ผะอบแก้ว  ผะอบทอง  ผะอบเงิน ผะอบนาค  และผะอบงาช้างเป็นชั้นๆ  เมื่อบรรจุแล้วก็สร้างเจดีย์ขึ้น  ทำทองคำแผ่น รีดเป็นแผ่นๆ แปะหุ้มภายนอกขององค์พระเจดีย์ตั้งแต่ยอดลงมาถึงฐานเต็มองค์  ดังนั้น  เจดีย์องค์เดิมที่บรรดาลูกหลานเห็นเป็นทองอร่ามอยู่ภายในองค์ปัจจุบันนั้นเป็นความจริง  ต่อมาพระเจ้าผาเมืองทรงสร้างเจดีย์องค์ใหญ่ทับเข้าไว้ที่เราเห็นอยู่ในปัจจุบัน  ถ้าไม่สร้างทับไว้เวลานั้นทองคงหมดไป

     เวลานั้น  สมเด็จพระพุฒโฆษาจารย์ท่านชี้จุดบน ดอยน้อย นี้ว่า  องค์สมเจพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาประทับ ณ ที่นี้  ทรงอธิษฐานให้ เส้นพระเกศา ของพะองค์หลุดติดพระหัตถ์มา ๓ เส้นเมื่อทรงเสยพระเกศา  แล้วพระพุทธองค์ก็ทรงฝังเส้นพระเกศาโดยการอธิษฐานให้จมลงบนยอดดอยน้อยนั้น แล้วพยากรณ์ว่า  “เขตแดนนี้ ต่อไปจะมีนามว่า โยนกนคร จะมีความเจริญรุ่งเรือง จะสามารถรักษาพุทะศาสนาไว้ไดครบ ๕,๐๐๐ ปี”  เวลานั้นทุกคนทราบเรื่องก็ดีใจ  ประกอบกับมีความเคารพในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามากอยู่แล้ว  ต่างคนต่างก็บูชาด้วยเครื่องสักกาวรามิสต่างๆ  และได้ปฏิบัติเป็นปกติอยู่แล้วในด้าน ทาน ศีล ภาวนา  ครบถ้วน

      บั้นปลายชีวิตพระเจ้าพังคราช ได้ไปเจริญสมณธรรมที่ วัดปากน้ำคำ  ที่เขากำลังซ่อมบำรุงกันอยู่ในเวลานี้  พระองค์ได้ฌานสมาบัติ  เวลาทวงคตก็ไปเกิดเป็นพรหมชั้นที่ ๑๑ เพราะท่านบอกว่า  เวลานั้นยังไม่ได้เป็นพระอนาคามี แต่เวลานี้เป็นพระอนาคามีแล้ว (พ.ศ. ๒๕๒๑)  ก็ไม่อยากเลื่อนขึ้นไปเพราะอยู่ที่นี่ก็สบายดี  ปัจจุบันนี้ (ปี พ.ศ. ๒๕๒๔)  สมเด็จพระเจ้าพังคราชไปนิพพานแล้ว

     ต่อมาเจ้าชายทุกภิกขะก็เสวยราชสมบัติแทนพระราชบิดา  และในที่สุดก็ทิวงคต  พระเจ้าพรหมมหาราชก็เป็นกษัตริย์ปกครองครองโยนกนครสืบมา  พระองค์เจริญสมณธรรมทรงฌานสมาบัติ เวลาทิวงคตก็ไปเป็นพรหมตามเดิมีความสุขด้วยอำนาจธรรมปิติ

     ต่อมาภายหลังลูกๆ ของพระเจ้าพรหมมหาราชเก่งไม่เท่าพ่อ  ก็เสียเอกราชให้แก่ไทยใหญ่  แต่ก็ไทยเหมือนกัน  แล้วราชวงศ์เชียงแสนก็ถอหลังลงมาทางใต้ เป็นต้นตระกูลของ พระเจ้าอู่ทอง ที่สร้างกรุงศรีอยุธยา  และเวลานี้ราชวงศ์จักรีก็เป็นราชวงศ์ของเชียงแสน อยู่นั่นเอง  นี่คนแก่ซึ่งไม่ใช่พ่อนะ ท่านเล่าให้ฟังต่อๆ กันมา

    พ่อมานั่งนึกๆ ดูว่า  พวกเราที่กำลังนั่งรวมกันอยู่นี่  ดีไม่ดีก็จะเกิดในสมัยเชียงแสน  หรือพระเจ้าพังคราชตอนโน้นก็ได้  ดีไม่ดีเป็นนักรบบ้าง  นักรักบ้าง  แล้วก็มานั่งป๋อหลอกันอยู่ที่นี่ก็ได้ใคจะไปรู้  ถ้าเวลานี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่  หรือพระอรหันต์ทั้งหลายที่ท่านชอบซุกซิก  เราก็อาจจะถามท่านได้ว่า  พวกเราที่กำลังนั่งฟังอยู่เวลานี้เกิดทันสมัยนั้นบ้างหรือเปล่า  เป็นนักรบบ้างหรือเปล่า  ดีไม่ดีท่านจะชี้หน้าว่าคนนั้นเป็นคนนี้  คนนี้เป็นคนนั้นๆ เป็นต้น

     เรามาพูดกันว่า  ทำไมประเทศไทยจึงต้องมีกษัตริย์  คำว่า  “กษัตริย์”  นี่เขาแปลว่า  “นักรบ”  กำลังใจของคนไทยทั้งหมดยู่ที่หัวหน้า  ถ้าหัวหน้าขี้แยคนไทยก็ขี้แย  ถ้าหัวหน้าเอจริง ขอให้เอาจริงสักอย่างเดียว  คนไทยทั้งชาติจะลุกขึ้นจับดาบสู้  อย่างเช่นเวลานั้นที่พรหมกุมารเป็นหัวหหน้านำคนไทย  แม้เพียงส่วนน้อย  น้อยกว่าขอมมาก  ถูกขอมย่ำยีอย่างหนัก  ต้องแอบซุ่มซ้อมรบกัน  เมื่อหัวหน้าเอาจริงเราก็สามารถขับไล่ขอมออกจากเขตไทยได้แถมขยายอาณาเขตออกไปอีก 

     ขอย้อนถึพระเจ้าพรหมมหาราชตอนทิวงคต  อาศัยกำลังฌานสมาบัติก็ไปเกิดเป็นพรหม  คนที่มาจากพรหม  หรือจะไปเป็นพรหมได้  ต้องมีกำลังใจเข้มแข็งจากกำลังฌานสมาบัติ  เวลาที่มาเกิด  คนมาจากพรหมจะมีจริยาไม่เหมือนชาวบ้านชาวเมืองเขา  จะรักแต่ความเป็นธรรมอย่างเดียว  ถ้าอยุติธรรมก็สู้แบบหัวชนฝาเลยทีเดียว  เรียกว่า  ไม่ยอมขึ้นกับความอยุติธรรม       เป็นอันว่าพระเจ้าพรหมมหาราชตายไปเกิดเป็นพรหมตามเดิม  เห็นไหมลูก  รบกันเกือบตาย  ขยายเขตแดนออกไป  ร่ำรวย  เป็นเศรษฐี มหาเศรษฐี  เป็นขุนนางผู้ใหญ่ ผลสุดท้ายก็ตายหมด  ตายแล้วขนอะไรไปได้บ้าง  แม้แต่หนวดเส้นเดียวก็เอาไปไม่ได้

   “ลูกรักของพ่อมีความต้องการธรรมะหวังพระนิพพานพ่อพอใจ  เราไปนิพพานกันดีกว่านอนสบายให้มีความสุข เราเหนื่อยกันมาแล้วเกินกว่า ๑๖ อสงไขยกับแสนกัป”

     “พูดแบบนี้ใครจะฟ้องว่า อวดอุตริมนุสธรรม ก็เชิญสิพ่อคุณ  ถ้าตัวรู้จริงจะฟ้องละก็เชิญทำให้ได้สิ ทบทวนในการเกิด  เวลานี้ขอบอกกันตามตรงว่าไม่ขึ้นกับใครทั้งนั้น  ขึ้นกับพระพุทธเจ้าองค์เดียว  พวกที่ห่มผ้าเหลืองสักแต่ว่าห่มจะไม่ยอมขึ้นด้วยเป็นอันขาด  เว้นไว้แต่ท่านที่ห่มผ้าเหลืองที่ทรงธรรมะแน่นอน  นี่ขอประกาศเด็ดขาดว่า  ถ้าขืนใช้อำนาจที่ไม่เป็นธรรมข่มเหงกัน  จะได้เห็ดีกันแน่นอน  คราวนี้จะได้รู้กันว่าพวกที่ห่มผ้าเหลืองแล้ว ไม่ทรงศีลไม่ทรงธรรม  หลอกลวงชาวบ้าน  ชอบยศฐาบรรดาศักดิ์  แต่อย่าลืมว่า  พวกที่ทรงยศฐาบรรดาศักดิ์ที่ท่านดีก็มีมาก  แต่ไอ้ที่เลวๆ มันก็มีมาก  ไอ้พวกเลวๆ นี่มันชอบกวนใจ  สักวันหนึ่งข้างหน้ามัจะได้รู้  ถ้านเข้ามาข่มเหง  จะได้รู้ว่าคนพูดนี่เป็นใคร”

     เป็นอันว่า  ตายกันเสียทีพระเจ้าพรหม  เวลาในเมืองมนุษย์ผ่านไป ๘๐๐ ปี ท่านนอนสบายอยู่ที่พรหม  หนีเหนื่อยไป  หนีบาปไป  ด้วยกำลังของฌานและวิปัสสนาญาณ  เพราะท่านผู้นี้ทำบาปแล้วทำบุญ  เวลาเป็นพระราชาก็ต้องแบ่งเวลาความเป็นพระราชาบ้าง ถ้าไม่แบ่งไม่ได้  เป็นพระราชาทุกวินาทีก็หายใจไม่ออก  มันต้องกระโดโลดเต้นกันบ้งเป็นธรรมดาๆ 

     เวลาผ่านไป ๘๐๐ ปี จากการตายของพระเจ้าพรหมมหาราช  ในเวลานั้นขอมมีอำนาจอีกแล้ว  มีพระราชาของไทยองค์หนึ่งชื่อ พระยาอภัย หนีขอมจากลำพูน  มาถือศีลภาวนาอยู่ในป่าที่ เขาหลวง อันเป็นเขตกึ่งกลางระหว่างเชียงใหม่กับศรีสัชนาลัย  ท่านมาถือศีลภาวนาทำตายิบๆ ยิบๆ ที่เขาหลวง  เจอสาวชาวป่าสวยผิวขาวสะโอดสะองชื่อ นางนาด หน้าตาดี ทรวดทรงน่ารัก  เจอเข้าในป่าก็เลยชอบกัน  สมสู่อยู่ด้วยกัน ๗ วัน  ที่เขาหลวงนั่น หลังจากนั้น  พระยาอภัยก็กลับไปหวังจะครองอำนาจตามเดิม  ก่อนจะไปก็ให้ผ้ากัมพลกับพระธำรงค์ไว้เป็นที่ระลึก  ท่านบอกว่า  เวลานี้กำลังลำบากมากจะต้องกลับไปแสวงหาอำนาจ  ถ้าได้ครองราชเมื่อไรจะกลับมารับ

   ต่อมานางนาดเกิดตั้งครรภ์ขึ้นมา  คลอดออกมาแล้วเป็นผู้ชายไม่รู้จะเก็บลูกไว้ที่ไหน ก็เอาไปเก็บไว้ที่เขาหลวงนั่น  เอาผ้ากำพลกับพระธำมรงค์แขวนไว้ด้วย  นี่แหละคนดีของเชียงแสนมาเกิด  (คือพระเจ้าพรหมมหาราช  จุติจากพรหมมาเกิดเป็นลูกชายของนางนาดกับพระยาอภัยในป่าถูกแม่ทิ้งไว้ที่เขาหลวง) แต่ก็มีงูใหญ่แผ่แม่เบี้ยรองรับเด็กน้อยไว้  ท่านบอกว่าเป็นงูพระโพธิสัตว์  ท่านบอกว่ากรรมที่ตีขอมฆ่าขอมระเนระนาด  ทำให้เขาพลัดพรากจากกัน  ตายแล้วหนีบาปไปเป็นพรหมด้วยกำลังฌานสมาบัติ  กฏของกรรมที่ทำให้เขาพลัดพ่อ  พลัดแม่  พลัดบ้าน  พลัดเมือง  พอเกิดชาตินี้ที่ไหนได้กลายเป็นถูกแม่ทิ้งไปเสียได้ เอาแล้วอยู่เป็นพรหมสบายๆ ไม่พอเสด็จลงมาเกิดอีก  ก็จะนอนให้มันสบายๆ ไม่เอา  นอนไม่ได้ซิ  เพราะเวลานั้นไทยป่นปี้อีก  หลังจากพระเจ้าพรหมมหาราชตายไปแล้ว ลูกๆ ดีไม่พอ  ไทยก็กลับเป็นทาสของขอมต่อไป  เจ้าขอมมันย่ำยีต่อไป

     ต่อมาท่านบอกว่า  มีนายพรานป่าไปพบเด็กชายที่เขาหลวงเข้า  เกิดชอบใจก็เก็บเอาไปเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรม เพราะท่านไม่มีลูกท่านก็รักเด็กมาก  ต่อมาพระยาอภัยได้อำนาจกลับมาแล้ว ก็เกณฑ์ชาวบ้านไปสร้างปราสาท  พรานคนนี้ก็ถูกเกณฑ์ไปด้วย  จึงเอาเด็กน้อยไปด้วย  ขณะทำงานก็เอาเด็กไปนอนไว้ในที่ร่มที่ปราสาทยังสร้างไม่เสร็จมีร่มเงา  ก็เกิดเหตุอัศจรรย์ปราสาทโอนไปเอียงมาเหมือนมีลมแรงพัดหวั่นไหวไปปทั้งหลัง  พระยาอภัยจึงได้สั่งให้เอาตัวนายพรานเข้ามาถามว่า  เอาเด็กนี้มาจากไหน  พรานตอบว่า ได้มาจากเขาหลวง  ท่านถามว่าเด็กชายคนนี้มีอะไรเป็นสัญญลักษณ์  พรานตอบว่า มีผ้ากำพลกับแหวน  พระยาอภัยเห็นก็จำแหวนกับผ้ากำพลได้ก็ทราบว่าเป็นพระราชโอรส  จึงขอนายพรานว่า  ขอเด็กชายคนนี้เถิดฉันจะเลี้ยงไว้เป็นลูกบุญธรรมของฉัน  นายพรานแกรักเกือบตาย  พระราชาขอก็ต้องให้  พระราชาพระประทานบ้านส่วยใหห้นายพรานร่ำรวยขึ้น  ต่อมาพระยาอภัยก็ให้นามเด็กชายพระราชโอรสว่า  “อรุณกุมาร”  และพระมเหสีองค์ใหม่ก็ประสูติราชโอรสมาอีกองค์หนึ่งให้นามว่า  “ฤทธิกุมาร”  พี่น้อง ๒ คนนี่รักกันมาก  ต่อมาอรุณกุมารก็มีนามว่า  “พระร่วงโรจน์ฤทธิ์”  ฤทธิ์กุมารมีนามว่า  “พระลือ”  พระร่วงกับพระลือ ๒ พี่น้อง

     ต่อมา  พระลือ ได้มาครองเมือนครสวรรค์  และพระร่วงโรจน์ฤทธิ์ได้อภิเษกกับราชธิดาเจ้าเมืองศรีสัชนาลัย  ก็ครองเมืองศรีสัชนาลัย  ซึ่งป็นเมืองเดิม  แสดงว่าตั้งแต่เหนือจรดใต้มีคนไทยอยู่เต็ม  เป็นเมืองย่อยๆ เขาเรียกว่า  ละว้าบ้าง  ละโว้บ้าง  ละเว้บ้าง  ตามเรื่องตามราว

      เป็นอันว่ามาปกครองเมืองศรีสัชนาลัยได้นามว่า  พระร่วง  ไม่ช้าคงเป็นพระหล่น  พระองค์ทรงสร้างมหาวิหาร ๕ ทิศ  สร้างพระพุทธรูปหน้าพระมหาธาตุ (พระมหาธาตุคือเจดีย์ใหญ่) คือสร้างพระพุทธรูปไว้หน้าเจดีย์องค์ใหญ่  สร้างระเบียง ๒ ชั้น  ไปดูที่ศรีสัชนาลัยเวลานี้  แถวใกล้ๆ วัดเจดีย์ ๗ แถวน่ะ  เอาศิลาแลงมาทำเป็นกำแพง  มีเสาโคมรอบมหาวิหาร  เอาทองแดงมาทำเป็นพระขรรค์ยาว ๘ ศอกครึ่ง  เอาแก้วประดับที่ยอด ๑๕ ใบ  มีบัลลังแท่นรองด้วยยอดใหญ่ ๙ กำ  ทองคำอย่างดี ๑๐ ชั้นหุ้มทองแดงขลิบขนุน  ลงมาถึงตีนคูหา  สร้างพระอุโบสถ  สร้างวิหาร  เจดีย์  ที่ต้นรังให้ชื่อว่า  “วัดเขารังแล้ง”

     พระร่วงโรจน์ฤทธิ์ทรงอานภาพที่ยิ่งใหญ่  เขาว่ายังงั้น  ประทศน้อยประเทศใหญ่พากันมาสวามิภักดิ์  เกิดทีไรขยายอาณาเขตทุกทีนะ พออายุ ๔๐ ปี  ได้ช้างเผือกงาดำ  และเขี้ยวงูใหญ่เท่าผลกล้วย  เป็นคู่บารมี
 
    ช้างเผือกงาดำนี่  ท่านผกาพรหมบอกว่า  ส่งมาจากพรหม  นี่ใครอย่าเอาไปเป็นประวัติศาสตร์นะ  เขาเล่าให้ลูกให้หลานฟัง  คนอื่นอย่าเสือกนะ  อย่าเสือกมาวิพากวิจารย์  ว่าตามโบราณท่านว่ามายังไงก็ว่าไปตามโบราณ

     สมัยพระร่วงโรจน์ฤทธิ์มีหนังสือไทยใช้  เพราะพระองค์มีหนังสือส่งไปปยัง  มอญ  พม่า  ขอม  เชิญเขามาร่วมงาน  ลบศักราช  คือศักราชเขาตั้งผิดน่ะ  การลบศักราชนี่ก็ต้องนิมนต์พระมา ๕๐๐ รูป  มีพระพุฒโฆษาจารย์แห่งวัดเขารังแร้งเป็นประธาน

     ต่อมาพพระร่วงกับพระลือได้เสด็จไปเมืองจีนเป็นวาระแรก  โดยไปเรือยาว ๘ วา กว้าง ๔ ศอก  ใช้เวลา ๑ เดือนถึงเมืองจีน  ทำสัมพันธไมตรีกันดีมาก  พระเจ้ากรุงจีนไดถวายพระราชธิดามีนามว่า  พระสุทธิเทวีราชธิดา ให้เป็นเอกอัครมเหสีของพระร่วงด้วย (นี่แหละนาเกิดราวไรไม่เคยพ้นลูกสาวเจ๊กสักที  ก็เพราะมีเชื้ออยู่นี่เอง)  ก่อนกลับเมืองไทยพระเจ้ากรุงจีนได้ผ่าตรามังกร (ตราประจำพระราชสำนักจีน) เอาส่วนหางให้ราชธิดามาด้วย  เวลาส่งสาส์นก็ประทับตราส่วนที่ผ่ามานั้นไปจะได้รู้กัน  และให้ชาวจีน ๕๐๐ คนมาด้วย  มาตั้งเตาทำถ้วยชามที่ศรีสัชนาลัยนั่นเอง  เขาเรียกว่า  “เตาทุเรียง” (ไม่ใช่เตาทุเรียนนะ) เป็นอันว่าชาวจีนได้เข้ามาอยู่เมืองไทยคราวนั้นเป็นครั้งแรก

     ต่อจากนั้นพระร่วงก็ให้เอาตะปูทองแดงยาว ๓ วา  จำนวน ๓ กำไปตอกปักเขตที่เขาใหญ่อันเป็นเขตกึ่งกลางระหว่างเมืองเชียงใหม่กับศรีสัชนาลัย  ตะปูทองแดงนั้นป่านนี้พวกเอาไปทำอะไรแล้วก้ไม่รู้

     ท่านบอกว่า  พระร่วงโรจน์ฤทธิ์เวลานั้น  คะนองมาก  ชอบเล่นกับชาวบ้านไม่ถือพระองค์  ไปทางไหนเด็กผู้ใหญ่ล้อมกันเป็นกลุ่มคุยกัน  นี่เขาเรียกว่าเป็นการเอาชนะใจกัน  การชนะใจกันถือว่าชนะเด็ดขาด  แต่ถึงเวลาจะใช้อำนาจก็เด็ดขาดเหมือนกัน ถึงเวลาตัดหัวก็ตัดกันใครมาทูลขอไม่ได้  เวลาไปไหนพระองค์ชอบไปคนเดียว  ไม่มีขุนนางติดตาม  ชอบไปคนเดียว  ท่านรู้วิชาหายตัว  กำบังตัว (ภาษาไทยโบราณเรียกว่า  บังเหลื่อม  คือหายตัวได้) รู้จบไตรเพท  เวลานั้นนับถือพราหมณ์ด้วย  มีวาจาศักดิ์สิทธิ์เป็นไปตามวาจา  มีเจ้าขอมมันโผล่จากดินมาจะจับท่าน  ท่านบอกขอมจงเป็นหิน  ก็เป็นหินอยู่ตรงนั้น  นี่เรื่องขอมกลายเป็นหินน่ะพระร่วงโรจน์ฤทธิ์

     เวลานั้นก่อนกรุงสุโขทัยตั้งไปประมาณ ๗๐๐ ปีเศษ  คือก่อนหน้าพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ ไปประมาณ ๗๐๐ ปีเศษ

     ในที่สุด  พระร่วงโรจน์ฤทธิ์ก็สวรรต  ด้วยกำลังของฌานสมาบัติกลับไปเป็นพรหมตามเดิมมีความสุขด้วยอำนาจธรรมปิติ  เพราะมีการเจริญพระกรรมฐานได้ฌานสมาบัติ     เป็นอันว่าบุคคลเดียวกัน  คือ พระเจ้ามังรายมหาราช   มาเกิดอีกทีเป็นสามเณรน้อยถูกกขอมย่ำยี  แม้แต่ข้าวในบาตรที่คนอื่นเขาใส่ให้แล้วด้วยดี  พญาขอมก็ให้คนของมันจับบาตรเทข้าวของเณรน้อยทื้งไปไม่ให้กิน  เณรไม่ว่าอะไรคิดสงสารคนไทยว่าเป็นทุกข์ถึงเพียงนี้  จึงอธิษฐานแผ่เมตตาจิตให้คนไทยมีความสุขเข้าฌาน ๗ วันก็ตายไปเกิดเป็นพรหม กลับมาเกิดเป็นพระเจ้าพรหมมหาราชขับไล่ขอม  ไทยเป็นอิสระภาพมีความสุข  แล้วต่อมาพระเจ้าพรหมมหาชก็ตายในระหว่างฌานสมาบัติไปเกิดเป็นพรหมตามเดิม  ตอนนี้คนไทยถูกขอมย่ำยีอีก  จึงลงมาเกิดเป็นวาระที่ ๔ พระร่วงโรจน์ฤทธิ์สร้างความเจริญรุ่งเรืองมั่นคง  ขยายอาณาเขตออกไปครอง  มอญ  พม่า  ขอม  ไว้ได้หมด  อาณาจักรยาวเหยียด  ในที่สุดก็สวรรคต  คือตายในระหว่างฌาน  กลับไปเป็นพรหมตามเดิมอีก

     เห็นไหมลูกรักของพ่อ  ถ้าตัณหามันนังไม่หมดเพียงใด  ก็ต้องเกิดอีก  ตัณหาคือความรักติดอยู่ในรูปสวย  เสียงเพราะ  กลิ่นหอม  รสอร่อย  สัมผัสระหว่างเพศ  ความโลภอยากได้จะรวย  อยากจะใหญ่  ความบ้าอยากจะมีอำนาจเหนือคนอื่น  ความหลงคิดว่ามันจะไม่แก่ไม่ตาย  นี่เป็นปัจจัยให้เกิดความทุกข์

     ฉะนั้นขอบรรดาลูกรักทั้งหมดจงอย่ามีความปรารถนาตามนั้น  ลืมมันเสียเรื่องขันธ์ ๕ มันไม่ใช่เรา  ไม่ใช่ของเราลูกรัก  ถ้ามันเป็นเราเป็นของเราจริงก็ดูตัวอย่างพระเจ้ามังรายระยะ ๒,๐๐๐ ปี  ก็เกิดถึง ๔ วาระแล้ว  นี่แค่สมัยความเป็นคนไทย  สมัยอื่นท่านจะไปเกิดที่ไหนอีกก็ไม่ทราบ

     เวลาในเมืองมนุษย์ผ่านไป ๖๐๐ – ๗๐๐ ปี  พรหมพระเจ้ามังรายที่มาเกิดเป็นพระร่วงโรจน์ฤทธิ์ก็มีความสุขสบายมาก  มองมาดูประเทศไทย  ทนไม่ไหวเพราะพวกลูกๆ หลานๆ  ไม่สามารถรักษาความเป็นไทยไว้ได้  ตกอยู่ในอำนาจขอมอีก (ขอมนี้ไม่ใช่เขมร  พวกเขมรเป็นแขกอินเดียพวกหนึ่งที่ไม่เคยมีความเป็นตัวของตัวเองเลยจนปัจจุบัน)

     ท่านมองดูคนไทยเวลานั้นแวทนาไม่ไหวคิดว่า  “เราเหนื่อยเพื่อคนไทยมามากแต่วางมือไม่ได้  วางมือทีไรยุ่งทุกที”

     ท่านผกาพรหมอีกนั่นแหละมาเตือนว่า  “นี่พ่อพรหมร่วง  พ่อพรหมหล่น  จะมานั่งแหงแก๋อยู่ทำไม  แกลืมตาดูบ้างซิว่าคนไทนที่สร้างไว้น่ะ  สร้างความเป็นปึกแผ่นไว้น่ะ เดี๋ยวนี้เอาอีกแล้ว  พัง  ลงไปตามหน้าที่  ในฐานะปรารถนาพระโพธิญาณ”

     “พระโพธิญาณนี่ต้องต่อสู้กับความทุกข์  เพื่อความสุขแก่คนอื่น”

     “จะมานั่งหน้าแช่มชื่นมีความสุขแบบนี้น่ะมันใช้ไม่ได้  ไม่ใช่วิสัยของพระโพธิญาณ”

     “เวลานี้ไทยเป็นทาส  ขอมมันใช้อำนาจเป็นธรรม  มีความร้ายกาจหยาบคายมาก”

     ท่านพรหมที่ไปจากพระร่วงรุ่งโรจน์ท่านก็ถามว่า  “จะให้ฉันไปคนเดียวหหรือ  มีใครลงไปช่วยด้วย”

     ท่านผกาพรหม  ตอบว่า  “จะส่งพรหม  เทวดาอื่นๆ ไปช่วยด้วย  คราวนี้ต้องขยายอาณาจักรไทยให้ถึงสิงคโปร์  ทางด้านเหนือจะส่งคนไปสะกัดด้านเหนือไว้ด้วย  ให้เขาสร้างความสามัคคี  แต่เริ่มต้น  ท่านต้องรีบไปเริ่มต้นไว้ก่อน”

     ท่านพรหมพระร่วงก็ถามอีกว่า  “ถ้าจะเริ่มต้นตอนนี้แล้วมันจะพังอีกไหมล่ะ  ถ้ามันจะพังอีกละก็  ไม่ต้องไปเริ่มกันละ  เลิก  เริ่มทีไรพังทุกที  เริ่มเมื่อไรก็พังทุกที  จะไปเริ่มมันทำไม  มันอยากเป็นขี้ข้าเขา  มันไม่รักชาติก็ช่างมัน”

     ผกาพรหมก็บอกว่า  “ไม่เป็นไร  ถ้าเริ่มตอนนี้ละก็  ไทยเป็นไทนตลอดไป  จะมีบ้างก็โขยกเขยกๆ  จะถึงขนาดพังเป็นทาสเขาทั้งชาตินี่ไม่มี  จะมีบ้างก็ตามกฏแห่งกรรมของสัตว์ที่มาเกิด”  นี่อย่านึกว่าพ่อรู้เองนะ  ท่านปู่มาบอกให้ฟัง

     ท่านพรหมพระร่วงท่านก็ตกลง  ลงมาเกิดเข้าท้องแม่ก็เริ่มอาละวาดทีเดียว  ท่านแม่แพ้ทองอยากจะกินเลือดขอม  เอาแล้ว  ท่านพ่อก็ไป เจอะขอมเซ่อๆ ซ่าๆ เตะพั้บฟันคอฉับเอาเลือดมาให้แม่กินสดๆ แหมมีกำลังแข็งแรงขึ้น  ผิวสวย  ใจดี  มีเมตตาน่ารักขึ้นกว่าเดิม  ผิวพรรณผ่องใส  แช่มชื่น  นี่หลังกินเลือดขอมแล้ว  ก็มีจริยาชดช้อยอ่อนหวานหว่านเครือ  แข็งแรง  คนท้องน่าจะอุ้ยอ้าย  แต่ปรากฏว่ามีความแข็งแรง  ฝึกอาวุธ  นั่น! แสดงตั้งแต่ในท้องแล้ว

     พอคลอดจากท้องแม่มาก็เป็นเด็กชายมีรูปร่างหน้าตาสดสวย  ผิวพรรณงดงามมีใฝแดงที่หว่างคิ้วขวา  อันนี้ท่านพ่อให้โหรมาดู  โหรทำนายว่าเด็กคนนี้มีบุญญาธิการมาก สามารถปูพื้นฐานรวมไทยได้ตลอดถึงแหลมมลายูโน่น

     ท่านพ่อทำพิธีให้ลูก  โดยนิมนต์พระมาสวด  ในบรรดาพระที่มาสวดนี่มีพระผู้เฒ่า ๒ องค์  ผิวคล้ำหน่อยเพราะธุดงค์มาด้วย  สวดเสร็จนั่งหลับตาปี๋  พอลืมตามาบอกว่า  เด็กคนนี้มาจากพรหม  หวังมากู้ชาติไทย  มีสหชาติมาเกิดด้วยคือ พ่อขุนน้าวนำถม  จะเป็นคนปูพื้นฐานไทยให้เป็นไทตลอดไป  ไทยจะไม่สลายตัว  เพราะเด็กคนนี้สร้างไทยให้เป็นไทมานานแล้วเมื่อคราวไทยย่อยยับ  จึงมาเกิดเพื่อรวมไทย

     พอหลวงตา ๒ องค์  ทำนายอย่างนี้  ของขวัญมากมาย  ท่านพ่อท่านแม่ก็เริ่มวางแผนเอาสิ่งของที่เขานำมาให้ลูกชายเก็บเป็นธนาคารไว้ทำทุนในการสร้างอาวุธ  ทำทุนฝึกอาวุธ  ฝึกระเบียบวินัย  ทำทุนการศึกษา  นี่ท่านพ่อเริ่มงานก่อน  ขอมมันก็คน  ไทยก็คน  มันวิเศษจริงมันก็อยู่  มันแย่มันตาย  เราไทยกับขอมมันต้องตายกันข้างหนึ่ง  นี่ท่านพ่อก็นักเลงเหมือนกัน  ลูกชายคนนี้ท่านตั้งชื่อว่า  “ขุนศรีเมืองมาน” 


     ขุนศรีเมืองมาน โตขึ้นก็ทำงานคู่กันกับ พ่อขุนน้าวนำถม  ให้พ่อขุนน้าวนำถมเป็นคนอ่อนน้อมต่อขอม  แต่พ่อขุนศรีเมืองมานนี่เป็นคนยิ้มแย้มแจ่มใส  แต่ถ้าขอมพูดไม่ชอบใจก็เอาเลยบอกว่า  “นี่ไทยนะ  ไทยก็คน  ขอมก็คน  ถ้าจะเอาอะไรก็เอาแต่เพียงดีๆ นะ  ถ้าใช้อำนาจแบบนี้มันต้องใช้ดาบกันก่อน  ถ้าแกไม่อยากเจ็บตัว  ไม่อยากตายละก็กลับไปก่อนแล้วมาพูดใหม่  ถ้าอยากได้คนที่เขากลัวแก  โน่น  ขุนน้าวนำถมโน่น  คนนั้นเขาก้มหัวให้แกได้ทุกอย่าง  แต่นี่ฉันขุนศรีเมืองมานไม่ได้มาเกิดแต่ตัวนะ  เอามือเอาเท้ามาด้วย  แกจะนึกว่าแกเป็นนายฉันนะที่ฉันยอมให้แกทำตามชอบใจได้ก็เพราะฉันถือว่า  มันเป็นประเพณีที่เคยเป็นมาก่อน  ถ้าไม่อย่างนั้นขอมมันก็คน  ไทยมันก็คน  ถ้าขอมฟันคอคนไทยขาดได้  ไทยก็ฟันคอขอมขาดได้เหมือนกันนะ”
 
    ตอนนี้ขอมชักถอยกรูด  ต่อมามีลูกมีหลาน  ขอมเห็นท่าไม่ได้การเลยเอาลูกเอาหลานไทยไปเป็นลูกเขย  ลูกสะใภ้  เพราะท่าทางจะแข็งเมือง

     เป็นอันว่าสมัยนั้นก็ฝึกปรือลูกหลานในการรบ  รู้จักรักคือรักความสามัคคีในชาติขึ้นชื่อว่าไทยด้วยกันอย่างโกงกัน  อย่าข่มเหงกัน  อย่าทำลายกัน  แม้จะโกรธกันก็ควรให้อภัยกน  ทั้งผู้หญิงผู้ชายควรจะฝึกอาวุธ  หาแหล่งทรัพยากร  สอนวิธีทำทองขุดทองด้วยมีความร่ำรวย  ขอมเห็นว่าไทยร่ำรวยก็มาขอให้ไทยส่งส่วยมากกว่าเดิม  พ่อขุนศรีเมืองมานจึงไปสัมพันธ์กับขอม (คือติดต่อพูดกับเขา) ว่า  “จะเอาส่วยมากกว่าเดิม  หรือไม่เอาเลย  ไอ้ที่ให้อยู่นี่ก็เบียดเบียนกันเกินไปแล้ว  ถ้าต้องการมากกว่านี้  ก็จะไม่ให้เลย”  ขอมทำตาปริบๆ เจอะคนบ้าเข้า  ขอมเห็นท่าไม่ดีก็เลยบอก  “งั้นขอเท่าเดิม”  ท่านพ่อขุนศรีเมืองมานก็บอกว่า  “เท่าเดิมก็จะให้  แต่จะให้ไปนานเท่าใดนั้นไม่แน่  อย่าใช้อำนาจให้มันมากเกินไปนะ  เราเป็นคนเหมือนกัน  ที่ให้ส่วยไปนี่ก็เอาเปรียบกันเกินไปอยู่แล้ว  ผืนแผ่นดินนี่ขอมไม่ได้สร้างไว้นะ  โลกนี้ขอมไม่ได้เป็นจ้าวโลกนะ  ขอมไม่ได้เอาดินมาถมให้เป็นโลก  อย่าใช้อำนาจให้มันมากเกินไป  ที่ยอมอ่อนน้อมกันอยู่นี้ก็ถือเป็นประเพณีนะ  ถ้าไม่รักประเพณีเสียอย่างเดียวขอมจะไม่มีที่อยู่”   

     ความจริงนั้น  เราพร้อมรบ  แต่เรายังไม่รบ  เพราะพวกเราอายุมากไปแล้วให้ลูกหลานรบ  สั่งสอนลูกหลานคือ  พ่อขุนผาเมือง  กับ  พ่อขุนบางกลางท่าว  ให้รับประเพณีนี้ไว้

     เวลานั้น พ่อขุนศรีเมืองมานอายุ ๓๐-๔๐ ปี  ช่วงนี้  ภรรยาคือแม่ศรี ตาย  “แม่ศรีไหนล่ะท่านปู่”  ท่านบอกก็ พรรณวดีศรีโสภาค  เธอตาย  พ่อขุนศรีเมืองมานจึงบวชหน้าไฟให้เมีย  แล้วไม่สึกเลย  เวลานั้นมีเมียหลวงคนเดียวคือแม่ศรี  และมีเมียราษฏร์อีก ๒๙ คน  ไม่ไหว  บวชแล้วก็ไม่สึก  มอบหน้าที่ให้ขุนน้าวนำถมนำทีมฝ่ายฆราวาส  ฝ่ายพระก็ตั้งมหาวิทยาลัยการรบ  การปกครอง  การเศรษฐศาสตร์  การคลัง  สอนให้เด็กรู้จักความสามัคคี  รักในธรรม  ประพฤติธรรม

     แล้วหลังจากนั้น พระศรีเมืองมาน ก็ออกเดินธุดงค์ตั้งแต่เหนือยันนครศรีธรรมราช  เพราะท่านะทราบดีว่าคนไทอยู่เกลื่อนกลาดตลอดไปหมด  เป็นกลุ่มย่อยๆ  เวลาธุดงค์ไปก็เป็นคนเก่ง  ใครอยากได้คาถาอาคม  ค้าขายดี  เมตตามหานิยม  คงกระพัน  หนังเหนียว  มีทุกอย่าง  คนไทยชอบ  มาทำบุญใส่บาตรกันเป็นกลุ่มๆ ใหญ่ๆ ในเวลาเดียวกันท่านก็ปลุกระดมไปในตัว  ให้รู้จักว่า “เราเป็นคนไทยนะ  คนไทยด้วยกันต้องรักความสามัคคี  ต่อไปคนไทยต้องเป็นเอกราช  ไม่เป็นทาสขอม  ให้ทุกคนกลมเกลียวสามัคคีกันไว้  ฝึกปรือการรับไว้  ฝึกปรือการสร้างสรรค์เศรษฐกิจให้เจริญรุ่งเรืองเข้าไว้ด้วย  ทำมาหากินได้เก็บเข้าไว้  ถ้าเกิดสงครามเราจะต้องจับจ่ายใช้สอยมาก  จะได้ไม่ลำบากในการอุปโภค  บริโภค”  นี่พระธุดงค์สมัยนั้น  นี่ถ้าจะไม่ใช่พระ  เขาเรียกเดินดง  ไม่ใช่ธุดงค์  เดินไปถึงเมืองนครศรีธรรมราช  และไปยันสิงคโปร์  ใช้เวลาเป็นปี

     พอย้อนกลับมาอีกทีคนไทยดีขึ้นมาก  งานขั้นต่อมาก็ส่งเจ้าหน้าที่ให้พ่อขุนบางกลางท่าว กับ พ่อขุนผาเมือง  กลับมาถึงเมืองบอกลูกหลานว่า  “งานเสร็จแล้ว  ลงมือได้”

     พ่อขุนศรีเมืองมานมาเกิดเป็นวาระที่ ๕  นี่ก็สร้างสรรค์ความสามัคคีกันในความเป็นไทย  แล้วก็ไปอยู่ที่ วัดต้นจันทน์  ซึ่อยู่ในป่าลึก  ท่านก็เจริญสมถกรรมฐานวิปัสสนากรรมฐาน  แล้วก็ตายในระหว่างฌานกลับไปเป็นพรหมตามเดิม  สบาย

     เกิดๆ ตายๆ  แบบนี้ไม่เป็นเรื่องลูกรัก  เป็นอันว่าบุคคลคนเดียวกันคือพระเจ้ามังรายมหาราชมาเกิดวาระที่ ๕ เป็นพ่อขุนศรีเมืองมาน  ลูกหลานก็ทำสงรามขับไล่ขอมไปจากแผ่นดินไทย  จนกระทั่งพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ขึ้นครองราชย์และแก่แล้ว  พระพ่อขุนศรีเมืองมานจึงตาย  การตายคราวนี้  ก่อนหน้าจะตายละภารกิจทั้งหมดปล่อยให้เป็นเรื่องของคนหนุ่ม  ท่านเจริญพระกรรมฐานทรงฌานสมาบัติตายไปเป็นพรหม  หนีบาปไป

     จำไว้นะลูก  ว่า  “คนเราเกิดมาในโลกที่ไม่ทำความชั่วเลยน่ะไม่มี  ถ้าเราจะชดใช้บาปมันก็ชดใช้กันไม่ไหว  มีทางเดียวในกิจของพระพุทธศาสนาคือ  หนีบาป  การภาวนาให้จิตทรงตัว  การคิดถึงคุณพระรัตนตรัย  โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกรักของพ่อทั้งหมดต่างคนต่างได้อภิญญาสมาบัติ  การทรงอภิญญาสมาบัตินี่ถือว่าเป็นคุณธรรมอันเลิศ  ยากที่บุคคลอื่นจะพึงทำได้”  (คำว่าบุคคลอื่นหมายถึงบุคคลภายนอก  แต่พราหมณ์เขาก็ทำได้)

     เมื่อได้อภิญญาสมาบัติแล้ว  จงรักษาอภิญญาสมาบัติไว้ให้ทรงตัว  พยายามรวบรวมบารมี ๑๐ ประการไว้ให้ครบถ้วน  พยายามตัดสังโยชน์ ๑๐ ประการให้หมด  จรณะ ๑๕ ปฏิบัติให้ครบถ้วน  มีพรหมวิหาร ๔ ใหห้ครบถ้วน  ทรงศีลให้บริสุทธิ์  มีอิทธิบาท ๔ ทรงตัว  เมื่อมีการทรงตัวดังกล่าวมานี้  ลูกรักของพ่อจะไม่ต้องไปเกิดอีกต่อไป  การเกิดอย่างพระเจ้ามังรายที่เล่ามานี้ไม่เป็นเรื่อง

     ตอนนี้ไปนอนสบายอยู่ที่พรหม  มองดูไทยสมัยพ่อขุนรามคำแหงยาวเหยียด  ไทยด้านเหนือ พ่อขุนรามคำแหงก็วางแผนดีเป็นมิตรกับพระขุนเม็งราย  เป็นเพื่อนกันดี  ฝ่ายใต้ตีไปจนถึงสิงคโปร์  การตีคราวนั้นไม่ยากเพราะเป็นการรวมไทยที่พ่อขุนศรีเมืองมานไปวางรากฐานแห่งความสามัคคีไว้แล้ว  รวมกันก็ง่ายเพราะคนไทยด้วยกันที่ขัดคอกันก็มีที่กระบี่เท่านั้นที่เขาสู้หนัก  นอกนั้นไม่เสียเลือดเนื้อ  ท่านก็นอนดูสบาย

     ต่อมาไม่ช้าไม่นานคนไทยเกิดแบ่งเป็น ๒ พวกซะแล้ว  ไทยเชียงแสนก็ยังอยู่ดี  แต่เกิดไทยอู่ทองขึ้นมาอีกแล้ว  ท่านพรหมมังรายเห็นไทยแยกเป็น ๒ พวกแบบนี้ มันก็จะกลายเป็นไม้เรียวหนามเป็นอันๆ  ไม่ช้าไม่นานนักเขาก็จะหักทีละซี่ ๒ ซี่  ตอนนี้เห็นท่าจะไม่ดีซะแล้ว  ลูกหลานไทยนี่มันไม่รู้จักประสานกัน  ไม่มีความสามัคคี  การบ้าลาภ  บ้ายศนี่  มันเป็นของไม่ดี  บ้าความเป็นเป็นใหญ่  มองมามองไปเกิดรำคาญใจถ้าจะอยู่ไม่ได้  พอดีท่านท้าวผกาพรหมท่านก็มาบอกว่า (นี่ท่านปู่บอกนะ  เล่าเรื่องของพระเจ้ามังรายมหาราชนะ  ไม่ใช่ประวัติของหลวงพ่อ  พระเจ้ามังรายนี่ท่านเป็นคนขยันเกิด  แต่คนอื่นก็อาจจะขยันเกิดอย่างพระเจ้ามังรายเหหมือนกัน)

     ท่านผกาพรหมก็บอกว่า  “นี่พ่อพรหมจ๋า  ในฐานะที่ปรารถนาพุทธภูมิ  พระพุทธศาสนาจะทรงอยู่ในประทศไทย  แต่ถ้าไทยยังแตกกันอยู่อย่างนี้เพียงใด  พระพุทธศาสนาจะทรงอยู่ไม่ได้   เพราะถ้าไม่มีคนนับถือ  ไม่มีคนปฏิบัติตาม  พระพุทธศาสนาเกิดไม่ได้  ฉะนั้นท่านต้องกลับลงไปรวมไทยเดิมให้เป็นไทยเตามดิม”  เอาอีกแล้ว  ท่านองค์นี้ขยันเตือนจริงๆ จะลงมาเกิดเองก็ไม่ลงมา  จึงถามท่านว่า  “จะไปลงที่ไหนล่ะ”

     ท่านผกาพรมบอกว่า  “โน่น  ไปลงที่อู่ทอง  ไปหาทางเข้าครองเมืองให้ได้  เป็นกำลังใหญ่ของเมือง  อย่าเพิ่งเป็นพระเจ้าแผ่นดิน”

     ถามว่าจะจัดใครลงไปบ้าง  ท่านผกาพรหมก็บอก  จะจัดเทวดา  พรหม  ลงมาช่วยพอสมควร  แหม  ท่านผกาพรหมนี่มีหน้าที่จัดอย่างเดียว  น่าจะแต่งเป็นประธานาธิบดีพรหมจัด  ประเภทจัดให้คนอื่นเขาทำงาน  แต่ตัวเองไม่ทำน่ะ”

     นี่  พอคุยละมายืนต่อว่า  “มันเป็นหน้าที่ของพระเจ้ามังรายเขา  เขามีความปรารถนาอย่างนั้น  ก็คอยบอกให้เขาทำอย่างนั้น”

     เป็นอันว่า พรหมมังราย  ก็ลงมาเกิดเป็นวาระที่ ๖  ในช่วงระยะเพียง ๒,๐๐๐ ปีเศษ  เกิดในเมืองอู่ทอง  เขาให้นามว่า  “ขุนหลวงพ่องั่ว”  ตอนนี้หาทางรวมไทยเข้าด้วยกัน  ใช้วิธีการทัง ๒ อย่าง คือ  รบด้วยอาวุธ และ รบด้วยลิ้น  การรบด้วยลิ้นถือว่ามีความสำคัญมากกว่าการรบด้วยอาวุธ  เมื่อหาทางไปตีสุโขทัยเข้ามารวมกันไม่ได้  ก็เจรจาเป็นเพื่อนกันดีกว่า  เพราะตอนนี้พระเจ้าอู่ทองสร้างกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี  ที่หนองโสนแล้ว

     ขุนหลวงพระงั่ว เข้าไปหา พระเจ้าลิไท  เจรจากันว่า  “คนไทยเรานับถือพุทธศาสนา  และเวลานี้  พระธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากระจัดกระจายไป  เราควรจะรวบรวมพระธรรมวินัยให้เป็นหมวดหมู่  จะได้เป็นหลักฐานในการสร้างความดีของคนไทย”

     พระเจ้าลิไทท่านก็เป็นคนดี  บอก  โอ.เค. ด้วย  ไม่ถือโทษโกรธเคืองที่เคยยกทัพไปตีท่าน

     ต่อมามีการนิมนต์พระสงฆ์ไปรวบรวมพระธรรมวินัย  ใครรู้อะไร  ใครมีตำราอะไร  ก็มารวบรวมกันไว้

     ต่อมาท่านก็คิดว่า  ควรจะให้คนไทยรู้จักบาปรู้จักบุญ  จึงนิมนต์พระสงฆ์มาร่าง  “ไตรภูมิพระร่วง”  ขึ้น  การร่างไตรภูมิพระร่วงนี่  ความจริงพระร่วงไม่ได้ทำ  ท่านเป็นเพียงศาสนูปถัมภ์  มีขึนหลวงพระงั่วไปร่วมกับบรรดาพระสงฆ์ที่นิมนต์มาด้วย  เป็นการร่วมมือกันระหว่างสุโขทัย และ กรุงศรีอยุธยา

     และต่อมาก็ได้ร่วมกันอีก  สร้างพระพุทธชินราช  สร้างพระพุทธชินสีห์  และสร้างพระศากยมุนี ขึ้นมาเป็นมิ่งขัวญของเมืองไทย  เป็นการแสดงสัญญลักษณ์ว่าประทศไทยจะทรงตัวอยู่ได้ด้วยเหตุ ๓ เส้าด้วยกันคือ ชาติ  ศาสนา  พระมหากษัตริย์

          พระพุทธชินราช     หมายถึง     พระมหากษัตริย์

          พระพุทธชินสีห์       หมายถึง     พระศาสนา

          พระศากยมุนี          หมายถึง     ชาติ

     การสร้างครั้งนี้ก้เป็นหน้าที่ของ  ท้าวโกสีสักกะเทวราช  ให้พระวิษณุกรรมมาช่วย  นี่ท่านผู้ใหญ่ท่านเล่าให้ฟังอย่างนี้นะ  ถ้าใครไม่เชื่อก็ไปเอาคนตายมาถามดูก็แล้วกัน 
by admin admin ไม่มีความเห็น

พรหมชั้นที่ 1-16

ท่านสาธุชนทั้งหลายและพระคุณเจ้าที่เคารพ เมื่อวันพุธก่อนได้พาท่านพุทธบริษัทและพระคุณเจ้าที่เคารพทุกท่านไปเที่ยวชมสวรรค์ชั้นกามาวจร แบบย่อๆ จบลงแล้ว สำหรับวันนี้ เราเดินทางท่องเที่ยวกันในชั้นพรหมต่อไป

     เรื่องการท่องเที่ยวนี่ บรรดาท่านพุทธบริษัท คงจะมีอยู่อีก ๒ ตอน คือตอนนี้กับตอนหน้า เป็นอันว่าจบกัน ทั้งนี้เพราะว่า ถ้าไม่จบหนังสือเล่มนี้จะใหญ่มากเกินสมควร และสำหรับบรรดาท่านพุทธบริษัท ที่ถามถึงวิธีปฏิบัติที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนและยืนยันว่ามีเป็นประการใด ถ้าหากว่าจะนำจดหมายมาอ่านมันก็เกินกว่า ๑๐๐ ฉบับแล้วก็มีท่านพุทธบริษัทหลายท่านส่งเครื่องบันทึกเสียงมาให้บันทึกจะได้เอาไปฟัง อันนี้ก็เห็นจะทำกันไม่ไหว  ถ้าขืนทำก็คงจะตายกันละ ตายก่อนจบ เป็นอันว่าเรื่องราวแต่งเพราะกรรมฐานที่พระพุทธเจ้าทรงยืนยัน อาตมาจะนำออกอากาศ หลังจากเรื่องราวแห่งไตรภูมิจบตอนนี้ แล้วก็ตอนหน้าอีก ๑ ตอนจบ หลังจากนั้นก็จะเอาเรื่องราวแห่งพระกรรมฐานที่พระพุทธเจ้าทรงยืนยันในการสอนกับนิโครธปริพาชก ซึ่งปรากฏมีมาในอุทุมพลิกาสูตร เอามาพูดให้บรรดาท่านพุทธบริษัททราบโดยละเอียด ฉะนั้นหากว่า บรรดาท่านพุทธบริษัทที่มีความประสงค์ที่จะเก็บเสียงไว้ ก็โปรดหาเครื่องบันทึก เอามาบันทึกเสียงจากวิทยุไว้ก็แล้วกัน จะได้รับฟังกันโดยทั่วๆ ไป แล้วก็เก็บกันได้นานๆ เรื่องการที่จะตอบจดหมายหรือว่าบันทึกไว้สำหรับให้ฟังน่ะ ทำไม่ไหวแน่ เพราะภาระก็มีหนัก แล้วก็ร่างกายไม่สู้จะดีนัก เอาละ ต่อจากนี้ไป เราไปเที่ยวกันชั้นพรหมดีกว่า


    พรหมขึ้นทางไหนลงทางไหน เวลานี้เราอยู่ในสภาพของกายทิพย์ ไม่เห็นจะมีอะไรยาก ก้าวปั๊บเดียวก็ถึงพรหม


    มาว่ากันถึงพรหมอันดับแรก มี ๓ ชั้นด้วยกัน คือ พรหมชั้นที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ บรรดาท่านพุทธบริษัทและพระคุณเจ้าที่เคารพโปรดทราบ การบำเพ็ญบารมีเพื่อเป็นพรหม หากว่าจะสร้างโบสถ์วิหารการเปรียญสักแสนหลังหรือล้านหลัง หรือว่าจะลงทุนสร้างวัดสร้างวาทำสิ่งสาธารณประโยชน์สักกี่ล้านรายการก็ตาม เราไม่มีโอกาสจะเป็นพรหมกันได้ สำหรับพรหมนี้จะเป็นได้ก็ต้องอาศัยการเจริญสมถกรรมฐานให้ได้ถึงฌานสมบัติ นี่ว่ากันถึงเรื่องพรหมโลกียฌาน แล้วก็พรหมโลกุตรฌาน ก็ต้องมีวิปัสสนาญานควบคู่กับสมถะที่ได้ฌาน แล้วเวลาจะตายจากความเป็นมนุษย์ก็ต้องเข้าฌานตาย ไม่ใช่ตายแบบประเภทส่งเดช เป็นอันว่ารู้กัน รู้กันแล้วนะบรรดาท่านพุทธบริษัท ว่าจะเป็นพรหมต้องเจริญสมถกรรมฐานด้วยภาวนาให้ได้ฌานสมบัติ แล้วก็เวลาจะตายไม่ใช่ตายแบบประเภทส่งเดช คือว่าต้องตายในระหว่างที่ทรงฌาน


    ตานี้ พรหมระดับที่ ๑ ที่ได้ปฐมฌาน ท่านที่เจริญปฐมฌานได้อย่างหยาบ ๆ ปฐมฌานนี่มี ๓ ชั้นด้วยกัน คือ อย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียด ท่านที่ได้ปฐมฌานหยาบ แล้วออกในปฐมฌานหยาบ เวลาตาย ชื่อว่า ปริสัชชาพรหม มีอายุอยู่ในพรหมได้ ๑ ใน ๓ ของกัป เวลาปีนี่อย่าไปถามนะ ไอ้เรื่องกัป ๆ นี่พูดกันมาแล้ว ว่ากำหนดเป็นปีเป็นเดือนเป็นวันไม่ได้ ปฐมฌานหยาบนี่ ไปเป็นพรหมชั้นที่ ๑ ชื่อว่า ปริสัชชาพรหมมีอายุอยู่ในพรหมได้ ๑ ใน ๓ ของกัป แล้วท่านที่ทรงปฐมฌานได้อย่างกลางไปเป็นพรหมชั้นที่ ๒ ชื่อว่า ปุโรหิตาพรหม มีอายุครึ่งกัป ท่านที่เป็นพรหมปฐมฌานอย่างละเอียด พรหมชั้นนี้เรียกว่ามหาพรหมมา มีอายุได้ ๑ กัป สำหรับพรหมกับเทวดามีต่างกันอยู่อย่างหนึ่ง คือว่าเทวดานี่นะ มีนางฟ้าเยอะแยะเรียกว่าไม่ต้องหาสาว ๆ กันก็แล้วกัน มีสาว ๆ คอยบำรุงบำเรออยู่นับเป็นร้อย เป็นพันเป็นหมื่นเป็นแสน แต่ว่าพรหมนี่มีสภาพคือวิมานหนึ่งอยู่องค์เดียว วิมานกว้างใหญ่ไพศาลมีเนื้อเหมือนแก้วใส ๆ มีเครื่องประดับเป็นสีเหลืองคล้ายทองแต่มีประกายออก ถ้าเราจะมองกันไปแล้วประกายของทองจะจับที่เนื้อ เห็นเนื้อพรหมเป็นทองไปหมด นี่ พึงทราบว่าสภาวะของพรหมเป็นอย่างนี้พรหมอยู่กันอย่างสงบสงัด แล้วบรรดาพรหมทั้งหลายไม่มีเพศ ผู้หญิงก็ตาม ผู้ชายก็ตาม ถ้าตายจากความเป็นคนแล้วไปเกิดเป็นพรหม หาความเป็นผู้หญิงผู้ชายไม่ได้ เป็นอันว่าเรื่องราวของการต้องการเพศ ไม่มีสำหรับพรหม อันนี้ ท่านที่ชอบรักก็ไม่น่าจะอยากอยู่นะ คงจะอยากอยู่สวรรค์มากกว่า แต่ว่าท่านที่ต้องการความสงบก็อยู่ที่พรหม แล้วพรหมแต่ละท่านก็เป็นพรหมประเภทที่มีความสงบ คืออยู่ด้วยความเป็นสุขด้วยกำลังของธรรมปีติ คือฌานที่เล่าให้ฟัง


    ต่อไปก็เป็นพรหมสำหรับฌาน ๒ สำหรับฌานที่ ๒ นี่ก็มีอยู่ ๓ อันดับเหมือนกัน คือ อย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียด ท่านที่ได้ฌาน ๒ แล้วก็ตายในฌาน ๒ อย่างหยาบไปเกิดเป็นพรหมชั้นที่ ๔  ชื่อว่า ปริตตาภาพรหม นี่นะ ชื่อชั้นนี้เขาเรียก ปริตตาภามีอายุอยู่ในพรหมได้ ๒ กัป แล้วถ้าหากว่าได้ฌานที่ ๒ อย่างกลาง ไปเกิดเป็นพรหมชั้นที่ ๕  พรหมนี้เรียกว่า อัปปมาณาภา มีอายุได้ ๔ กัป อย่าลืมนะว่าพรหมที่ได้ฌาน ๒ อย่าง กลางไปเป็นพรหมชั้นที่ ๕ พรหมชั้นนี้มีนามของชั้นว่าอัปปมาณาภา มีอายุ ๔ กัป แล้วก็ท่านที่ได้ฌาน ๒ ละเอียด ไปเกิดเป็นพรหมชั้นที่ ๖ พรหมชั้นนี้เรียกนามว่า อาภัสรา มีอยู่ ๘ กัป พรหมแต่ละชั้นๆ นี่ มีอายุเป็นกัปๆ เขาไม่ได้นับเป็นปีๆ


    ทีนี้ มาว่ากันถึงท่านที่ได้ฌาน ๓ ฌาน ๓ นี่แบ่งเป็น ๓ ชั้นเหมือนกันคืออย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียด ท่านที่ได้ฌาน ๓ อย่างหยาบไปเกิดเป็นพรหมชั้นที่ ๗ พรหมชั้นนี้มีนามว่า ปริตตสุภา มีอายุ ๑๖ กัปแล้วท่านที่ได้ฌาน ๓ อย่างกลางไปเกิดเป็นพรหมชั้นที่ ๘ พรหมชั้นนี้มีนามว่า อัปปมาณสุภามีอายุ ๓๒ กัป แล้วท่านที่ได้ฌาน ๓ อย่างละเอียดไปเกิดเป็นพรหมชั้นที่ ๙ พรหมชั้นนี้มีนามว่า สุภกิณหา มีอายุ ๖๔ กัป แหมกว่าจะมาเกิดเป็นคนได้ นานเหลือเกิน ชักจะเหนื่อยๆ นี่ว่ากันถึงพรหมชั้นที่ ๓


    ตานี้ มาว่ากันถึงพรหมชั้นที่ ๔ ประเภทฌานโลกีย์ ฌาน ๔ นี่มีอยู่ ๒ ระดับ เป็นพรหมได้ ๒ ระดับ คือพรหมชั้นที่ ๑๐ และ ๑๑ ฌาน ๔ อย่างหยาบไปเกิดเป็นพรหมชั้นที่ ๑๐ ชื่อว่า เวหัปผลาพรหม มีอายุเป็นพรหมได้ ๕๐๐ กัป น่าดูเหลือเกิน ท่านที่ได้ฌาน ๔ ละเอียดแล้วก็ได้สัญญาวิราคาภาวนา คือเจริญวิปัสสนาญาณเพื่อความเครียดจากราคะเป็นพรหมชื่อว่า อสัญญีตาภูมิ มีอายุได้ ๕๐๐ กัปเหมือนกัน พรหมชั้นที่ ๑๑ นะ นี่สำหรับพรหมชั้นนี้มีแปลกอยู่อย่างหนึ่ง ชั้นที่ ๑๑ นี่ ไม่ใช่เป็นพรหมชนิดทรงฌานแบบจิตสงบเฉยๆ นะ คือเรียกว่าได้สัญญาวิราคา ฟังรู้เรื่องไหม? ฟังไม่รู้ซี พระบางท่านอาจจะฟังรู้เรื่อง โยมบางท่านอาจจะฟังไม่รู้เรื่อง เพราะตาเถรคนพูดแกพูดส่งเดชนี่ สัญญาวิราคาภาวนา จะไปรู้อะไร ยังงี้ใครจะรู้เรื่อง พูดใหม่ดีกว่า สัญญาวิราคาภาวนา ภาวนาแปลว่าการเจริญคือการทำในด้านของความดี สัญญาแปลว่าความจำ วิราคะแปลว่ากำจัดความรัก ไม่หมดหรอก แต่เบาลงไป เรียกว่ามีวิปัสสนาญาณครบไม่ใช่สมถะอย่างเดียวต้องเจริญวิปัสสนาญาณด้วย แล้วดับความรู้สึกที่จำไว้ว่าไอ้นั่นสวยไอ้นี่สวยอย่างโน้นสวยอย่างนี้สวย อย่างนี้อารมณ์ใจเริ่มเบื่อ แต่ก็ประเภทเบื่อๆ อยากๆ ไม่ใช่เบื่อหมด ประเดี๋ยวเบื่อประเดี๋ยวอยาก แต่มีความรู้สึกเบื่อมากกว่าอยาก บางทีอยากๆ ขึ้นมาแล้ว พอกินเข้าไปแล้วอิ่มเบื่อ แต่ว่าถึงแม้ว่าบางครั้งไม่ได้บริโภคก็เบื่อมาก มีอารมณ์เบื่อมากกว่าความอยาก ท่านจึงเรียกว่าสัญญาวิราคาภาวนา ยังไม่ได้บรรลุมรรคผล นี่จบแค่ฌาน ๔ โลกียฌานเพียงเท่านี้นะ


    แต่พรหมจริงๆ น่ะ บรรดาท่านพุทธบริษัท ท่านมีอยู่ถึง ๑๖ ชั้นสำหรับรูปพรหมที่พูดมานี่ เป็นเรื่องของรูปพรหมทั้งหมด ตั้งแต่ชั้นที่ ๑๒ เดียว จะเก็บไว้ก่อน ยังไม่คุยมาไล่เบี้ยพรหมฝ่ายที่เป็นโลกียฌานกันเสียก่อน สำหรับพรหมนี่ บรรดาท่านพุทธบริษัทถ้าเราคิดกันอย่างมนุษย์ที่มีความต้องการมากๆ จะคิดว่าพรหมนี่หงอยเหงาเหลือเกิน ไม่มีเพื่อนเหมือนเมืองเทวดา เทวดามีเพื่อนมากมีผู้หญิงก็มาก มีผู้ชายน้อย รู้สึกว่าผู้หญิงจะเสียเปรียบผู้ชาย เพราะผู้ชายคนเดียวดีผู้หญิงตั้ง ๕๐๐ เป็นอย่างน้อย บางรายก็ตั้งพันตั้งหมื่นตั้งแสน แล้วบรรดาสาวๆ ทั้งหลายไม่เหงากันแย่รึ ถ้าจะพูดกันอีกทีไม่เหงาหรอกบรรดาท่านพุทธบริษัท เพราะเทวดามีสมรรถภาพมาก ไม่เหนื่อย ไม่เพลีย ไม่ง่วงเหงาหาวนอน เรียกว่า เทวดาเป็นผู้ทรงอานุภาพ สามารถจะแจกความรักได้ทั่วถึงกัน นี่สำหรับคนที่เมาในรักนะ คนที่ชอบรักมากๆ ต้องไปเกิดเป็นเทวดา แล้วคนที่ต้องการความสงบสงัดมากๆ ก็ควรต้องไปเกิดเป็นพรหม พรหมนี่แปลว่าอะไร ไม่ใช่แปลว่าปูพื้นห้อง ไม่ใช่ยังงั้น ไม่ใช่พรมสำหรับเหยียบสำหรับย่ำ พรหมนี่แปลว่าประเสริฐ จำไว้ให้ดี คำว่าพรหมนี่แปลว่าประเสริฐ เป็นผู้มีอารมณ์สงัด มีธรรมปีติอยู่ตลอดเวลา ทรงฌานอยู่ตลอดเวลา มีความสงบสงัด เขาบอกว่าพระพรหมเป็นผู้สร้างโลก พระพรหมบันดาลให้มนุษย์เป็นยังงั้นยังงี้ นี่เป็นประเพณีของคนโกหกมดเท็จ พรหมไม่ได้มีหน้าที่มายุ่งกับคน ใครจะดีจะชั่วเป็นเรื่องของบุคคลคนนั้น ได้เรื่องการบันดาลให้มนุษย์เป็นยังงั้น สัตว์เป็นยังงี้ สร้างโลกนี่ พรหมไม่มีหน้าที่ หน้าที่ของพรหมมีอยู่อย่างเดียว คือมีจิตเมตตา รักคนและสัตว์เสมอด้วยตัว กรุณามีความสงสารมนุษย์และสัตว์เสมอด้วยตัวท่าน มุทิตา เมื่อเห็นบรรดามนุษย์ทั้งหลายทำความดีก็พลอยยินดีด้วย อุเบกขา ถ้าใครสร้างความชั่ว ท่านเตือนไม่ไหวหรือเตือนแล้วไม่ได้ยินไม่ฟัง ไม่ได้รับทราบ ท่านก็ต้องตั้งในอุเบกขา วางเฉยเพราะสงเคราะห์ไม่ไหว นี่ว่ากันถึงเรื่องของพรหม ความอยู่เป็นสุขของพรหมมีความดีมาก สบายมาก สงบสงัด พระเณรในพระพุทธศาสนาที่เรียกว่าพรหมจรรย์ ก็แปลว่าประพฤติ คือหมายความว่าเป็นผู้สงบสงัดจากนิวรณ์ ๕ ประการ นี่ว่ากันเฉพาะพรหมชั้นที่ ๑ ถึงชั้นที่ ๑๐ แต่ว่าถ้าจะให้เหมือนพรหมชั้นที่ ๑๑ ก็ต้องเจริญวิปัสสนาญาณ พอมีอารมณ์ของวิปัสสนาใกล้ ๆ จะตัดสังโยชน์ได้ เห็นของสวยว่าไม่สวย เห็นของดีว่าไม่ดี เพราะจิตเริ่มมีกิเลสบางเข้า นี่ พระทั้งหลายที่เขาเรียกพรหมจรรย์ก็หมายความว่า เป็นผู้มีความประพฤติเหมือนพรหม แต่ว่าพระหลายท่าน หรือกี่ท่านก็ตาม ถ้าปฏิบัติเข้ามาแล้วทรงฌานสมาบัติอย่างพรหม อย่างนี้ เขาเรียกว่าพรหมจรรย์ขวาง พรหมจรรย์ประเภทขวาง ๆ ฉะนั้น เมื่อบวชเข้ามาแล้วในพระพุทธศาสนา บกพร่องในศีล บกพร่องในฌานสมาบัติ พระพุทธเจ้ากล่าวว่าท่านผู้นั้นไม่ใช่สาวกของท่าน เรียกว่าไม่ใช่ลูกของพระพุทธเจ้า ถ้าไม่ใช่ลูกพระพุทธเจ้าก็ไม่ใช่ลูกพระเทวทัตตามใจ นี่ไม่ได้นินทาใครนะ  พูดให้บรรดาท่านพุทธบริษัทฟัง บรรดาพระคุณเจ้าและญาติโยมพุทธบริษัทที่ติดตามมา ชมพรหมสวยสดงดงาม พรหมแต่ละท่านมีหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสหน้าระรื่นชื่นบาน เห็นพวกเราเดินผ่านขึ้นมายกมือไหว้กัน ท่านก็ยกมือรับ และทุกท่านก็รู้สึกว่ามีความสุขใจที่เห็นพวกเราผ่านมา เอา เรื่องการพรรณนายกไว้พูดมาก ตาเถรนี่พูดมาก ประเดี๋ยวเวลาไม่พอ


    คราวนี้ ประเดี๋ยวก่อน เราอย่าเพิ่งไปพรหมชั้นที่ ๑๒ กัน เพราะพรหมชั้นนั้นเป็นพรหมของชั้นอนาคามีที่ได้ฌาน  ๔ แล้วออกจากฌาน ๔ ด้วย เวลาตาย มาด้วยกำลังของฌาน ๔ ทีนี้ มาว่ากันถึงพรหมชั้น ๑ ถึงชั้นที่ ๑๑ จะมีพระอริยเจ้าไหม ก็ตอบได้เลยว่ามีพระอริยเจ้าอยู่มาก ที่เป็นพระโสดา สกิทาคา อนาคาก็เยอะ ทั้งนี้เพราะอะไร? เพราะท่านทั้งหลายที่เป็นพระอริยเจ้า ได้ฌานเหมือนกัน แต่เฉพาะอย่างยิ่งต้องไม่ถึงอนาคามีนะ ได้ฌานเหมือนกัน แต่ว่าบางท่านถึงฌาน ๔ ที่ไม่ได้อนาคามีก็ต้องมาเป็นพรหมตั้งแต่ชั้นที่ ๑ จนถึงชั้นที่ ๑๑ สำหรับท่านที่เป็นพระโสดา สกิทาคา อนาคา แต่ว่าไม่ได้ฌาน ๔ ก็ต้องเป็นพรหมระดับต่ำลงไปตั้งแต่ ๑ ถึง ๑๐ หรือว่าท่านที่ได้อนาคามี แต่ว่าได้ฌาน ๔ เวลาจะตายจริง ๆ ไม่ได้ตายในระหว่างฌาน ๔ เข้าแค่ฌานที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ก็มาอยู่ตามระยะตามที่กล่าวมาแล้ว เป็นอันว่าพรหมตั้งแต่ชั้นที่ ๑ ถึงชั้นที่ ๑๑ ไม่ใช่มีแต่ฌานโลกีย์อย่างเดียว ที่เป็นพระอริยเจ้าก็เยอะ จะบอกชื่อพรหมให้รู้จักสัก ๒-๓ ท่านเกรงว่าบรรดาท่านพุทธบริษัทจะสะอิดสะเอียนว่าท่านเหล่านั้นเป็นพระอริยเจ้าขนาดไหนเพราะเคยถามท่าน แต่มาคิดดูแล้วไม่พูดดีกว่า ถ้าขืนพูดดีไม่ดีท่านพุทธบริษัทจะต้องกลั้นใจตาย จะนึกว่าตาเถรหัวล้านนี่เอาใหญ่เสียแล้ว ดันไปรู้เรื่องของพรหมมากเกินไป

พรหมชั้นที่ ๑๒-๑๖

ท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย วันพุธนี้ เป็นพุธสุดท้ายของเรื่องไตรภูมิแล้ว ก็ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทที่มีความประสงค์จะรู้แนว ทางปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้ว่าการปฏิบัติพระกรรมฐานแบบไหนมันถึงจะถูก แบบไหนมันถึง จะตรง อันนี้ ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทเตรียมเครื่องบันทึกเสียงคอยรับเข้าไว้ ว่าการปฏิบัติที่ถูกต้องที่ควรน่ะมันเป็นยังไง ตั้งแต่พุธหน้าเป็น ต้นไป ก็จะนำเอาเรื่องราวที่ พระพุทธเจ้าทรงยืนยันกับนิโครธปริพาชกในเรื่องการสอนเพื่อให้บรรลุมรรคผลมาพูดให้ บรรกาท่านพุทธศาสนิกชนฟังทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าการปฏิบัติเวลานี้ รู้สึกว่ายุ่งๆ อยู่เหมือน กัน บางท่านก็เอาดีกันในด้านที่เรียกว่าพระพุทธเจ้าไม่ดี บางทีบางคนเห็นพระฉันข้าวเวลาเดียว เอ้า นึกว่าโก้ไปมากเสียแล้ว บางทีเห็นเขากินข้าวสำรวมกัน อะไรๆ ก็รวมกันมาหมด อย่างนี้มัน ก็ดีมันก็โก้มาก ทีนี้ถ้าจะทราบว่ามันถูกหรือไม่ถูก ทำแบบนั้น อะไรบ้างถูกอะไรบ้างผิด หรือ ประเภทมังสะวิรัติ ไม่กินเนื้อสัตว์เห็นว่าเป็นของอัศจรรย์ เวลานี้อาตมาจะยังไม่พูดว่าอย่างนั้น ถูก หรืออย่างนี้ถูก เอาไว้ไปฟังกันตอนที่พระพุทธเจ้าพูดดีกว่า เตรียมตัวไว้ก็แล้วกัน ว่าท่านผู้ใด ต้องการแนวประพฤติปฏิบัติที่ถูกต้องตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนความจริงถ้าทำได้อย่างนี้นะ ท่านกำหนดเวลาไว้ไม่กี่ปี อย่างช้าบุคคลผู้มีบารมีมาก ๗ วันได้อรหัตผล ถ้าทำคุณสมบัติในเบื้อง ต้นได้ครบถ้วน อย่างกลางไม่เกิน ๗ เดือน และอย่างเลวที่สุดไม่เกิน ๗ ปีเห็นไหม ว่าการสั่งสอน ขององค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้สอนแบบคลุมๆ มีหลักเกณฑ์ในการ สอนครบถ้วนกระทัดรัด เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้าสนใจนะอย่านั่งเขียนจดหมายมาเลย หรืออย่าส่งเทปมาให้บันทึกเลย ไม่ไหว ทำไม่ไหวจริงๆ นอกจากบันทึกออกอากาศแล้ว งานอื่นยังมี การสอนพระกรรมฐานมีเป็นปกติ การสร้างวัดก็ต้องทำ เพราะว่าที่พักที่อาศัยเข้าใจว่ามากแล้วเวลา นี้กลับเล็กไปเสียอีกแล้ว คนมาพักเข้าจริงๆ ไม่มีที่ให้พัก ต้องไปนอนกันกลางศาลาบ้าง อะไรบ้าง อย่างนี้เป็นต้น ก็รู้สึกว่าสงสารคน คนที่มุ่งความดีจึงได้ตั้งใจจะให้ท่านพุทธบริษัทที่มีความประสงค์ดี ปรารถนาจะปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระชินสีห์บรรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้อยู่ค่อนข้างสบายนิดๆ ไม่ได้สบายมาก มีที่กินสบายหน่อยๆ ไม่ใช่สบายมาก จะได้ประพฤติปฏิบัติธรรมะ จึงจะสร้างวิหารทานขึ้นให้พอสมควรแก่บุคคลผุ้มาพัก เอาละ วันนี้มาพูดกันต่อไป ว่ากันถึงพรหมชั้นดีเลยนะ เป็นพรหมชั้นอนาคามีระหว่างสวรรค์ถึงพรหมนี่เราไม่ได้ชมกันเสียแล้ว บรรดาพระคุณเจ้าที่เคารพและบรรดา ญาติโยมพุทธบริษัทที่รัก เรามาวิ่งชมกัน ถ้าขืนเดินชมกันละก็ร้อยงวด ร้อยพุธไม่จบ นี่เราว่ากัน เพียง ๒๔ พุธ หรือ ๒๔ ตอน เอากันแค่นี้ก็แล้วกัน วันนี้มาว่ากันถึงพรหมชั้นที่ ๑๒, ๑๓, ๑๔, ๑๕, ๑๖ สี่ชั้น แล้วจะย่องพูดเรื่องนิพพานสักนิด นิพพานนี่จะพูดไว้นิดเดียว พูดมากไม่ได้ ประเดี๋ยวคนตกนรกมาก สำหรับพรหม ๔ ชั้นนี้ เป็นพรหมที่ได้อนาคามี สมัยที่เป็นมนุษย์ เจริญฌานสมาบัติได้ถึงฌาน ๔ แล้วก็ได้อนาคามี เหลืออีกขั้นเดียวจะเป็นพระอรหันต์ ถ้าหากว่าท่านที่ได้อนาคามีแล้ว แล้วเวลาจะตายได้ฌาน ๔ ขอโทษได้ฌาน ๔ มาก่อน เวลาจะตาย ทรงอยู่ในฌาน ๔ ออกจากกายด้วยกำลังของฌาน ๔ อันดับแรก ว่ากันยังงั้นก็แล้วกัน อันดับแรก ท่านบอกว่าเป็นประเภทมีอินทรีย์แก่กล้านะ อินทรีย์แก่กล้า อินทรีย์นี่คือความเป็นใหญ่ แล้วแก่กล้า ในทางการพิจารณาใหญ่ หูก็ใหญ่ ตาก็ใหญ่ ปากก็ใหญ่ จมูกก็ใหญ่ ใหญ่ในที่นี้ มีความเป็นใหญ่ ในอายตนะ ปากมีหน้าที่กิน จมูกมีหน้าที่สูดกลิ่น หูมีหน้าที่ฟัง อย่างนี้เป็นต้น จมูกจะไปฟังเสียง ไม่ได้ เพราะหูเขาใหญ่ เขาไม่ยอมให้ฟัง หูก็เหมือนกันจะไปดมกลิ่นไม่ได้เพราะจมูกเขาใหญ่ เขาไม่ยอมให้ละเมิดหน้าที่เขา หน้าที่ใครหน้าที่มัน พรหมประเภทนี้ พิจารณาอายตนะภายใน ๖ อายตนะภายนอก ๖ มีความแก่กล้า เห็นว่าไม่เป็นเรื่อง เกิดมาเป็นพรหมชั้นที่ ๑๒ พรหมชั้นนี้ มีชื่อ อวิหาสุทธาวาส มีอายุ ๑,๐๐๐ กัป ว่ากันง่ายๆ ยังงี้ดีกว่า แล้วต่อไปพรหมชั้นที่ ๑๓ เป็นพระอนาคามี เวลาตาย ออกจากฌาน ๔ เหมือนกัน พรหมนี้มีวิริยะกล้า เพราะมีความเพียร มาก มีวิริยะ อุตสาหะมาก ไม่อยากจะพูดกับใครไม่อยากจะคุยกับใคร มุ่งหน้าอย่างเดียว ปฏิบัติเพื่อบรรลุมรรคผล อันนี้องค์สมเด็จพระทศพลท่านบอกว่า เวลาตายจากความเป็นมนุษย์ มากเกิดเป็นพรหมชั้นที่ ๑๓ พรหมชั้นนี้มีนามว่า อตัปปาสุทธาวาส มีอายุ ๒,๐๐๐ กัป น่าดูๆ แล้วก็พรหมชั้นที่ ๑๔ เป็นพระอนาคามีเหมือนกัน พรหมประเภทนี้เวลาเจริญพระกรรมฐาน ทั้งสมถะและวิปัสสนา มีสติแก่กล้า คือไม่ค่อยจะลืมอะไร มีสติมาก นี่ปฏิปทาไม่เหมือนกันนะ มีสติมากมาเกิดเป็นพรหมชั้นที่ ๑๔ มีนามว่า สุทัสสาสุทธาวาส มีอายุ ๔,๐๐๐ กัป แหม เยอะน่าดู แล้วก็พรหมชั้นที่ ๑๕ เป็นพระอนาคามีเหมือนกัน พรหมชั้นนี้มีสมาธิแก่กล้ามาก นี่ไม่เอาอะไรทางไหน หมายความว่าฉันนั่งตั้งเป็นสมาธิให้มันเป๋ง จิตสงบอยู่ตลอดเวลา ใครจะพิจารณาอินทร์ก็ช่าง จะมีวิริยะ ความเพียรมากก็ช่าง จะมีสติมากก็ช่าง แต่ว่าท่านต้อง มีนะ เหล่านั้นมีมาหมด แต่ว่าทรงสมาธิแก่กล้ามาก ใจตั้งอยู่ในอารมณ์ของฌานเกือบตลอดวัน ว่ากันแค่เกือบนะ จะเอาตลอดวันเสียเลยมันจะไม่ถูก ต้องมีเวลาพักบ้างซี ไม่พักบ้างก็แย่ แต่ถึง พักก็เถอะ ท่านก็ตั้งอยู่ในฌาน อย่างน้อยที่สุด อย่างเลวที่สุดจิตตั้งอยู่ในอุปจารสมาธิ หรือไม่ยัง งั้นกับปฐมฌาน ทุติยฌาน เรื่องฌานไม่คลาดกันแน่ พรหมชั้นนี้มีชื่อว่า สุทัสสีสุทธาวาส มีอายุ ๘,๐๐๐ กัป แหมเยอะ ประเดี๋ยว พลิกไป พลิกมา พลิกไปหาพรหมชั้นที่ ๑๖ ซิ เอาตำรามาด้วย กัน เสียวกร๊อกแกร๊กๆๆ นี่ประเดี๋ยวบรรดาญาติโยมทั้งหลายจะสงสัยว่าวันอื่นๆ ไม่มีเสียง วันนี้ทำไมถึงมีเสียง วันนี้ทำไมถึงมีเสียง ก็มันอยากมาเที่ยวด้วย ถือตำราด้วย อ้าว ลืมชวนเที่ยวไป ตามกันมาหรือเปล่าล่ะ มามากันทุกคน เวลานี้ทุกคนเอาหูตามอาตมาไป อาตมาเที่ยวด้วยปาก ญาติโยมพุทธบริษัทเดินตามด้วยหู สบาย ตานี้ มาว่ากันถึงพรหมชั้นที่ ๑๖ พรหมชั้นนี้มีนามว่า อกนิษฐสุทธาวาส แหม แจ๋ว อกนิษฐสุทธาวาส ที่อ่านช้าๆ พูดช้า ก็เกรงว่าท่านเจ้ากรมสื่อสาร ทอ. คือท่านพลอากาศตรี หม่อมราชวงศ์เสริม สุขสวัสดิ์ นักลอกจากเสียงเป็นตัวหนังสือจะเขียนไม่ชัด เครื่องบันทึกอันก่อนที่ บน. ๔ คือ ๐๔ เขาส่งไปให้ บอกว่ามันทุ้มเกินไปฟังไม่ค่อยจะชัด นั่นเสียงเขาทุ้มมากไป นี่เลยขอยืมเครื่อง พระอีกองค์หนึ่งมาบันทึกถ่ายทอดเข้าไว้ เสียงคงจะชัดดีกว่า เลยพูดช้าๆ พรหมชั้นนี้มีอายุ ๑๖,๐๐๐ กัป โอ้โฮ เจ๊งเลย แต่ว่าส่วนใหญ่นะ พรหมท่านเป็นอนาคามี อยู่ไม่ค่อยเต็มที่นัก ท่านก็มักหาโอกาสบำเพ็ญบารมีไปนิพพานกันเร็วๆ นี่ว่ากันถึงอายุของท่านนะ ถ้าหากว่าเป็น พรหมชั้นอนาคามีก็ดี เทวดาชั้นอนาคามีก็ดี จะเป็นเทวดาตั้งแต่ภุมเทวดาหรืออากาศเทวดา ก็ตาม ถ้าเป็นอนาคามีแล้วยังบำเพ็ญบารมีไม่ถึงอรหัตผล ตายตรงนั้นแล้วก็เกิดตรงนั้น หมายความว่าไม่มีโอกาสจะกลับไปเกิดเป็นมนุษย์อีกจนกว่าจะถึงพระนิพพาน อ้าว พูดเลอะเทอะ แล้วซี พรหมชั้นนี้มีปัญญาแก่กล้ามากพิจารณาขัณธ์ ๕ โอ๊ยเอาอย่างจริงจังเลย แต่ว่าแบบ ๓ อย่างที่กล่าวมา ท่านมีครบถ้วน แต่ว่าท่านใช้ปัญญาหนัก ใกล้จะเป็นอรหันต์เต็มที พรหมชั้นนี้ เป็นพระอรหันต์เร็วกว่า ๓ ชั้นโน่น เพราะมีปัญญามาก เราเรียกกันว่าท้าวมหาพรหม หรือว่า สหัมบดีพรหม พรหมชั้นนี้นะ สหัมบดี สหะ แปลว่ารวม บดี แปลว่าใหญ่ พรหมชั้นนี้ เป็นใหญ่กว่าพรหมทั้งหมดพรหมทั้งหมดต้องเคารพพรหมชั้นนี้ เพราะอะไร? เพราะท่านมี บารมีใกล้พระอรหันต์เต็มที เอาละบรรดาญาติโยมและพระคุณเจ้าที่เคารพ เห็นหรือยัง เห็นพรหมบ้างไหมอยากจะไปเป็นพรหมชั้นไหนก็เลือกเอาตามอัธยาศัยที่ท่านปฏิบัติ ตานี้ เมื่อเราเที่ยวพรหมกันจนหมดแล้ว ไม่ต้องไปคุยกับท่านหรอกนะ ไปคุยกับองค์ไหนก็คุยได้ คุยแล้วบรรดาท่านพุทธบริษัทจะสงสัย ว่าตาหัวเหม่งนี่เอาอีกแล้ว เอาอีกแล้ว ไปพูดกับคนที่ไม่มี ตัว นี่เอาอีกแล้ว จะยุ่งใหญ่ไม่คุยเลยดีกว่า เวลาเหลือน้อย .

by admin admin ไม่มีความเห็น

สวรรค์ 4 ชั้น

ท่านสาธุชนทั้งหลาย สำหรับวันนี้จะพาท่านพุทธบริษัท ลัด เรียกว่าไปลักกันเลยไปจนจบแดนสวรรค์ทั้งหลาย

    นี่เราพากันออกจากชั้นดาวดึงส์ไปชั้นยามา ชั้นยามานี่อยู่ทางทิศเหนือของชั้นดาวดึงส์เป็นเนินขึ้น ความจริงสวรรค์ไม่ใช่เป็นชั้น เป็นภาคพื้นอันเดียวกัน แต่รู้สึกว่าเป็นเนินสูงกว่ากัน เดินไปสักครู่หนึ่ง เป็นทางที่สวยสะอาดมากเป็นทางสีขาวโพลน สวรรค์ชั้นชั้นยามานี่มีอายุ ๒,๐๐๐ ปีทิพย์ ถ้าจะเทียบกับเมืองมนุษย์ ๒๐๐ ปีของมนุษย์จึงเป็น ๑ วันของสวรรค์ชั้นยามา อันนี้ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททราบไว้ด้วย เทวดาชั้นยามานี่มีวิมานใหญ่กว่าเทวดาชั้นดาวดึงส์มาก มีเครื่องประดับประดาสวยสดงดงาม มีสวนเหมือนกัน มีสระโบกขรณีเหมือนกัน เป็นที่น่ารื่นรมย์มาก มีความสุขมาก เป็นเทวดาที่มาบำเพ็ญบารมีต่อโดยตรง ความจริงสำหรับดาวดึงส์ก็เหมือนกัน ดาวดึงส์ทุกวันพระ พระอินทร์จะต้องเทศน์ถ้าไม่มีใครมาเทศน์สอนเทวดา หรือมิฉะนั้นท่านก็เชิญพรหมมาเทศน์บ้าง ถ้ามีพระขึ้นไปก็นิมนต์พระเทศน์บ้าง


        สำหรับเทวดาชั้นยามานี่ทำบุญอะไร โดยมากเทวดาชั้นยามาประดับกายด้วยเครื่องขาว คือ เป็นเพชรแลดูสีขาวสะอาด วิมานก็ใหญ่กว่า มีความสงบสงัดคล้ายๆ กับเมืองพรหมมีความสุข เป็นเทวดาที่พระอินทร์ไม่เรียกใช้ เพราะว่าเป็นเทวดาที่มีความตั้งใจบำเพ็ญบารมีต่อ เรื่องการให้ทานการรักษาศีลเป็นเรื่องธรรมดาของเทวดาทุกชั้นจะต้องทำ การให้ทานการรักษาศีลของเทวดาแต่ละชั้น ตั้งแต่ชั้นดาวดึงส์ขึ้นมาหรือจาตุมหาราชขึ้นมา ท่านไม่ได้ทำตามประเพณี ทราบไว้ด้วย ตั้งใจทำกันจริงๆ ไม่เหมือนฝ่ายรุกขเทวดาหรือภุมเทวดา คือเรียกว่าบุญไม่ค่อยจะครบถ้วน ทำเหมือนกันแต่ว่าใจไม่ครบ สำหรับอากาศเทวดาทั้งหมดไม่ถือประเพณีเป็นสำคัญ ทำด้วยจิตเป็นกุศลแท้อันนี้ต้องจำไว้


    ตานี้ จะว่าต่อไปสำหรับบุญพิเศษ เทวดาชั้นยามานี่มีส่วนสำคัญอยู่ ๒ อย่างเป็นบุญพิเศษ คือ ๑ สวดมนต์ด้วยความเคารพ หมายความว่าชีวิตจิตใจของท่าน สวดมนต์เป็นประจำ ถ้าวันไหนไม่ได้สวดมนต์วันนั้นนอนไม่หลับ ไม่สบายใจ คือสวดด้วยความเคารพจริงๆ ด้วยความเลื่อมใสจริงๆ จะเป็นการสวดมนต์บทไหนก็ช่างเถอะ เรียกว่าเป็นการสวดมนต์ในพระพุทธศาสนาก็แล้วกัน หรือมิฉะนั้น ก็เป็นนักเจริญพระกรรมฐาน เจริญกรรมฐานจนกระทั่งจิตเข้าสู่อุปจารสมาธิ จิตเป็นทิพย์บ้างเล็กๆ น้อยๆ สามารถจะเห็นภาพที่เป็นทิพย์ ได้ยินเสียงที่เป็นทิพย์ได้บ้างพอสมควร ครั้นเมื่อตายแล้วจึงเกิดมาเป็นเทวดาชั้นยามาได้ นี่จำไว้เพียงเท่านี้นะ ว่าเทวดาชั้นนี้มีความสุข จะนำชมวิมานทุกวิมานน่ะไม่ไหว ในชั้นยามานี่ก็มีท้าวยามา คือเทวดาที่เป็นหัวหน้าหนึ่งคนคล้ายๆ พระอินทร์เหมือนเป็นเทวราชาปกครองทั้ง ๖ ชั้น


    ออกจากชั้นยามาไป เราเดินมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกนิดหน่อย ความจริงบนนี้ไม่มีตะวันนะ ไม่มีอาทิตย์ ไม่มีดวงจันทร์ ไม่มีดวงอาทิตย์ใดๆ แต่เราเทียบกับทิศของเมืองมนุษย์ เดินไปสักหน่อยหนึ่ง แต่ความจริงไกลมาก แต่ว่าเดินอย่างเทวดา เดินอย่างสภาพที่เป็นทิพย์ มันก็ไม่ไกล เป็นอันว่ามาถึงชั้นดุสิตซีคราวนี้ ชั้นสำคัญ


    ชั้นดุสิตนี่มีอายุอยู่บนสวรรค์ชั้นนี้ ๔,๐๐๐ ปีทิพย์ แล้วก็ถ้าจะเทียบกับเมืองมนุษย์ก็ ๔๐๐ ปีของเราเป็น ๑ วันของเทวดาชั้นนี้ แต่ว่าเทวดาชั้นนี้มีบุญญาธิการพิเศษ ที่คนจะเข้ามาได้ท่านจำกัดจริงๆ เรื่องทานเรื่องศีลไม่ต้องพูดกัน ดีแน่ เรียกว่าท่านทำกันแน่แล้วก็ทำอย่างเครียด เครียดมาก เอาจริงเอาจังมาก เทวดาที่จะมาอยู่ชั้นนี้ได้มีอยู่ ๓ เหล่า คือ ๑ ท่านที่ปรารถนาพุทธภูมิ จะเป็นพระพุทธเจ้า บำเพ็ญบารมีขั้นปรมัตถบารมี จึงจะเข้ามาเป็นเทวดาในชั้นนี้ได้ หรือว่าคนที่เป็นพระพุทธบิดา พุทธมารดา ของพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง เมื่อตายจากมนุษย์แล้ว จึงมาเป็นเทวดาชั้นนี้ได้ หรือว่าคนธรรมดาแต่ว่าบำเพ็ญบารมีเป็นพระอริยเจ้า ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป จึงจะมีโอกาสเข้ามาอยู่เป็นเทวดาชั้นนี้ได้ แต่ความจริงพระอริยเจ้านี่ ท่านอยู่เกือบทุกชั้น อย่างภุมเทวดา รุกขเทวดา จาตุมหาราช ดาวดึงส์ ยามา ดุสิต นิมมานรดี ปรนิมมิตวสวัสดี และพรหม มีพระอริยเจ้าเยอะ แต่นี่เรากล่าวกันเฉพาะว่า ถ้าจะเข้ามาอยู่ขั้นนี้ ตั้งใจจะมาอยู่ชั้นนี้  ต้องเป็นตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป เรียกว่า เทวดาธรรมดาๆ ที่ทำบุญให้ทานรักษาศีลธรรมดาหรือได้ฌานสมาบัติ นอกจากพระโพธิสัตว์ และ พระพุทธบิดา พุทธมารดาแล้วไม่มีโอกาสจะเข้ามาได้ นี่เป็นเทวดามีชั้นจำกัดจริงๆ แล้วก็ชั้นนี้มีเทวดาสำคัญอยู่องค์หนึ่งที่พวกเราสนใจ พวกเราสนใจกันมากก็คือพระศรีอาริยเมตตรัย


    ความจริงพระศรีอาริยเมตตรัยนี่ สมัยพระพุทธเจ้า ท่านบวชเป็นพระมีนามว่า อชิตะภิกขุ เดิมทีเป็นลูกศิษย์ของพราหมณ์พาวรี ท่านองค์นี้ไปบวชเพื่อสร้างเสริมบารมีต่อมาเมื่อพระนางกีสาโคตมีได้ทอจีวรด้วยมือของตนเอง ปรารถนาจะถวายพระพุทธเจ้า เมื่อเวลาพระนางไปถวาย พระพุทธเจ้าเรียกพระมาหมด นั่งเรียงแถวกันตามลำดับอาวุโสและคุณสมบัติ เมื่อพระนางกีสาโคตมีถวายผ้าแก่พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็ส่งให้พระสารีบุตร ท่านพระสารีบุตรก็ส่งในพระโมคคัลลาน์ พระโมคคัลลาน์ก็ส่งต่อๆๆ กันไปผลที่สุด พระทุกองค์ก็ส่งต่อกันไปหมดจนถึงองค์สุดท้าย คือท่านอชิตะภิกขุไม่รู้จะส่งให้ใคร เพราะนั่งอยู่ท้ายบาหลี เป็นอันว่าท่านก็รับไว้ พระนางกีสาโคตมีเสียใจว่าอุตส่าห์ทำเอง เลือกด้ายชั้นดีมาทอกับมือเอง ถวายพระพุทธเจ้า แต่พระพุทธเจ้าไม่รับ กลับไปให้พระที่ไม่ได้แม้แต่ฌานสมาบัติมากมายอะไรนัก คือว่ายังเป็นพระปุถุชนคนธรรมดา ทีนี้สมเด็จพระบรมศาสดาทรงทราบอัธยาศัยจึงเทศนาโปรด ว่าพระองค์สุดท้ายน่ะไม่ใช่ใคร ไม่ใช่พระธรรมดา คือท่านอชิตะภิกขุผู้นี้ต่อไปข้างหน้าจะได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง มีนามว่า พระศรีอาริยเมตตรัย


    เมื่อเรามาถึงชั้นดุสิตแล้ว เราจะเห็นว่าวิมานใหญ่มาก ใหญ่กว่าชั้นยามา วิมานแต่ละวิมาน ก็มีความสวยสดงดงาม เทวดาทุกองค์ ทุกชั้นมีรัศมีกายสว่างจากกาย มีรัศมีแสงสว่าง เทวดาทุกองค์ ทุกชั้นมีรัศมีกายสว่างจากกาย มีรัศมีแสงสว่างออกจากวิมาน แต่ว่าชั้นนี้มีแสงสว่างมาก สวยมาก วิมานก็ใหญ่มาก มีสถานที่รื่นรมย์มากมาแล้วนี่ พุทธบริษัทย่องๆ ไปดูพระศรีอาริย์สักนิดดีไหม? เดินตามอาตมามานี่เราตั้งต้นกันทางด้านทิศเหนือ เดินไปทางด้านทิศใต้ เฉียงๆ ไปทางด้านตะวันตกนิดๆ มีวิมานระเกะระกะ บริเวณวิมานแต่ละวิมานกว้างใหญ่ไพศาลมาก มีรั้วรอบขอบชิดเต็มไปด้วยแก้ว ๗ ประการ ทางที่เราเดินก็เป็นทางแก้ว เดินไป วิมานแต่ละหลังก็สวย เทวดาแต่ละองค์ก็หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ดุสิตแปลว่ายิ้ม ดุสิตไม่ใช่หน้าบึ้ง มีพระอริยเจ้าทั้งหมด มีพระพุทธบิดา พุทธมารดา และพระโพธิสัตว์ที่มีบารมีเป็นปรมัตถบารมี นั่งอยู่ประจำวิมานเป็นแถวมีบริวารมากมาย เดินไป เดินไปสักครู่หนึ่ง จากต้นแถวเกือบจะสุดปลายแถว เรายืนอยู่มาพบวิมานหลังหนึ่งสวยสดงดงามมาก องค์เจ้าของมีรัศมีกายสว่างมาก ผ่องใสหน้าตายิ้มระรื่นน่าชื่นใจ มองดูไปทางขวามือของเรา เลี้ยวขวา ไม่ใช่หน้าเดินเอาเท้าเดินไป อย่าเอาหน้าลงไปเดินมันจะยุ่ง เข้าไปใกล้วิมาน วิมานนี้ เป็นวิมานของพระศรีอาริยเมตตรัยเทพบุตร


    พระศรีอาริยเมตตรัยนี่ เคยมีท่านที่ได้ฌานสมาบัติพิเศษท่านเคยถามว่า เมื่อใดจะได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้า ท่านกล่าวโดยประเมินว่า นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ถ้านับในเมืองมนุษย์ก็ประมาณล้านปีเศษๆ ท่านจะมีโอกาสได้มาตรัสในเมืองมนุษย์ ถามว่าถ้าจะเทียบเวลานี้เป็นพื้นที่สมัยนี้ จะตรัสในประเทศไหน ท่านก็บอกว่า ทางทิศเหนือของพม่า ในเขตนั้น นี่สำหรับท่านที่ได้ฌานท่านเคยบอกให้ฟัง ท่านบอกว่ายังงี้นะ แต่ตามตำราเขาไม่ได้เขียนไว้


    นี่เรามาชมบารมีของพระโพธิสัตว์กันตามสมควร ต่อจากนี้ไปก็เดินต่อไปดีกว่าอย่ารอช้าเลย เพราะเวลามันกระชั้น เพราะตั้งใจไว้แล้วว่า เรื่องนี้จะว่ากัน ๒๔ ตอนก็เลิก ถ้าขืนพูดละเอียดไม่เป็นเรื่องแน่ เป็นอันว่าเดินต่อไป คราวนี้เราเดินไปทางตะวันตกเฉียงใต้นิดๆ จากชั้นดุสิต ขึ้นไปชั้นนิมมานรดี นี่เป็นเทวดาชั้นที่ ๕


    ชั้นนิมมานรดี นี้มีอายุอยู่เป็นเทวดาได้ ๘,๐๐๐ ปีทิพย์ ถ้าจะเทียบกับเมืองมนุษย์ ๘๐๐ ปีของเรา เป็น ๑ วันของท่าน ยุ่งเหมือนกันนะ รู้สึกว่ายุ่งๆ เหมือนกัน อายุท่านมากเหลือเกิน แต่มากแบบธรรมดาๆ มากแบบสบายๆ มันจะเป็นไรไป งานการไม่ต้องทำแต่เรามาดูเทวดาชั้นนี้ รู้สึกว่าวิมานของท่าน แพรวพราวสวยสดงดงามมีของกระจุ๋มกระจิ๋มกระจุดกระจิกมาก เทวดาแต่ละองค์ก็มีความสวยสดงดงาม มีเครื่องประดับเป็นอย่างดีน่าเที่ยว เทวดาชั้นนี้ รู้สึกว่าจะเป็นเทวดาซุกซนมากสักหน่อย เรียกว่า รู้สึกว่าแต่ละองค์มีงานไม่ว่าง ชอบเนรมิตอะไรต่ออะไรเล่นโก้ๆ บางทีเทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัสดี ชั้นที่ ๖ มีความต้องการอะไร ท่านเทวดานี้ ท่านก็เนรมิตให้ หมายความว่า ทำงานให้ จึงเรียกว่านิมมานรดี คือว่าเป็นเทวดาพวกเนรมิตของต่างๆ ตานี้ มาดูถึงบุญบารมีของเทวดาชั้นนี้ว่าเดิมที่นี่เขาทำยังไงกันไว้ จึงได้มาเป็นเทวดาชั้นนี้ เรื่องการให้ทาน การรักษาศีล บรรดาท่านพุทธบริษัทอย่าลืม ถ้าไม่ได้พูดถึงละจงคิดไว้ว่า ท่านทำกันไว้ครบถ้วน แต่ว่ามีกรณีพิเศษอยู่อย่างหนึ่ง คือว่าเทวดาชั้นนี้ ในสมัยที่เป็นมนุษย์ เคยเจริญฌานสมาบัติ ได้ฌาน ฌานของท่านต้องไม่น้อยกว่าฌาน ๔ อย่าลืมนะว่าฌานของท่านนี้ ไม่น้อยกว่าฌาน ๔  เมื่อได้ฌาน ๔ แล้วก็เจริญกสิณ ๑๐ ได้กสิณทั้ง ๑๐ อย่าง เป็นอภิญญา เมื่อได้อภิญญาแล้วท่านก็ชอบเนรมิตอะไรต่ออะไร เพราะพวกอภิญญานี่เป็นพวกมีฤทธิ์ สามารถเนรมิตร่างกายของคนก็ได้ เนรมิตอะไรต่ออะไรก็ได้ ให้เป็นอะไรได้ตามความปรารถนาทุกขณะจิตที่ต้องการ ไม่ใช่ไปนั่งเสกปากหมุบหมิบๆๆ ไม่ใช่ยั้งงั้น พวกอภิญญา พอนึกปั๊บมันก็เป็นปั๊บทันที อยากจะเล่นบ้างไหมล่ะ บรรดาท่านพุทธบริษัท อยากจะเป็นนักอภิญญา เล่นอะไรก็ได้ เหาะเหินเดินอากาศก็ได้ หายตัวก็ได้ จะทำอะไรก็ได้ตามใจนึก สมัยที่เป็นมนุษย์ท่านคล่องแบบนี้ เมื่อเวลาเป็นเทวดาก็เลยมีใจคล้ายมนุษย์ เพราะว่าการว่ามาด้วยใจ ร่างกายทิ้งไว้ ความประสงค์ก็เป็นเช่นเดียวกับความเป็นมนุษย์ เพราะว่าการไปเกิดเรานำใจไปเกิด เราไม่ได้นำกายไปเกิด ตานี้ เมื่อเป็นมนุษย์มีความต้องการยังไงมีอุปนิสัยเป็นยังไง เป็นเทวดาก็เป็นแบบนั้น เป็นพรหมก็เป็นแบบนั้น ทีนี้เมื่อท่านอยู่สมัยเป็นมนุษย์ท่านได้อภิญญาสมาบัติ ความจริงเทวดาพวกนี้ ถ้าตายแล้วควรจะไปเป็นพรหม เพราะได้ฌาน ๔ ด้วย แล้วได้อภิญญาสมาบัติด้วย แต่ว่าบรรดาท่านพุทธบริษัทเวลาที่ท่านจะตายท่านไปตายนอกฌาน เอ๊ะ ไอ้คำว่านอกฌานนี่อย่าเข้าใจผิดนา  ไม่ใช่ชานบ้าน ประเดี๋ยวจะหาว่าในบ้านมีเยอะแยะไปทำไมไม่นอน ทำไมไม่ตาย ดันมาตายที่นอกชาน ภายนอกของบ้าน เป็นชานเรือนออกไปไม่ใช่ยังงั้น คำว่าฌานังในที่นี้ หรือคำว่าฌานแปลว่าเพ่ง พูดว่า เวลาตายไม่ได้เข้าฌานตายก็ดี ฟังง่ายดี เวลาตายไม่เข้าฌานตาย ปล่อยอารมณ์เป็นปกติ แต่ว่าเป็นกุศล จิตที่ไม่น้อมนำเอาอกุศลเข้ามาไว้ในใจ ตายจิตเป็นกุศล แต่ไม่ได้เข้าฌานตายก็เลยไปเป็นพรหมไม่ได้ คนที่เข้าฌานตาย ถ้าต้องการไปเป็นพรหมก็มีคุณสมบัติเป็นพรหมได้ เขาก็ไปเกิดเป็นพรหม เว้นไว้แต่ถ้าไม่ต้องการเป็นพรหมจะไปแวะพักเป็นเทวดาชั้นในชั้นหนึ่งได้ ไม่ห้าม แต่ว่าท่านผู้นี้ไม่ใช่อย่างนั้นมีสิทธิจะไปเป็นพรหมได้ แต่เวลาจะตายไม่ได้ใช้ฌานให้เป็นประโยชน์ เลยไปเป็นพรหมไม่ได้ มาเป็นเทวดาชั้นที่ ๕ ที่เรียกว่านิมมานรดี แล้วมีหน้าที่เนรมิตของต่างๆ ที่เทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัสดีจะต้องใช้ จะต้องการทำให้ด้วยความเต็มใจ แต่ว่าท่านทั้งหลายพวกนี้เมื่อเป็นเทวดาแล้วบำเพ็ญฌานบารมีต่อไป ฌานเข้าที่ตามเดิม ถ้าพ้นภาวะจากเทวดาชั้นนี้เมื่อใด ถ้าหากว่าต้องการเป็นพรหมจะไปเป็นพรหมได้ทันที เรียกว่าเป็นเทวดาที่มีโอกาสจะก้าวขึ้นชั้นสูงต่อไป


    เอาละชมกันตามสบาย รู้กันถึงประวัติความเป็นมาของเทวดาชั้นที่ ๕ แล้ว คราวนี้เราก็ไปชมเทวดาชั้นสูงสุดฝ่ายกามาวจรสวรรค์ เทวดาชั้นที่ ๖ มีนามว่า ปรนิมมิตวสวัสดี แปลว่าเป็นเทวดาที่จะต้องการใช้ของอะไร ผู้ที่ทำให้ก็คือเทวดาชั้นนิมมานรดี เทวดาชั้นนี้มีอายุถึง ๑๖,๐๐๐ ปีทิพย์ แหม ยาวมาก อายุยาว ถ้าจะเทียบกับปีในมนุษย์ ๑๖,๐๐๐ ปีมนุษย์เป็น ๑ วันของท่าน น่าดู ถ้าหากว่ามนุษย์มีอายุเท่านี้ก็น่าดู น่ากลัวว่าเขี้ยวจะยาวจัด แล้วก็สำหรับเทวดาชั้นนี้มีวิมานสวย เป็นที่อยู่ของพระยามาราธิราช เอาละ วันนี้เราจะพบคนสำคัญกัน ว่ากันถึงบุญบารมีหรือว่าที่อยู่ก่อน วิมานใหญ่มีแสงสว่างมาก แสงสว่างจากกาย เป็นสถานที่น่ารื่นรมย์ เรื่องของสวรรค์ไม่ต้องพูดกัน นางฟ้าหรือทุกชั้น เทวดาทุกองค์มีนางฟ้าองค์ละมากๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชั้นนิมมานรดีและปรนิมมิตวสวัสดีนี่ มีนางฟ้าหน้าตาสวยๆ กระจุ๋มกระจิ๋มนับเป็นหมื่นๆ คน องค์หนึ่งนะ หนึ่งองค์มีนางฟ้านับเป็นหมื่นๆ องค์เป็นบริวาร น่าดูความจริงเราเป็นมนุษย์นี่จะหานางสำหรับเราไขว่คว้าแต่ละคนก็ยุ่งจัง หายาก กว่าจะตกลงกันได้ก็เต็มกลืน จะไปหานางไขว่คว้าสำหรับไขว่คว้าตามถนนก็ต้องเสียสตางค์ ดีไม่ดีก็เป็นโรคไม่ได้เรื่อง แต่นี้ สำหรับเทวดานี่รวยจริงๆ แหมน่าเป็น ไม่ต้องไปหาที่ไหนพอตายปุ๊บไปเป็นเทวดาปั๊บ แหมนางสำหรับไขว่สำหรับคว้ามีอยู่เป็นหมื่นๆ คอยอยู่แล้วนี่ถ้าไม่มียาบำรุงดีๆ หรือยาระงับประสาทดีๆ ก็น่ากลัวเหมือนกัน เพราะพวกผู้หญิงมากๆ นี่ แต่คนเดียวเราก็แย่อยู่แล้วนะ แกพูดไม่ใช้น้อย มากคนถ้าแกพูดกันคนละคำนี่ ฟังคราวหนึ่งก็เป็นหมื่นๆ คำ น่ากลัวเทวดาชั้นนี้จะหูไม่ค่อยดี เรียกว่า ๒, ๓ ชั้นนี่น่ะหูไม่ค่อยดี จึงทนรำคาญพวกสตรีพูดกันได้มากๆ


    เป็นอันว่าบุญบารมีของเทวดาในชั้นนี้ ในสมัยที่เป็นมนุษย์ท่านทรงฌาน ๔ แต่ว่าไม่ทรงอภิญญา ได้ฌาน ๔ เฉยๆ แล้วก็ทรงฌาน ๔ เป็นปกติ รักษาอารมณ์เป็นกุศลแต่ว่าเวลาตายไม่ได้เข้าฌานตายเหมือนกับชั้นนิมมานรดี เมื่อตายแล้วเพราะอาศัยทรงฌาน ๔ ยิ่งมาเป็นเทวดาชั้นนี้ ครั้นเมื่อมาเป็นเทวดาชั้นนี้แล้ว ต่อไปทรงฌานปกติตามเดิม พ้นภาวะจากเทวดาชั้นนี้ ครั้นเมื่อมาเป็นเทวดาชั้นนี้แล้ว ต่อไปทรงฌานปกติตามเดิม พ้นภาวะจากเทวดาชั้นนี้ก็ไปเกิดเป็นพรหม นี่ว่ากันอย่างลัดๆ ถ้าไม่ลัดละก็เจ๊งแล้ว ๒๔ ตอนนี่ไม่จบกันแน่


    ตานี้ เทวดาชั้นนี้มีที่น่าสนใจอยู่อย่างหนึ่ง คือพระยามาราธิราช ความตามที่บางแห่งท่านกล่าวว่า มารโลกมีอยู่ แล้วก็อยู่ที่ชั้นปรนิมมิตวสวัสดีแบ่งกันคนละตอน คือว่ามารอยู่ตอนหนึ่ง อันนี้ พระอรรถกถาจารย์เฝือไป เฝือไปแก้พลาดไป ความจริงพระพุทธเจ้าทรงกล่าวถึงมารโลกเหมือนกัน แต่ว่าท่านไม่ได้แยกบุคคลออก หมายความว่ามารในที่นี้หมายความถึงว่าจิตเป็นมิจฉาทิฐิ แล้วคำว่าโลก ท่านหมายถึงว่าคนๆ หนึ่งหรือเทวดาองค์หนึ่งจัดเป็นโลกๆ หนึ่ง ถ้าเป็นเทวดาก็ตาม มนุษย์ก็ตาม เป็นมิจฉาทิฐิ ท่านเรียกกันว่ามาร เพราะตัวมิจฉาทิฐิเป็นตัวฆ่าความดี มาระหรือมาร แปลว่าผู้ฆ่าความดีของบุคคลคนนั้น


    ทีนี้มาว่ากันถึงพระยามาราธิราช พระยามาราธิราชนี่ ชาวสวรรค์เรียกกันว่าท้าวมาลัย ความจริงเวลานี้ท่านไม่ได้เป็นมารแล้ว เคยพบกับท่าน ท่านคุยสนุกหน้าตายิ้มแย้ม แจ่มใส ท่านบอกว่าเวลานี้ไม่ใช่มาร พระอุปคุตเล่นงานท่านเข้าให้ เป็นคู่ปรับกัน ความเป็นมารของท่านที่จะเป็นศัตรูกับพระพุทธเจ้า จะขอนำเรื่องราวมาเล่าให้ฟังย่อๆ เพราะเหลือเวลาอีก ๓ นาที คือว่าในสมัยหนึ่ง ตอนต้นโน้น ตอนที่พระพุทธเจ้าบำเพ็ญบารมีใหม่ๆ เมื่อปรารถนาพุทธภูมิ ท่านพระยามาราธิราชกับพระพุทธเจ้าเป็นเพื่อนกัน ต่างคนต่างเลี้ยงม้าเหมือนกัน วันหนึ่งก็ไปเกี่ยวหญ้าให้ม้าด้วยกัน พระยามาราธิราชก็เกี่ยวแยกออกไป ต่างคนต่างเกี่ยวคนละทาง วันนั้น บังเอิญมีพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่งมาต้องการหญ้า ก็มายืนที่พระพุทธเจ้าของเราเกี่ยว พระพุทธเจ้าถวายหญ้าท่านฟ่อนหนึ่ง ท่านก็เหาะไป ครั้นจะเอาของเพื่อนให้ไปด้วยก็เกรงว่าเพื่อนจะไม่มีความเลื่อมใส จะด่าเอาเลยไม่ให้ไป ตอนเย็นเก็บหญ้ามารวม พระพุทธเจ้า ก็บอกกับเพื่อน ว่าวันนี้พระมาบิณฑบาตหญ้าเรา เราเอาของเราให้ไป แต่ว่าของเพื่อนเราไม่ได้ให้ไป เพราะเกรงว่าเพื่อนจะไม่เลื่อมใส เท่านั้นแหละ พระยามาราธิราชสมัยเป็นเพื่อนเจ็บใจหาว่าพระพุทธเจ้าเอาดีคนเดียว เลยจองล้างไว้ ถ้าหากแกจะเป็นพระพุทธเจ้าเมื่อไรก็ตาม หรือก่อนเป็นพระพุทธเจ้าก็ตาม ข้าจะคอยขัดขวางการบำเพ็ญบารมีของแกตลอดไป ทั้งนี้ เพราะว่าท่านเองก็ปรารถนาพุทธภูมิเหมือนกัน   


    ท่านเล่าให้ฟังว่าในสมัยที่พระพุทธเจ้าเป็นพระพุทธเจ้า ที่คอยขัดขวางไม่ใช่อะไรเป็นความโง่ของท่าน ท่านคิดเกรงว่าพระพุทธเจ้านี่น่ะ จะเทศน์สอนคนไปนิพพานเสียหมด แล้วเวลาที่ท่านเป็นพระพุทธเจ้าจะไม่มีคนรับการฟังเทศน์ ท่านบอกว่าผมมันโง่มากคุณ ความจริงผมไม่น่าจะโง่แบบนั้น (น่าจะโง่ ไม่ใช่โง่) ที่โง่ก็เป็นเพราะกรรมที่จองล้างจองผลาญกันไว้ รู้สึกเสียใจเหมือนกัน ว่าไม่น่าจะทำ ต่อมาเมื่อพระอุปคุตทรมานเสียจนหมดฤทธิ์ จึงมาได้คิดว่าเราโง่เกินไป เป็นอันว่าท่านมาราธิราช บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เวลานี้ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกลัวท่าน ควรจะดีใจ ถ้าท่านมาหาเมื่อไร มีความสุขเมื่อนั้น แล้วก็เลิกเรียกชื่อพระยามาราธิราชได้แล้ว เรียกว่าท้าวมาลัยก็แล้วกัน ท่านเป็นพระโพธิสัตว์


    เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัท พามาชมถึงสวรรค์ ๖ ชั้นพอดี และก็พอดีแก่เวลามันจะหมด ก็จะต้องกำหนดให้บรรดาท่านพุทธบริษัทและพระคุณเจ้าที่เคารพ พักอยู่บนสวรรค์ชั้นที่ ๖ ก่อน แล้วก็เที่ยวไปเที่ยวมาตามอัธยาศัยได้ทุกชั้น จะได้สบายใจ วันพุธหน้าจะได้มาพาท่านพุทธบริษัททั้งหลายไปเที่ยวพรหมโลก พอถึงพรหมโลกแล้วก็ถือว่าเอวังกันเอาละสำหรับเวลานี้หมดเวลาแล้วต้องขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผลจงมีแด่ท่านพุทธศาสนิกชนนักทัศนาจรที่ติดตามมาและท่านผู้รับฟังทุกท่าน สวัสดี. . 
by admin admin ไม่มีความเห็น

สวรรค์ชั้น ดาวดึงส์เทวโลก

ท่านสาธุชนทั้งหลาย เมื่อวันพุธก่อน ได้ให้บรรดาท่านพุทธบริษัทท่องเที่ยวอยู่ในดินแดนของพระอินทร์พักหนึ่ง มาวันนี้ จะพาบรรดาท่านพุทธบริษัทไปชมวิมานเบ็ดเตล็ดซึ่งเป็นเทวดาตัวอย่างสัก ๒-๓ องค์ตามที่เวลาจะอำนวย เพราะว่าเรื่องราวของสวรรค์ต้องว่ากับแบบรวมๆ

    วันนี้ เรามาพูดกันถึงว่า คนที่เคยทำบาป แต่ทว่าตายแล้วไปเกิดบนสวรรค์ แล้วก่อนที่บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านจะทราบเรื่องราวของเทวดาต่างๆ ขอให้รู้อายุของเทวดาชั้นนี้ไว้เสียก่อน เทวดาบนสวรรค์ชั้น ดาวดึงส์เทวโลก ทุกองค์ มีอายุอยู่ ๑,๐๐๐ ปีทิพย์ ถ้าจะประมาณเปรียบเทียบอายุในเมืองมนุษย์ หนึ่งร้อยปี เท่ากับ ๑ วัน แล้วก็เดือนหนึ่ง ๓๐ วันปีหนึ่งมี ๑๒ เดือน ก็นั่งนับกันเอาเองก็แล้วกัน นั่งนับกันตามสบายแล้วสำหรับเทวดาที่เกิดในชั้นนี้ หรือชั้นอื่นก็เหมือนกัน ไม่แน่ว่าจะมีอายุเฉพาะกาลที่กำหนดไว้ สมมติว่าบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายเคยบวชพระด้วยตนเอง และปฏิบัติตามพระธรรมวินัยด้วยดี  ท่านประเภทนี้เวลาบวชแล้วมีอานิสงส์อยู่เป็นเทวดาได้ ๖๐ กัป หมายความว่ามีอายุเป็นเทวดาได้ ๖๐ กัป สำหรับบิดามารดาผู้ให้บวช ผู้ให้กำเนิด ได้อานิสงส์คนละ ๓๐ กัป ต่อลูกชายบวช ๑ คน แล้วสำหรับคนที่เป็นเจ้าภาพ ไม่ใช่พ่อไม่ใช่แม่ เป็นเจ้าภาพให้กุลบุตรบวชในพระพุทธศาสนาได้อานิสงส์แห่งการบรรพชากุลบุตรใว้ในพระพุทธศาสนาคนละ ๑๒ กัปต่อ ๑ องค์ สำหรับท่านที่ได้ทำบุญอุปสมบทกุลบุตรไว้ในพระพุทธศาสนา ช่วยเขาคนละบาทสองบาท หรือช่วยด้วยกำลังแรง อย่างนี้ก็มีอานิสงส์องค์ละ ๘๐ กัป ไม่ใช่ ๘๐ นะ เอาแค่ ๘ เฉยๆ เอาศูนย์ออกเสีย มันจะเหนื่อยเผลอไป เป็นอันว่าถ้าหากว่าอยู่ถึงพันปีทิพย์หรืออยู่ตามกำหนดเทวดาชั้นนั้นๆ อานิสงส์นี่ยังไม่หมด เมื่อตายจากความเป็นเทวดาเมื่อครบกำหนดพันปีทิพย์สมมติเอาในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ท่านก็เกิดเป็นเทวดาใหญ่ เพียงแค่พริบตาเดียว ไม่ต้องป่วยไข้ หมดบุญก็หมดตัวพริบตาเดียว คนอื่นไม่รู้ เรียกว่า คนอื่นสังเกตไม่ทัน นี่ว่าถึงอานิสงส์แห่งการอยู่ในฐานะเทวดา ไม่ใช่เฉพาะว่าต้องมีอายุครบพันปีทิพย์แล้วก็ต้องไปที่อื่น ไม่ใช่ยังงั้น นี่สำหรับคนผู้บวช และสำหรับคนที่บวชสามเณรในพระพุทธศาสนา บวชตัวเอง หมายความว่าตัวเองได้บวช แล้วก็เป็นเณรอย่างดี ไม่ใช่เป็นเณรเปรต พระเปรต บวชเข้ามาแล้วไม่ปฏิบัติตามพระธรรมวินัย บวชเข้ามาแล้วประพฤติดีตามพระธรรมวินัย มีอานิสงส์เป็นเทวดาได้ ๓๐ กัป สำหรับบิดามารดาได้คนละ ๑๕ กัป สำหรับพ่อกันแม่นี่ มีอานิสงส์เป็นพิเศษ ท่านกล่าวว่า เมื่อบิดามารดาคลอดบุตรออกมาแล้ว พ่อกับแม่จากไป ไม่รู้ว่าลูกชายเป็นใคร ลูกชายไม่รู้ว่าพ่อแม่ชื่ออะไร รูปร่างหน้าตาเป็นยังไง  เป็นยังไงไม่รู้จักกัน เวลาลูกชายบวชเมื่อไร พ่อแม่อยู่ที่ไหนก็ตาม มีอานิสงส์เต็มที่ คือสามารถเป็นเทวดาได้ ๑๕ กัป เฉพาะลูกชายบวชเณร ถ้าลูกชายบวชพระ ก็มีอานิสงส์เป็นเทวดาได้ ๓๐ กัป นี่การบวชกุลบุตรในพระพุทธศาสนามีอานิสงส์พิเศษแบบนี้ ซึ่งไม่เหมือนกับอานิสงส์อย่างอื่น การทำบุญอย่างอื่น ต้องอุทิศส่วนกุศลให้ พ่อแม่มีโอกาสโมทนาก็ได้บุญ ถ้าพ่อแม่ไม่มีโอกาสโมทนาก็ไม่ได้บุญ ฉะนั้น การบวชตัวเองก็ดี บวชคนอื่นไว้ในพระพุทธศาสนาก็ดี บวชลูกบวชหลานไว้ในพระพุทธศาสนาก็ดี ต้องให้ลูกให้หลานปฏิบัติให้ดีตามพระธรรมวินัย จะมีอานิสงส์ตามที่กล่าวแล้ว ถ้าลูกหลานปฏิบัติไม่ดี หรือว่าเวลาบวชสร้างบาปไว้มากๆ เวลาจะบวชลูกหลานสักคราว ฆ่าเป็ด ฆ่าไก่ ฆ่าหมู ฆ่าวัว ฆ่าควาย อย่างนี้ เขาเรียกว่าไม่ใช่บวชซื้อบุญ เป็นการลงทุนซื้อบาป การบวชในคราวนั้นไม่มีผล เพราะอะไร? เพราะว่าจิตไม่มีกุศล จิตเป็นอกุศลเป็นบาปไปเสียหมด เลี้ยงเหล้ายาปลาปิ้งซึ่งกันและกัน ไม่ทำอย่างนั้นก็เกรงว่าชาวบ้านจะติเอา เขาทำแล้วเขาเลี้ยงกันแบบนี้ เราเองเราทำเราไม่เลี้ยง หน้าตามันจะไม่เสมอเขา ยังงี้เขาไม่เรียกว่าปรารถนาหน้าตาเป็นเทวดา ปรารถนาหน้าตาเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดียรัจฉาน เพราะว่าน้องใช้หนี้กรรมเขามาตามนั้น นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท อายุของเทวดาแต่ละชั้นมีจำกัดก็จริง แต่ทว่าท่านพุทธบริษัทชายหญิงที่ทำบุญเข้าไปแล้ว อย่างบวชพระบวชเณรเป็นต้น เมื่อครบอายุก็ตายปุ๊บเกิดปั๊บ เป็นเทวดาชั้นนั้นต่อไป นี่ว่ากันถึงว่าเป็นเทวดาธรรมดาไม่สร้างบารมีพิเศษ ถ้าไปสร้างบารมีเป็นพิเศษ อาจจะมีบุญก้าวขึ้นไปสู่ชั้นอื่นก็ได้ เอาละ สำหรับเรื่องนี้ของดไว้ จะพูดต่อไปถึงเทวดาตัวอย่างคนทำบาปไว้มาก แต่ว่าเกิดเป็นเทวดาได้ ตัวอย่างท่านสุปติฏฐเทพบุตร ปรากฏว่าในสมัยที่เป็นมนุษย์ ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเป็นอาจิณกรรม ไม่เคยทำบุญ วันดีไม่ละวันพระไม่เว้น ใครเขาบอกบุญบอกทานเห็นแล้วทำเป็นไม่เห็น ได้ยินแล้วแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน ไม่ต้องการ กินเหล้าเมายาตลอดเวลา เมื่อเวลาจะตายขึ้นมาจริงๆ เวลานั้นมองเห็นทรัพย์สิน เห็นลูกเห็นเมีย ข้าทาสหญิงชายนั่งกันสะพรั่งตัวเองมีทุกขเวทนาอย่างหนัก ก็มาคิดในใจว่าคนทั้งหลายนี้เป็นคนของเรา เราสร้างฐานะมาด้วยความลำบาก จนกระทั่งเป็นคหบดี คนทั้งหลายเหล่านี้ไม่มีโอกาสจะช่วยเราได้ เราตายคราวนี้เห็นจะรับโทษคนเดียว เพราะว่าพระพุทธเจ้ากล่าวว่าใครทำบาปแล้วไปตกนรกคนเดียว ตอนนี้ เกิดกลัวนรกขึ้นมา จิตใจเลยน้อมนึกไปว่า พระพุทธเจ้าก็ดี พระธรรมก็ดี พระสงฆ์ก็ดี ย่อมช่วยคนในยามมีทุกข์ นี่เป็นยังงั้นนะ บรรดาพระนี่เป็นยังงั้น ถ้าคนไม่เห็นทุกข์ คนก็ไม่ค่อยจะเห็นพระ ถ้ามีทุกข์ขึ้นมาเมื่อไรก็เห็นพระเมื่อนั้น พระก็ประเภทเดียวกับหมอดู แต่ว่าหมอดูได้เปรียบกว่าพระ เพราะมีโอกาสได้ค่าจ้างรางวัล ดีไม่ดีก็ยุให้สะเดาะเคราะห์ไปเลย เป็นอันว่าคนดูมีเคราะห์เพิ่มขึ้น หมอดูหมดเคราะห์ นี่เป็นเรื่องของท่าน คราวนี้ มาว่ากันไปถึง สุปติฏฐเทพบุตร เมื่อเป็นมนุษย์นึกถึงความชั่วของตัวจะให้ผล ก็นึกถึงความดีขององค์สมเด็จพระทศพล ตอนนี้เอง จิตใจน้อมนึกถึงคุณพระรัตนตรัย มีพระพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ และสังฆรัตนะ นึกในใจว่า พุทโธ ธัมโม สังโฆ น้อมจิตไปด้วยความเลื่อมใส ภาวนาได้ไม่กี่คำก็พอดีตาย ตายแล้วก็ไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เทวโลก เรื่องนี้บรรดาท่านพุทธบริษัทหลายท่านเคยค้านท่านฤๅษีลิงดำว่า คนทำความชั่วมามาก ทำไมหนอจะมีโอกาสไปสวรรค์ได้แม้ว่าตัวเองจะทำบุญนิดเดียว อันนี้บรรดาท่านพุทธบริษัทต้องคิดดูสักนิด จะเปรียบเทียบให้ฟัง สมมติว่าเราเองนี่นะ เป็นหนี้เขาอยู่มาก เป็นหนี้เขาอยู่หลายแสนบาท เจ้าหนี้เขาทวงซึ่งอีกไม่กี่วันเขาจะฟ้องล้มละลาย จะยึดทรัพย์ยึดสินจนหมด แต่ก่อนหน้าที่เจ้าหนี้จะฟ้องล้มละลาย บังเอิญทีเดียว เขาไปถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่ ๑ เข้า เวลานี้ได้ล้านบาทเศษ พอได้เงินล้านบาทเศษทำยังไง? เขาไม่ใช้หนี้ โน่น เดินทางไปต่างประเทศที่ไม่มีความสัมพันธ์กัน ไปนั่งเป็นเศรษฐีมหาเศรษฐีที่นั่นตามสบาย แต่ทว่า ถ้าหมดเงินเมื่อไร กลับมาเมื่อไร เมื่อนั้นแหละ เจ้าหนี้เขาก็ฟ้องตามหน้าที่ที่เขาจะต้องทำ เวลานั้นเขาหนีไปได้เงินทองที่มีอยู่ก็ไม่ต้องเสียไป ไม่ต้องใช้หนี้เขา ข้อนี้มีอุปมาฉันใด แม้คนเราก็เหมือนกัน ทำความชั่วไว้มาก แต่เวลาจะตายถ้าทำใจผ่องใสนึกถึงสิ่งที่เป็นกุศล อันนี้ สมเด็จองค์พระทศพลทรงตรัสเป็นพุทธภาษิตไว้ว่า จิตเต สังกิลิฏเฐ ทุคติปาฏิกังขา เมื่อเราจะตายถ้าจิตเศร้าหมอง ทำบุญไว้มากมายเท่าไรก็ตาม ไปรับผลของกรรมชั่วก่อน จิตเต ปริสุทเธ สุคติปาฏิกังขา เมื่อเวลาจะตายถ้าจิตใจผ่องใส จะทำบาปไว้เท่าไรก็ตาม เราไปรับผลของบุญก่อน ตัวท่านสุปติฏฐเทพบุตรทำบาปไว้มาก เมื่อเวลาจะตายจิตใจน้อมนึกถึงคุณพระรัตนตรัย อารมณ์เกิดผ่องใส คิดว่าพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ต้องช่วยเราได้ ภาวนาด้วยความเลื่อมใสและความมั่นใจอันนี้ ท่านกล่าวว่าเป็นพุทธานุสสติ คือระลึกนึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ ธรรมานุสสตินึกถึงคุณพระธรรมเป็นอารมณ์ สังฆานุสสตินึกถึงคุณพระสงฆ์เป็นอารมณ์ ฉะนั้น เมื่อท่านตายไปแล้ว แทนที่จะไปเกิดในนรก ก็เกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เทวโลก แต่ในฐานะที่ตนเองเป็นคนประมาทมาก่อน เป็นเทวดาก็เป็นเทวดาประมาทไม่สร้างความดีต่อ สมัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปแสดงธรรมโปรดพุทธมารดา ปรากฏว่า ท่านสุปติฏฐเทพบุตรจะหมดอายุจากความเป็นเทวดา เมื่อหมดแล้วต้องต้องหาใช้หนี้กรรมเก่ารู้ตัวว่าจะต้องตกอเวจีมหานรกสิ้น ๑ กัป เพราะบาปที่ทำปาณาติบาตเป็นอาจิณกรรม ออกจากนั้นแล้วก็ไปเสวยผลในนรกบริวารอีก ๔ ขุม แล้วก็มานั่งไล่เบี้ยในยมโลกียนรกอีก ๑๐ ขุม เพราะทำบาปครบถ้วน จากนั้นก็มาเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดียรัจฉานแล้วก็เป็นแร้ง ๕๐๐ ชาติ เป็นกา ๕๐๐ ชาติ เป็นสุนัขบ้า ๕๐๐ ชาติ พ้นจากนั้นแล้ว ก็มาเป็นคนหูหนวด ๕๐๐ ชาติ เพราะเขาบอกบุญรู้แล้วได้ยินแล้วแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน ตาบอด ๕๐๐ ชาติเห็นแล้วแกล้งทำเป็นไม่เห็น มาเป็นคนบ้า ๕๐๐ ชาติเพราะการดื่มสุราเมรัยเป็นคนง่อยเปลี้ยเสียขาเดินไม่ได้ ๕๐๐ ชาติ เพราะเศษกรรมของปาณาติบาตทรมานสัตว์ ทำสัตว์ให้ตาย เมื่อแกรู้เข้าแบบนี้ก็ตกใจ วิ่งโร่เข้าไปหาพระอินทร์ขอให้พระอินทร์ช่วย พระอินทร์ก็บอกว่าช่วยไม่ได้ ฉันก็เป็นเทวดาเหมือนกัน พระอินทร์พาไปหาพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าพิจารณาว่า เทวดาองค์นี้ ถ้าเราเทศน์อภิธรรม ๗ คัมภีร์ไม่มีผล เพราะบารมีไม่ถึง เทศน์อะไรจึงจะดี องค์สมเด็จพระชินสีห์ ก็ทราบด้วยอำนาจพระพุทธญาณ ว่าเราเทศน์อุณหิสวิชัยสูตร เทวดาองค์นี้เมื่อฟังจบ ก็จะได้บรรลุพระโสดาปัตติผล บาปกรรมที่ตนทำไว้ไม่มีโอกาสจะให้ผล เป็นอันว่าสมเด็จพระทศพลจึงได้เทศน์อุณหิสวิชัยสูตร พอเทศน์จบท่านสุปติฏฐเทพบุตรก็เป็นพระโสดาบัน เป็นอันว่าอบายภูมิทั้ง ๔ คือ นรก เปรต อสุรกาย เดียรัจฉานฉานไม่มีโอกาสจะให้ผล


    นี่แหละบรรดาท่านพุทธศาสนิกชน คนที่เป็นบาปนะเขาทำกันแบบนี้ เรียกว่าเขาทำกันแบบนี้ เวลาจะตายหาความดีเข้าไว้ ฉะนั้นองค์สมเด็จพระจอมไตรจึงได้สอนพุทธบริษัทให้เจริญพระกรรมฐานเข้าไว้ ข้อใดข้อหนึ่งให้จิตชิน เมื่อมีอารมณ์ชินแล้ว เวลาจะตายจิตก็จับอารมณ์นั้นเข้าไว้ อารมณ์จะผ่องใส บาปกรรมทั้งหลายจะตามไม่ทัน นี่เป็นเทวดาตัวอย่างพูดให้ฟัง เชื่อก็เชื่อ ไม่เชื่อก็ตามใจ นี่ หนึ่งละนะ


    มาคนที่ ๒ คนทำบุญเล็กๆ น้อยๆ ดูเจตนาเขาให้ดีนะ เทวดานางหนึ่ง เรียกว่านางฟ้าก็แล้วกัน นางฟ้านางหนึ่งมีนามว่า สาตจีเทพธิดา สาตจีเทพธิดานี่เป็นคนจนในสมัยเป็นมนุษย์ ในขณะเป็นมนุษย์จนมาก ตัดฟืนขายทุกวัน โอกาสที่จะบำเพ็ญกุศลไม่มี เช้าก็ป่า ตอนเย็นก็กลับมาบ้านขายฟืนเสร็จหุงข้าวกิน เช้าก็ต้องเข้าป่า เป็นแบบนี้ทุกวัน พระจะมาบิณฑบาตหรือจะมาบอกบุญบอกทานไม่มีใครมีโอกาสได้พบเธอ ไม่ใช่ว่าไม่มีศรัทธา ศรัทธามี แต่โอกาสไม่มี วันหนึ่ง สาตจีเทพธิดาเข้าป่า ไปพบดอกบวบขมเข้า มีสีเหลืองคิดถึงพระว่าดอกบวบขมนี่ มีสีคล้ายๆ จีวรพระ ตอนเย็นวันนี้ เรากลับไป  เราจะเด็ดเอาไปบูชาเจดีย์ที่เขาบรรจุอัฐิธาตุของพระอรหันต์ เวลากลับบ้านเธอก็เก็บมาจริงๆ มาถึงบ้านขายฟืนแล้วหุงข้าวกินเสร็จอาบน้ำอาบท่านแต่งตัวดี จึงได้นำดอกบวบขมชุดนี้ ตั้งใจจะเอาไปบูชาเจดีย์ที่เขาบรรจุพระธาตุของพระอรหันต์ แต่ว่าระหว่างที่นางเดินทางไปนั้น ปรากฏว่า มีวัวแม่ลูกอ่อนขวิดตาย ขณะที่นางจะตายจิตใจก็นึกว่าเราจะไปบูชาพระรัตนตรัย นี่แหละ บรรดาท่านพุทธบริษัท จิตใจของนางนี้นั้น จัดว่าเป็นสังฆานุสสติกรรมฐาน เพราะตั้งใจจะไปบูชากระดูกพระอรหันต์ ด้วยอานุภาพแห่งการตั้งใจบูชา ตั้งใจทำบุญด้วยจิตเป็นกุศลจริงๆ เมื่อชีวิตของนางออกจากร่าง ก็ไปบังเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เทวโลก มีวิมานทองคำเพราะอาศัยมีสีเหลืองเป็นสำคัญ เครื่องประดับกายของนางก็ดี เครื่องประดับวิมานของนางก็ดี มีสีเหลืองเป็นทองไปหมด แล้วมีนางฟ้า ๕๐๐ เป็นบริวาร มีความสุขสำราญอยู่ที่นั่น นี่คนที่ ๒ ละนะ ดูเวลามีพอไหม ถ้ามีพอว่าต่อไป


    อีกท่านหนึ่งไม่เคยทำบุญอะไรมาเลยเช่นเดียวกับนางสาตจีเทพธิดา แต่ทว่าก็ไม่เคยทำบาป ท่านองค์นี้คือท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตร ท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตรนี่เป็นลูกของเศรษฐี มีทรัพย์นับได้ ๘๐ โกฏิ แต่เศรษฐีนี่ท่านก็เศษจริงๆ เป็นคนที่ไม่เคยให้ทานเลย ขี้เหนียวตลอดกาลตลอดสมัย ทั้งนี้เป็นเพราะอะไร เพราะถือว่าทรัพย์ของเรา เราหาเอาไว้ พ่อแม่หาให้ คนอื่นไม่เกี่ยว มีลูกชายคนหนึ่งเวลาที่ลูกชายป่วยหนักท่านรักษาของท่านคนเดียว ไปเก็บยามาให้ แต่ว่าขณะนั้นอาการไม่ดีขึ้น ในที่สุดท่านก็คิดว่าลูกชายของเราใกล้จะตาย ดีไม่ดีญาติพี่น้องทั้งหลายพากันมาเยี่ยม ลูกชายนอนอยู่ในห้องแบบนี้ เมื่อเห็นทรัพย์สินเข้า คนนั้นจะขออย่างนั้น คนนี้จะขออย่างนี้ เราก็จำจะต้องให้ ไม่เอา ไม่เอา อีท่านี้ไม่ดี เลยพาลูกชายไปนอนที่ระเบียง เอาไปนอนที่ระเบียงบ้านเผื่อว่าใครเขามาเยี่ยมจะได้ไม่เห็นทรัพย์สมบัติอะไร ลูกชายก็มีอาการหนักเข้ามาทุกที เงินทองมีมากจะไปหาหมอมารักษา ท่านก็ไม่ทำ ในที่สุดลูกชายก็ใกล้ตายเต็มที วันนั้นบังเอิญองค์สมเด็จพระชินสีห์กับพระอานนท์เดินผ่านไป ท่านมัฏฐกุณฑลีเห็นเข้าก็มีจิตเลื่อมใส คิดว่าพ่อแม่ของเรานี้ไม่เป็นที่พึ่ง เป็นเศรษฐีใหญ่ แต่ว่าไม่ยอมจ่ายเงินเพื่อลูกชาย ฉะนั้นจึงได้คิดว่าพ่อแม่ก็ดี ทรัพย์สินก็ดี ไม่เป็นที่พึ่งที่อาศัยสำหรับเราได้ เห็นแต่พระรัตนตรัยเท่านั้น ที่จะเป็นที่พึ่งที่อาศัยได้เป็นอย่างดี ท่านมัฏฐกุณฑลีจะยกมือขึ้นมาไหว้ก็ไหว้ไม่ไหว ในที่สุดก็เอาใจน้อมไปถึงคุณพระรัตนตรัย มีพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ ไม่ช้าท่านก็ตาย เมื่อตายไปแล้วก็ไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เทวโลก มีวิมานทองคำ มีเครื่องประดับมาก มีนางฟ้า ๕๐๐ เป็นบริวาร นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านชมวิมานแล้วก็ดูเจตนาของเขานะ คนที่จะถึงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ได้นี่ ไม่ใช่ว่าจะมากันได้ง่ายๆ ต้องมีกำลังใจชั้นดีจริงๆ ถ้าหากจะบูชาพระรัตนตรัยนึกถึงพระรัตนตรัยก็ต้องจิตมั่นคง ไม่ใช่สักแต่ว่าสวดมนต์ส่งเดชตามประเพณี ภาวนาส่งเดชตามประเพณี อย่างนี้มาสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ไม่ได้ อย่างดีก็ไปเกิดเป็นรุกขเทวดา หรือดีไม่ดี บุญกุศลที่กระทำประเภทนั้นโดยไม่ตั้งใจจริงก็จะพาลงนรกไป เพราะว่าไม่ได้เคารพกราบไหว้บูชาด้วยจริงใจ นี่เล่าให้ฟังนะ เขาตัดใจกันจริงๆ


    ตานี้ มาดูคนอีก ๒ คน เวลาเหลืออีกนิดหนึ่ง มาดูอีก ๒ คน คือพระอินทร์กับอังคุละเทพบุตร เวลาที่พระพุทธเจ้าเสด็จเข้าไปใหม่ๆ ไปถึงบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ พระอินทร์ไปนั่งข้างขาเบื้องขวา อังคุละเทพบุตรนั่งข้างขาเบื้องซ้าย พอเทวดาผู้ใหญ่มาเข้าอังคุละเทพบุตรถอยไปๆ ถอยจนกระทั่งไปอยู่ข้างหลังเพื่อน สำหรับพระอินทร์ไม่ถอย พระพุทธเจ้าประสงค์จะประกาศผลของคนที่ทำบุญในพระพุทธศาสนามีอานิสงส์มาก จึงได้ถามอังคุละเทพบุตรว่า อังคุละ เมื่อตถาคตมาใหม่ๆ เธอนั่งใกล้อยู่กับพระอินทร์ เวลานี้เธอไปนั่งอยู่ไกลสุด ในสมัยที่เป็นมนุษย์เธอทำอะไรไว้? อังคุละเทพบุตรจึงได้กราบทูลตอบสมเด็จพระจอมไตรว่า ภันเต ภควา ข้าแต่องค์พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญ เมื่อข้าพระพุทธเจ้าเป็นมนุษย์ เป็นมหาเศรษฐีใหญ่ตั้งใจให้ทานอยู่ ๒ หมื่นปี คือตั้งเตาไว้ ๑ โยชน์ ตั้งเตา ๑ เตา ๑ โยชน์ตั้ง ๑ เตา เพื่อตั้งโรงครัว ๘๐ โยชน์ ๘๐ เตา เลี้ยงคนกำพร้าและคนเดินทางตลอดเวลา แต่เวลานั้นเป็นเวลาที่ไม่มีพระพุทธเจ้าตรัส เป็นเวลานอกพระศาสนา อานิสงส์ที่ทำบุญแบบนี้มา ๒ หมื่นปี ตายขึ้นมาเป็นเทวดาที่มีบุญน้อยที่สุด ต้องอยู่หลังเทวดาอื่นทั้งหมด เพราะอานุภาพไม่เท่าเขา องค์สมเด็จพระผู้มีภาคเจ้าจึงได้ถามพระอินทร์ว่า สมัยที่เป็นมนุษย์พระองค์ทำอะไรไว้ จึงมีศักดาใหญ่ ไม่ต้องถอยหลังให้แก่ใครเป็นเทวดาชั้นหัวหน้า พระอินทร์ก็กราบทูลสมเด็จพระสมมาสัมพุทธเจ้าว่า สมัยเป็นมนุษย์ข้าพเจ้าถวายสังฆทานเป็นปกติ คือนิมนต์พระมาแล้วก็ถวายสังฆทาน อานิสงส์แห่งการถวายสังฆทานนี้มีอานิสงส์มาก เป็นเหตุให้ข้าพระพุทธเจ้านี่เป็นเทวดาอื่นทั้งหมดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์


    นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เรื่องการชมดาวดึงส์ก็ขอยุติเพียงแค่นี้นะ ถ้าจะนำชมกับจริงๆ ละก็อีกหลายตอน สัก ๑๐๐ ตอนก็ไม่จบเพราะว่าเรื่องนี้จะให้จบภายใน ๒๔ ตอน เอากันแค่นี้ก็แล้วกัน มาพูดไว้ตอนนี้เพื่อให้รู้ว่า การที่จะมีวิมานเข้าสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ได้ ต้องใจดีจริงๆ แล้วการทำบุญนอกเขตพระพุทธศาสนากับการทำบุญในเขตพระพุทธศาสนามีอานิสงส์ไม่เหมือนกัน รวมความว่าทำบุญกับพระ กับการทำบุญกับชาวบ้านน่ะ มีอานิสงส์ไม่เหมือนกัน ดูตัวอย่างอังคุละเทพบุตรกับท่านพระอินทร์ก็แล้วกัน


    ตานี้ ทำบุญกับพระก็เหมือนกัน ทำบุญกับพระที่มีศีลบริสุทธิ์ก็สู้ทำบุญกับพระที่ได้ฌานสมาบัติไม่ได้ ทำบุญกับพระที่ได้ฌานสมาบัติก็สู้ทำบุญกับท่านที่เป็นอริยสงฆ์ไม่ได้


    เอาละ จะพูดมากไป เวลามันเลยไปสักนิดหนึ่งกระมัง เลยหรือไม่เลย? ถ้าเลยก็ขออภัยท่านเจ้าหน้าที่ด้วย สำหรับวันนี้ ก็ขอชวนบรรดาท่านพุทธบริษัทและพระคุณเจ้าที่เคารพ เดินทางเที่ยววนไปวนมาอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์สัก ๗ วันนะขอรับ วันพุธหน้าผมจะพาท่านเที่ยวใหม่ สำหรับวันนี้ หมดเวลาแล้ว ต้องขอลาก่อน


    ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้ติดตามรับฟังทุกท่าน สวัสดี. . 
by admin admin ไม่มีความเห็น

ความเป็นมาของการสวดภาณยักษ์

ท่านผู้อ่าน และท่านผู้ฟังทั้งหลาย ต่อไปนี้ก็ฟังความเป็นมาของการเทศน์ภาณยักข์หรือว่าสวดภาณยักข์ ก็เป็นอันว่า เรื่องราวต่าง ๆ ก็เป็นของ จุไร กับท่านท้าวเวสสุวัณ ตามเดิม เป็นอันว่า เมื่อท่านลุงท้าวเวสสุวัณ คลายจากความเมื่อย ความปวด แต่ความจริงท่านผู้ฟังอาจจะสงสัยว่า เทวดาไม่มีทุกขเวทนาแบบนี้ ทำไมเรื่องนิทานเรื่องจึงบอกว่า มีความเมื่อย ความปวด ก็ต้องขอบอกให้ทราบว่า นี่เป็นนิทาน แต่ความจริงเวลามันหมด จะไปบอกอย่างนั้นว่า หมดเวลา กำลังใจก็เสีย หาจุดจบไม่ได้ จึงบอก ปวดไป เมื่อยไป ก็หมดเรื่องราวกัน ก็เป็นอันว่า ในเมื่อเวลาปรากฏขึ้นมาใหม่ ก็ขอนำความเป็นมาจากเรื่องภาณยักข์ เรื่องภาณยักข์นี่ บรรดาท่านพุทธบริษัทได้ฟังบ้าง ไม่ได้ฟังบ้าง ต่างคน ต่างก็เล่าลือกันว่า การสวดภาณยักข์ มีความสำคัญ ถ้าสวดเมื่อไร คนที่ถูกคุณไสยก็ตาม ผีเข้าเจ้าสิงก็ตาม เขาจะอยู่ไม่ได้ จะต้องออกจากร่างกายของคนนั้น

แต่ว่าพิธีกรรมการสวดภาณยักข์ต้องมีพิธีกรรมให้ถูกต้อง ถ้าจะถามคนเล่านิทาน ก็ตอบว่า ไม่เข้าใจเหมือนกัน เพราะคนเล่านิทานนี่ เป็นคนเคยแต่เพียงว่า ไปเทศน์เรื่องภาณยักข์ แต่พิธีกรรมต่าง ๆ นี่เป็นเรื่องของเจ้าภาพท่าน แต่ผลที่เป็นมาจริง ๆ ที่เวลาเขาสวดภาณยักข์ พระท่านสวดกัน การสวดภาณยักข์ต้องเลือกพระเฉพาะพระพิธีกรรม คือ มีความเข้าใจในบทสวดทั้งหลายเหล่าจริง ๆ และก็สวดกันน่าตื่นเต้นมาก ผีออก จริง ๆ คนที่ถูกผีเข้าสิงเจ้าสิงวิ่งพล่านไป วิ่งพล่านมา บางคนก็ดิ้น บางคนก็ร้อง บางคนทั้งร้อง ทั้งดิ้น ประเดี๋ยวก็หายไป เมื่อเลิกแล้วปรากฏว่า หายหมด ทุกคนบอก สบายขึ้นมาก ความเป็นมาของภาณยักข์ เป็นมาอย่างไร ก็ฟังลุงกับหลานคุยกัน

เป็นอันว่า จุไร ก็ถามท่านลุงว่า คุณลุงเจ้าคะ หนูเคยไปกับแม่ไปที่วัด ๒-๓ แห่งด้วยกัน เมื่อปีที่แล้ว ปรากฏวัดทั้งหลายเหล่านั้นมีพิธีกรรม สวดภาณยักข์ แต่ผลพิธีกรรมสวดภาณยักข์ ไม่ค่อยจะเหมือนกัน วัดแรกมีความศักดิ์สิทธิ์มากเพราะว่าเวลาสวดภาณยักข์จริงๆ เสียงพระที่สวดน่ากลัวมาก เสียงกระแทกกระทั้น เสียงดังกึกก้อง ตกใจ หนูเองฟังแล้วยังหวั่นไหวในเสียงของพระ แต่สิ่งที่อัศจรรย์คือว่า คนที่นั่งในศาลาทั้งหมด ทีแรกก็นั่งกันเงียบ พอพระสวดถึงบทตอนสำคัญ

เสียงกระแทกกระทั้นมาก ๆ หนักเข้า คนบางคนหรือหลาย ๆ คน ลุกขึ้นวิ่งบ้าง บางคนก็นอนดิ้น ร้องบ้าง ดิ้นแล้วก็ร้อง ร้องแล้วก็ดิ้น บางคนก็สิ่งไป บางคนก็ชัก ดิ้นพราด ๆ ในที่สุด เมื่อพระสวดจบ คนทั้งหลายเหล่านั้น ก็สงบและทุกคนก็บอกว่า มีความสุข บางคนก็บอกว่า คล้าย ๆ กับอะไรออกจากร่างกาย ซู่ซ่า บางคนออกอย่างแรง บางคนก็ออกเรียบ ๆ แต่ว่าในที่สุด ทุกคนบอกว่า มีความสุขหมด มีความสบายมาก หนูอยากจะทราบความเป็นมาจริง ๆ ของเรื่องภาณยักข์ คำว่า ภาณยักข์ นี่หมายความว่าอะไร คือว่า เขาพูดกัน ๒ คำ ภาณยักข์ ด้วย และก็ ภาณพระ ด้วย หนูมาเห็นลุงทั้งสองคือ ท่านลุงวิรุฬหกก็ดี ท่านลุงท้าวเวสสุวัณก็ดี ท่านทั้งสองในตอนต้นท่านเป็นยักข์ แสดงตัวโต ๆ ใหญ่ หน้าตาใหญ่ ดุดัน ฉะนั้นคำว่า ภาณยักข์ เป็นพานใส่ของของยักข์ใช่ไหมเจ้าคะ ท่านลุงเวสสุวัณฟังแล้วก็ยิ้ม บอกว่า หลาน คำว่า ภาณยักข์ เป็นภาษาบาลี ไม่ใช่ภาษาไทย บาลีน่ะ ภาณ ตัวนี้แปลว่า พูด ยักข์ ก็คือ ยักข์ คำว่า ภาณยักข์ แปลว่า ยักข์พูด

ต่อมาในตอนที่สอง เรียกว่า ภาณพระ ภาณพระ ก็คือ ตอนพระพูด จุไรก็ถามว่า ความเป็นมาจริง ๆ ของเรื่อง การสวดมนต์ภาณยักข์ กับภาณพระ เป็นอย่างไรเจ้าคะ เห็นพระท่านสวดกันยาวมาก ท่านลุงก็บอกว่า การที่พระสวดยาว ๆ เป็นการเล่าเรื่องในตอนต้นให้ฟัง เล่าความเป็นมาของภาณยักข์ ตอนยักข์พูด และตอนภาณพระ ตอนพระพูด แต่ตอนบทจริง ๆ ที่ใช้เนื่องในการภาณยักข์หรือภาณพระ นี่ก็คือบท วิปัสสิส ใน๗ ตำนาน บทนี้บรรดาพระเณรทั้งหลายในวัดได้กันหมด หรือคนที่รักษาศีลอุโบสถ ที่เขาอยู่วัดกัน เขาก็สวดกันได้

จุไรก็ถามว่า บทวิปัสสิสนี้ สวดแล้วมีผลอย่างไรเจ้าคะ ลุงก็บอกว่า บทวิปัสสิส เป็นบทสวด แสดงความเคารพพระพุทธเจ้า เป็นต้น แต่ว่าบุคคลใด ถ้าสวดไว้ เจริญไว้ ต้องสวดต้องเจริญแบบปกตินะ ไม่ใช่สวด ไม่ใช่เจริญแบบประเภทไล่ผี ขับผี ถ้ามีเจตนาร้าย ผีจะเกลียด

ถ้าสวดไว้เป็นแบบปกติ ผีจะไม่รบกวน เทวดาที่เป็นมิจฉาทิฐิ จะไม่รบกวน เธอก็บอกว่า สวดอย่างไรเจ้าคะ สวดตามปกติ สวดด้วยความเคารพ ท่านก็เลยบอกว่า ก่อนที่จะสวด ก็ตั้งใจนึกถึงพระพุทธเจ้าด้วย พระธรรมด้วย พระอริยสงฆ์ด้วย เทวดา กับพรหมทั้งหมดด้วย และก็สวดด้วยความเคารพในพระพุทธเจ้าเป็นต้น เพียงเท่านี้ก็ใช้ได้ จุไรก็ถามว่า ถ้าอย่างนั้น หนูก็อยากจะทราบความเป็นมา บทวิปัสสิส นี่ ถ้าไปถามพระองค์ไหน องค์นั้นก็รู้ใช่ไหมเจ้าคะ

ท่านลุงก็บอกว่า ใช่ เธอก็ถามว่า ความเป็นมาจริง ๆ เป็นมาอย่างไร ท่านลุงจะเล่าให้ฟังได้ไหม ท่านลุงก็บอก ถ้าหลานต้องการจะฟังลุงจะเล่าให้ฟัง คือ บทภาณยักข์ หรือภาณพระ นี่เป็นเครื่องความเป็นมาของลุงเอง ท่านก็เล่าความเป็นมาว่า ความเป็นมาจริง ๆ มีอย่างนี้ เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว

หลังจากนั้น องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ทรงแสดงพระธรรมเทศนาโปรดพุทธบริษัท คนที่หวังมรรค หวังผลมีความสุข หวังไม่ต้องการความเกิด แก่ ตาย ในวันหน้า หมายความว่าร่างกายนี้ตายแล้วก็แล้วกัน ไปนิพพาน จะถึงนิพพาน หรือยังไม่ถึงก็ตาม ก็ตั้งใจปฏิบัติตามด้วยความจริงใจ ด้วยความเคารพ ทุกคนเมื่อปฏิบัติตามนี้ มักจะนั่งในที่สงัด อยู่ในป่าชัฏบ้าง อยู่ในป่าช้าบ้าง อยู่ในเรือนว่างเปล่า อย่างนี้เป็นต้น แต่ว่าเมื่อคนทั้งหลายตั้งใจทำความดีเพื่อตัดกิเลสแบบนี้ ก็ยังมีบรรดาภูติผีทั้งหลายก็ดี เทวดาบางพวกก็ดีที่ไม่มีความเคารพในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เขาจะกลั่นแกล้งพระพุทธเจ้า เขาก็ทำไม่ได้ ก็เลยหาทางกลั่นแกล้งลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า คือ คนที่ปฏิบัติความเพียร อยู่ในที่สงัด เข้าไปแสดงตัวให้ปรากฏบ้าง ส่งเสียงร้องคำรามบ้าง ทำให้กลัว หรือนั่งใกล้ ๆ ทำให้ขนลุกซูซ่า ทำให้กลัวบ้างอย่างนี้เป็นต้น ก็เป็นเหตุให้คนทั้งหลายเหล่านั้นมีความหวาดหวั่นไม่สามารถจะบำเพ็ญบารมีหรือไม่สามารถจะบำเพ็ญฌานสมาบัติเป็นการตัดกิเลสให้เป็นสมุจเฉทปหาน

ลุงก็มีความเห็นว่า ท่านทั้งหลายเหล่านี้ ตั้งใจทำความดี แต่เทวดาที่เป็นมิจฉาทิฐิก็ดี ผีที่เป็นมิจฉาทิฐิก็ดี กลั่นแกล้งแบบนี้ เป็นการไม่ชอบธรรม ในฐานะที่ ลุงเป็นท้าวจตุโลกบาล คือ ลุงกับคณะ คือ ลุงเอง ๑ ท้าวเวสสุวัณ ๒.ท่านท้าววิรุฬหก ๓. ท่านท้าววิรูปักข์ ๔. ท่านท้าวธตรฐ ทั้ง ๔ คนนี้มีหน้าที่รักษาชาวโลก คือ ชาวมนุษย์โลก ถ้าสร้างความดีก็หาทางป้องกัน ช่วยเหลือ ถ้าเขาสร้างความชั่ว ก็สุดวิสัยที่จะช่วยได้ ก็อดใจไว้ แล้วก็มีหน้าที่ ต้องบันทึกความดีหรือความชั่วของคน ทั้งการพูด การคิด การทำทุกอย่าง ใครทำความดี ใครทำดี ใครพูดดี ใครคิดดี ก็จดบันทึก ใครคิดร้าย พูดร้าย ทำร้าย ก็บันทึกตอนนี้จุไรก็ถามว่า คุณลุงเจ้าคะ เขาพูดก็ดี เขาทำก็ดี ย่อมเป็นสิ่งที่ปรากฏ แต่ตอนเขาคิดในใจนี่ ลุงรู้ได้

อย่างไร ท่านท้าวเวสสุวัณ ก็บอกว่า เทวดาทุกองค์ นางฟ้าทุกองค์ หรือพรหมทุกองค์ ร่างกายเป็นทิพย์ และก็มีจิตใจเป็นทิพย์ ความเป็นทิพย์นี่ สามารถรู้การเคลื่อนไหว ความรู้สึกของคนได้ทุกอย่าง แล้วจุไรก็ถามว่า คนมีมาด้วยกัน ทั้งโลก ไม่ใช่ล้าน สองล้าน นับเป็นพันล้าน แล้วลุงคนเดียวจะรู้ได้อย่างไร

ท่านเวสสุวัณก็บอกว่า ไม่ใช่หน้าที่ของลุงคนเดียวที่จะต้องรู้ ผู้ที่รู้อันดับแรกก็คือ ภูมิเทวดา ภูมิเทวดา ที่ชาวบ้านตั้งศาลให้นั่นแหละ เขาเป็นคนรู้ เป็นเจ้าหน้าที่เฉพาะในเขต เป็นจุดแคบ ๆ แล้วท่านผู้นี้ไม่ต้องไปนั่งจ้อง คิดว่า ใครจะทำโน่น ใครจะทำนี่ ใครจะคิดอะไร ไม่จำเป็น รู้เอง เมื่อเขาคิดดี ก็ขึ้นบัญชีดี ความคิดขึ้นบัญชีเอง เมื่อเขาคิดชั่ว ความคิดนั่นก็ขึ้นบัญชีชั่ว แต่ว่าไม่ใช่แผ่นทองคำหรือแผ่นหนังสุนัข เพราะว่า เมืองเทวดาไม่มีสุนัข ไม่สามารถจะเอาหนังสือมาเขียนได้ เป็นอันว่า มีบัญชีของเทวดาก็แล้วกัน

ถ้าพูดไป หลานจะงง หลังจากนั้น ในกลุ่มหนึ่งของภูมิเทวดาหลาย ๆ องค์ ก็มีอากาสเทวดาชั้นจาตุมหาราช ไปคุม ๑ องค์ ถึงเวลาวันโกนหรือวันกลางเดือน หรือวันสิ้นเดือน เขาก็นำบัญชีมาให้เทวดาชั้นจาตุมหาราช ชั้นจาตุมหาราชก็นำบัญชีทั้งหมด เท่าที่ได้รับมา แต่ละหน่วย ๆ มาให้เทวดาที่เป็น
มหาอำมาตย์รองจากอินทกะหลังจากนั้นท่านมหาอำมาตย์ก็มอบให้ท่านอินทกะ ท่านอินทกะก็มอบให้ลุงแจ้งให้ทราบ ลุงก็แยกบัญชี ส่วนบัญชีส่วนไหนเป็นความดี แจ้งไปดาวดึงส์ ให้เทวดาไปมอบให้ ท่านปัญจสิกขเทพบุตร เป็นเลขาของพระอินทร์ แล้วท่านปัญจสิกขเทพบุตร ก็อ่านประกาศในวันที่ประชุมเทวดา และนางฟ้า บัญชีที่ทำบาป ลุงก็ส่งไปให้พระยายม แต่ความจริงบัญชีพระยายนั้นมีทั้งบัญชีทำความดี และบัญชีทำความชั่ว ทั้งบุญ และบาป ส่งไป ๒ อย่าง เหมือนกัน ก็เป็นอันวา ลุงรู้ตามนี้

จุไรฟังแล้วก็นั่งงงคิดไม่ออกว่า ความเป็นทิพย์ ทำไมมีการคล่องตัวมาก แต่ก็ไม่ถาม เธอก็ย้อนถามมาว่า ถ้าอย่างนั้น คุณลุงเจ้าคะ ขอเล่าเรื่องความเป็นมาของภาณยักข์ก็แล้วกัน ท่านลุงก็บอกว่า ในเมื่อเทวดาที่เป็นมิจฉาทิฐิก็ดี ภูติผีปีศาจต่าง ๆ ที่เป็นมิจฉาทิฐิก็ดี คอยกลั่นแกล้งลูกศิษย์พระพุทธเจ้า ลุงเองในฐานะที่เป็นมนุษย์ก็เป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้าเช่นเดียวกัน ลุงเป็นพระอริยเจ้าได้ เพราะอาศัยพระพุทธเจ้าท่านสงเคราะห์ ก็มีความจำเป็น ต้องหาทางสงเคราะห์คนพวกเดียวกัน คือ ลูกศิษย์พระพุทธเจ้า จึงได้ประชุมท่านท้าวมหาราชอีก ๓ องค์ คือ ท่านท้าวธตรฐ ท่านท้าววิรุฬหก ท่านท้าววิรูปักข์ เวลานี้ท่านทั้งสามก็มาอยู่ร่วมกันที่นี่แล้วก็เป็นอันว่า ในเวลานั้น

เมื่อประชุมกันเสร็จก็หารือกันว่าเหตุการณ์ต่าง ๆ มันเกิดขึ้นอย่างนี้ เราจะช่วยคนที่เขาตั้งใจทำความดีสร้างบุญสร้างกุศล เราจะทำอย่างไร ในที่สุด ทั้งสี่ท่านก็มีมติเห็นชอบพร้อมกันว่า เราจะสร้างบทสวดมนต์ขึ้นบทหนึ่ง บทสวดมนต์นี้มีการสรรเสริญพระพุทธเจ้า เป็นต้น เมื่อสร้างบทสวดมนต์แล้วเสร็จ แล้วก็สั่งประชุมเทวดาทั้ง ๔ ทิศ ให้ประกาศให้ทราบว่า ทุกคน เทวดาหรือนางฟ้าทุกองค์ จะนับถือพระพุทธเจ้าหรือไม่นับถือก็ตาม อันนี้ไม่รับทราบ ให้พึงทราบว่า ถ้าบุคคลใด เขาสวดมนต์บทนี้อยู่ด้วยความตั้งใจดี ไม่ใช่กลั่นแกล้ง ไม่ใช่ขับเทวดา ไม่ใช่ขับผี เมื่อเขาไปอยู่ที่ไหนก็ตาม พอเริ่มต้นปั๊บ ก็สวดมนต์ตั้งแต่ นโม ตสส เรื่อยไป และขั้นต่อไปก็สวดบทนี้ ด้วยความเคารพ ถ้าหากว่า ท่านผู้ใดเขาสวดมนต์บทนี้อยู่ ไม่ใช่สวดทั้งวันนะ เอาแค่จบเดียวก็พอ ก็ห้ามบรรดาเทวดากับนางฟ้าทั้งหมด และภูติผีปีศาจทั้งหมด ห้ามเข้าไปนั่งใกล้ คนที่เขาเจริญมนต์แบบนี้ บทวิปัสสิสนี่นะ ห้ามเข้าไปนั่งใกล้ ห้ามไปล้อ ไปเลียน ห้ามไปหลอก ไปหลอน ห้ามไปกลั่นแกล้ง ถ้าเทวดาหรือนางฟ้า หรือภูติผี ท่านใดฝ่าฝืน ท้าวมหาราชทั้งสี่จะปรับโทษ ในฐาน กบฎ เอาโทษหนัก

ในเมื่อลุงประชุมเทวดากับนางฟ้าทั้งหมดแล้ว ลุงทั้งสี่ก็ไปเฝ้าองค์สมเด็จพระชินสีห์ แล้วกราบทูลความเป็นมาเรื่องนี้ให้ทราบ ตามที่กล่าวมาแล้ว ถ้าขืนย้อน ๆ ไป มันจะช้าจะเนิ่นนานรำคาญ ขณะที่ลุงกราบทูลพระพุทธเจ้า ตอนนี้เขาเรียกว่า ภาณยักข์ ซึ่งเขาลือว่า ท้าวเวสสุวัณนี่เป็นยักข์ เขาจึงได้เขียนรูปเหมือนยักษ์

แต่ยักษ์ที่เขาเขียนมันไม่เหมือนยักษ์ที่ไหน ไม่ว่ายักษ์ที่ไหนจะมีเขี้ยวออกนอกปาก เป็นเขาวัว เขาควายแบบนั้น กัดใครไม่ได้ เขี้ยวยักษ์ ไม่ใช่เขี้ยวขวิด เขี้ยวยักษ์เป็นเขี้ยวกัด ในเมื่อทำเขี้ยวโง้งออกจากปาก จะกัดได้อย่างไร อ้าปากมันไม่หุบเขี้ยว เขี้ยวไม่อยู่ในปาก ก็รวมความว่า ขณะที่ลุงเป็นผู้แทนของท้าวมหาราช อีก ๓ องค์ ปกติเวลาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ลุงเองเป็นผู้กราบทูลแทน ท้าวมหาราชอีก ๓ องค์ ท่านไม่พูด เป็นแต่เพียงยอมรับว่า ท่านร่วม

เมื่อขณะที่ลุงรายงาน ขอให้พระพุทธเจ้าส่งมนต์บทนี้ให้แก่บรรดาสาวกทั้งหมด แจ้งให้ทราบว่า มนต์นี้ ถ้าใครสวดขึ้นแล้วก็ตาม คำว่า สวด ให้สวดด้วยความเคารพในพระพุทธเจ้าโดยเฉพาะ ไม่ใช่ตั้งใจขับผี ขับสาง ถ้าสวดมนต์บทนี้อยู่หรือสวดแล้วก็ตาม ในวันนั้นไม่ใช่ต้องนั่งสวดกันทั้งวัน ก็เป็นอันว่า ผีก็ดี เทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี ไม่สามารถจะเข้ามานั่งใกล้ ไม่สามารถจะกลั่นแกล้ง ไม่สามารถจะล้อเลียน ไม่สามารถจะหลอกได้

ถ้าใครฝ่าฝืนจะต้องถูกท้าวมหาราชทั้งสี่ลงโทษ ฐานกบฎ เป็นอันว่า ตอนนี้ลุงรายงานให้ท่านทราบ เขาเรียกว่า ภาณยักข์

ต่อมาเมื่อลุงกลับแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ทรงเรียกพระประชุม เล่าความเป็นมาอย่างนี้ทั้งหมด ให้พระรับทราบ และแนะคำสวดมนต์ทั้งบทให้พระทั้งหลายสาธยายคือให้ท่องให้จำได้ แล้วก็ซ้อมพร้อมกัน

ตอนนี้ท่านเรียกว่า ภาณพระ คือ พระพูด พระ คือ พระพุทธเจ้าพูด ก็เป็นอันว่าเรื่องราวภาณยักข์ กับภาณพระ เป็นมาเท่านี้เองหลานรัก

แล้วจุไรก็ถามว่า เมื่อฟังแล้วก็รู้สึกว่า เรียบ ๆ ไม่มีอะไรมาก แต่ว่าหนูมีความรู้สึกอยู่อย่างหนึ่ง คุณปู่เล่าให้ฟังว่า เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๒ มีพระองค์หนึ่ง ไปอยู่ในเขต เขาวงพระจันทร์ แต่ก็ไม่ได้อยู่ในวัด ท่านปลูกกระท่อมอยู่ในป่า พระองค์นี้เป็นพระเสียงดัง ท่าทางห้าวหาญ หนูจำชื่อท่านไม่ได้ แต่ไม่ขอบอกชื่อ เพราะเกรงว่าจะไปตรงกับชื่อพระองค์ใดองค์หนึ่งเข้า จะหาว่ากล่าววาจาเสียดสี เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ขอกล่าวปฏิปทาของท่าน เพราะว่าท่านทราบมาจากคนแก่ คนเก่า ๆ หรือพระเก่า ๆ เคยเล่าให้ฟังว่า บทวิปัสสิสนี้ ถ้าสวดเสียงดังขนาดไหน ผีก็ดี เทวดา หรือยักข์ร้ายก็ตาม ที่จะกลั่นแกล้ง จะต้องอยู่สุดปลายเสียงโน้น ขณะได้ยินเสียงอยู่นี่ อยู่ไม่ได้ ต้องหนีไปให้พ้นเสียง

ฉะนั้น ตอนเช้าก็ดี ตอนกลางวันก็ดี ตอนเย็นก็ดี ตอนกลางคืน หัวค่ำก็ดี ตอนดึกก็ตาม ตอนเช้า ตื่นเช้าท่านจะสวดบทวิปัสสิส สวดเสียงดังมาก เลยต้องอยู่คนเดียว คนอื่นเขารำคาญ ตอนกลางวันก็สวดเสียงดัง ตอนเย็นก็สวดเสียงดัง พอค่ำไปหน่อยก็สวดเสียงดัง ตอนดึกก่อนจะนอนก็สวดเสียงดัง สวดอย่างนี้ทุกวัน แต่ปรากฏว่า มีวันหนึ่ง ตอนเย็นประมาณ ๔ โมงเย็นเศษ ใกล้จะ ๕ โมงเป็นเวลาที่พระองค์นี้สวดมนต์ แต่แทนที่จะได้ยินเสียงสวดมนต์ กลับได้ยินเสียงพระองค์นี้ร้อง โอ๊ย…ๆ ๆ ตายแล้ว ๆ ๆ กลัวแล้ว ๆ โอ๊ย… เสียงลั่นห้อง เสียงก้องไปในป่า ปรากฏว่า พระที่อยู่ไม่ไกลนัก หรือชาวบ้านที่อยู่ไม่ไกลนัก ได้ยินเสียงท่าน ต่างคนก็ต่างวิ่งไปที่กระท่อมนั้น คิดว่า ใครมาทำร้ายร่างกายพระองค์นี้

แต่เมื่อทุกคนเข้าไปถึงประตูห้อง ก็ต้องผงะ เพราะเห็นบุคคลคนหนึ่ง ตัวสูงมาก หัวแค่ขื่อ นุ่งกางเกงสีแดง ใส่เสื้อสีแดง คาดหัวผ้าสีแดง แล้วก็หวายท่อนใหญ่ ตีพระองค์นี้ หวดอย่างขนาดหนัก เมื่อทุกคนเข้าไปที่นั่น ไปยืนอยู่ก็ยังตีอยู่ พอดีพระองค์หนึ่งท่านได้สติ ท่านยกมือไหว้ บอกว่า ท่านขอรับ ขออภัยเถิด หยุดแค่นี้เถิดขอรับ ท่านผู้นั้นก็หันมา แล้วก็หยุด แล้วก็ถอยหลังไปนิดหนึ่ง แล้วก็เอามือชี้หน้าอาจารย์องค์นั้น องค์ที่ถูกตี แล้วก้าวขึ้นขื่อหายไป

ก็เป็นอันว่า อยากจะทราบว่า คุณลุงเจ้าคะ ในเมื่อพระองค์นี้สวดขนาดนี้ ทำไมถูกเทวดาตี หนูคิดว่าเป็นเทวดา ท่านลุงบอกว่า การสวดแบบนี้ไม่ใช่สวดด้วยความเคารพในพระพุทธเจ้าโดยตรง เป็นการตั้งใจขับผี ขับเทวดา ที่นี้เทวดาที่เขาดี เป็นสัมมาทิฐิเขาก็มีมาก แล้วผีก็เหมือนกัน ที่เป็นสัมมาทิฐิก็มีมาก มีศรัทธาในพระพุทธเจ้าก็มีเยอะ ที่เป็นมิจฉาทิฐิมีน้อย การสวดแบบนั้นตั้งใจขับทั้งหมด ไม่เจาะจงเฉพาะที่เป็นมิจฉาทิฐิ และเจตนาจริง ๆ ก็ต้องการขับผี ขับเทวดา ฉะนั้น ในเมื่อโอกาสพึงมี เขาก็ต้องลงโทษ เป็นการสั่งสอนว่า ไม่ควรจะทำอย่างนั้น จุไรก็บอกว่า โอ้โฮ…การลงโทษหนักหนาเหลือเกินนะคะ คุณลุงท่านบอกว่า เป็นเรื่องธรรมดา แต่เขาตีท่านไม่ถึงตาย เพราะเทวดาฆ่าคนให้ตายไม่ได้ เธอก็ถามว่า เทวดาผ้าแดง นุ่งแดง ใส่เสื้อแดง ผ้าคาดหัวแดง มีที่ไหน

ท่านลุงท่านก็บอกว่า หลานรัก มองไปดูข้างหลังซิ พอมองไปเห็นข้างหลังลุง เป็นร้อยเป็นพันเลย นุ่งกางเกงสีแดง ใส่เสื้อสีแดง คาดผ้าสีแดง ทุกคนเห็นจุไรแล้วก็ยิ้ม แล้วมีท่านหัวหน้าองค์ใหญ่ ๆ บอกว่า หลานรัก ลุงนี่ตามปกติก็มีเพชรเต็มตัวเหมือนกัน แต่ว่ายามที่ออกปราบปราม ท่านที่เป็นศัตรูกับพุทธศาสนา ก็ใช้สีแดง หรือมิฉะนั้น ถ้าบุคคลใดเขาจะตาย ถ้ามีความจำเป็นต้องเข้าไปช่วยเหลือนำไปสำนักพระยายม ก็ต้องใช้ชุดนี้ ถ้าอยู่ตามปกติ ลุงก็อาจจะนุ่งกางเกงในเฉย ๆ ก็ได้ แต่เวลาเข้าเฝ้าพระอินทร์ ต้องแต่งเต็มยศ ท่านพูดแล้ว เครื่องเต็มยศก็ปรากฏขึ้น มีชฎาแหลมเปี๊ยบ รูปร่างคล้ายพรหม

จุไรก็ยกมือไหว้ จุไรก็ถามว่า คุณลุงเจ้าคะ เขาลือว่า เทวดาสีแดง มีฤทธิ์มากใช่ไหม ท่านลุงก็บอกว่า มีฤทธิ์มากพอสมควร ไม่เกินวิสัยของลุง เพราะว่าลุงตายจากความเป็นคน ก่อนจะตายลุงได้ฌานสมาบัติ แต่ว่าเวลาจะตายไม่ได้เข้าฌานสมาบัติ จึงไม่ได้เป็นพรหม มีจิตเป็นกุศล แต่ไม่ถึง จุไรก็ถามว่า ถ้าอย่างนั้น คุณลุงรู้จัก เลขหวย ไหมคะ ท่านลุงก็บอกว่า เรื่องเลขหวยน่ะหลาน ลุงรู้ทั้งหมด รางวัลไหนจะออกเลขอะไร รู้หมด แต่มันบอกไม่ได้ ตามระเบียบ ถ้าต้องการเลขหวยให้แม่นจริง ๆ ก็ถามลุงท้าวเวสสุวัณก็แล้วกัน

ท่านเวสสุวัณหันมาโบกมือบอก อย่ายุ่ง ๆ ซิ ไปยุให้เด็กขอหวยฉัน ฉันก็ให้ไม่ได้เหมือนกัน มันเป็นกฎของกรรมก็เป็นอันว่า จุไรกับท่านลุงก็คุยเรื่อง ภาณยักข์ ท่านลุงก็บอกว่า การสวดภาณยักข์หรือเทศน์ภาณยักข์นะหลานรัก เขาต้องทำพิธีให้ถูก ถ้าการทำพิธีไม่ถูก ไม่ต้อง ก็ไม่มีการศักดิสิทธิ์ จุไรก็ถามว่า การศักดิ์สิทธิ์จะปรากฏขึ้นเพราะอะไร ท่านท้าวเวสสุวัณก็บอกว่า ถ้าเขาทำถูกตามพิธีกรรม เขาเชิญเทวดาด้วยความเคารพ เขาตั้งศาลบวงสรวงด้วยความเคารพ เขามีเครื่องสังเวยถูกต้อง ทุกสิ่งทุกอย่างทำเพื่อความเป็นสุขของคน และต้องการผลการปฏิบัติดี คือ การฟังเทศน์เรื่องนี้ เพราะเทศน์เรื่องนี้มีข้อปฏิบัติที่ดี ๆ มีมาก ตั้งใจให้ทุกคนมีความสุข โดยศีล โดยธรรม อย่างนี้ เทวดาชุดแดงเขาไปช่วย จุไรก็หันไปถามคุณลุงหัวหน้าบอก คุณลุงเจ้าคะ คุณลุงไปทุกงานหรือ ท่านลุงก็บอกว่า หลาน งานไหนทำถูก งานนั้นลุงไป ถ้างานไหนทำไม่ถูก งานนั้นลุงไม่ไปจุไรก็ถามว่า ถ้าจะทำให้ถูกอย่างไร ลุงก็บอกว่า ไม่ใช่วาระที่จะถามลุงในเวลานี้นะ เพราะว่าพิธีกรรมต่าง ๆ ทุกคนต้องปฏิบัติให้ถูกต้อง เขามีระเบียบปฏิบัติอยู่แล้ว ทำด้วยความเคารพจริง ๆ ไม่ใช่สักแต่ว่าทำ ทำเป็นการค้า ถ้าวัดไหนต้องการทำเพื่อการค้า หวังได้เงินอย่างเดียว ขายข้าว ขายของ อยากได้เงิน อย่างนั้นลุงก็ไม่ไปช่วย ตามที่ลุงพูดกับท่านท้าวมหาราชเมื่อสักครู่นี้ว่าบางวัดก็มีผล บางวัดก็ไม่มีผล วัดที่มีผล เขาตั้งใจเป็นกุศลจริง ๆ

จุไรก็ถามว่า ถ้าอย่างนั้น ลุงจะบอกพิธีกรรมได้ไหม ท่านลุงก็บอกว่า ไม่ใช่หน้าที่ของลุงเสียแล้ว จุไรจึงหันมาถามท่านท้าวเวสสุวัณว่า คุณลุงเจ้าคะจะบอกพิธีกรรมได้ไหม ท่านลุงก็บอก บอกได้ แต่ลุงคิดว่า ไม่บอกดีกว่า เพราะพิธีกรรมเขามีอยู่ ถ้าบุคคลใดต้องการอยากจะรู้ ต้องการอยากจะทำ ก็เข้าไปหาเจ้าพิธีเขา เจ้าพิธีเขาจะบอก เขาจะบอกวัตถุต่าง ๆ ที่ใช้ในพิธีกรรมด้วย จะบอกลีลาที่จะปฏิบัติในพิธีกรรมด้วย จะได้ช่วยทำถูกต้องเอาละ หลานรัก ตอนนี้คุยกันเรื่องเดียว หมดเวลาพอดีนะ ตอนนี้หมดเวลาตอนที่ ๒ นี้แล้ว ก็ขอยุติไว้ก่อน

ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้อ่าน ผู้รับฟังทุกท่าน

จากหนังสืออ่านเล่น เล่มที่ ๑๑

by admin admin ไม่มีความเห็น

วันมาฆบูชา

วันมาฆบูชา ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 3 ถือเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาวันหนึ่ง และได้เวียนมาบรรจบอีกครั้ง โดยในปี พ.ศ.2556 นี้ วันมาฆบูชา ตรงกับวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2556 จึงมีเกร็ดความรู้เกี่ยวกับวันมาฆบูชามาฝากกัน

ความหมายของวันมาฆบูชา

      คำว่า "มาฆะ" นั้น เป็นชื่อของเดือน 3 ย่อมาจากคำว่า "มาฆบุรณมี" หมายถึง การบูชาพระในวันเพ็ญกลางเดือนมาฆะตามปฏิทินของอินเดีย หรือเดือน 3 

การกำหนดวันมาฆบูชา

      การกำหนดวันมาฆบูชาตามปฏิทินจันทรคติของไทยนั้นจะตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 แต่ถ้าปีใดมีเดือนอธิกมาส คือมีเดือน 8 สองครั้ง วันมาฆบูชาก็จะเลื่อนไปเป็นวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 4 และมักตรงกับเดือนกุมภาพันธ์หรือมีนาคม

ความสำคัญและประวัติของวันมาฆบูชา

      ความสำคัญของวันมาฆบูชา คือเป็นวันที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง "โอวาทปาติโมกข์"แก่พระสงฆ์เป็นครั้งแรก หลังจากตรัสรู้มาแล้วเป็นเวลา 9 เดือน ซึ่งหลักคำสอนนี้เป็นหลักการ และวิธีการปฏิบัติต่างๆ หากสรุปเป็นใจความสำคัญ จะมีเนื้อหาว่า "ทำความดี ละเว้นความชั่ว ทำจิตใจให้บริสุทธิ์"

ทั้งนี้ในวันมาฆบูชาได้เกิดเหตุอัศจรรย์ขึ้นพร้อมๆ กันถึง 4 ประการ อันได้แก่

      1.วันนั้นตรงกับวันเพ็ญ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 ซึ่งพระจันทร์เสวยมาฆฤกษ์

      2.มีพระสงฆ์จำนวน 1,250 รูป มาประชุมพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย ณ วัดเวฬุวัน เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ เพื่อสักการะพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

      3.พระสงฆ์ที่มาประชุมทั้งหมดล้วนแต่เป็นพระอรหันต์ ผู้ได้อภิญญา 6

      4.พระสงฆ์ทั้งหมดได้รับการอุปสมบทโดยตรงจากพระพุทธเจ้า หรือ "เอหิภิกขุอุปสัมปทา"

      และเพราะเกิดเหตุอัศจรรย์ 4 ประการข้างต้น ทำให้วันมาฆบูชา เรียกอีกชื่อหนึ่งได้ว่า "วันจาตุรงคสันนิบาต" ซึ่งคำว่า "จาตุรงคสันนิบาต" นี้ มีความหมายตามการแยกศัพท์คือ

      จาตุร แปลว่า 4
      องค์ แปลว่า ส่วน
      สันนิบาต แปลว่า ประชุม

      ดังนั้น "จาตุรงคสันนิบาต" จึงหมายความว่า "การประชุมด้วยองค์ 4" นั่นเอง

      ทั้งนี้วันมาฆบูชาถือว่าเป็นวันพระธรรม ขณะที่วันวิสาขบูชาถือว่าเป็นวันพระพุทธ ส่วนวันอาสาฬหบูชา เป็นวันพระสงฆ์

ประวัติการถือปฏิบัติวันมาฆบูชาในประเทศไทย

      พิธีทำบุญวันมาฆบูชานี้ ไม่ปรากฎหลักฐานว่ามีมาในสมัยใด อย่างไรก็ตามในหนังสือ "พระราชพิธีสิบสองเดือน" อันเป็นบทพระราชนิพนธ์ของ "พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว" มีเรื่องราวเกี่ยวกับการประกอบราชกุศลมาฆบูชาไว้ว่า 

      ประเทศไทยเริ่มกำหนดพิธีปฏิบัติในวันมาฆบูชาเป็นครั้งแรกในช่วงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ซึ่งมีการประกอบพิธีเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ.2394 ในพระบรมมหาราชวังก่อน โดยมีพิธีพระราชกุศลในเวลาเช้า นมัสการพระสงฆ์จากวัดบวรนิเวศวรวิหารและวัดราชประดิษฐ์จำนวน 30 รูป ฉันภัตตาหารในพระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม

      เมื่อถึงเวลาค่ำ  พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ ออก ทรงจุดธูปเทียนนมัสการ พระสงฆ์ทำวัตรเย็นและสวดคาถาโอวาทปาติโมกข์ เมื่อสวดจบทรงจุดเทียน 1,250 เล่ม รอบพระอุโบสถ มีการประโคมอีกครั้งหนึ่งแล้วจึงมีการเทศนาโอวาทปาติโมกข์ 1 กัณฑ์เป็นทั้งเทศนาภาษาบาลี และภาษาไทย ส่วนเครื่องกัณฑ์ประกอบด้วยจีวรเนื้อดี 1 ผืน เงิน 3 ตำลึงและขนมต่างๆ เมื่อเทศนาจบ พระสงฆ์ 30 รูป สวดรับ

      ในสมัยรัชกาลที่ 4 นั้น พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จะเสด็จออกประกอบพิธีด้วยพระองค์เองทุกปี แต่มีการยกเว้นบ้างในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เนื่องจากบางครั้งตรงกับช่วงเสด็จประพาสก็จะทรงประกอบพิธีมาฆบูชาในสถานที่นั้นๆ ขึ้นอีกแห่ง นอกเหนือจากภายในพระบรมมหาราชวัง

      ต่อมาการประกอบพิธีมาฆบูชาได้แพร่หลายออกไปภายนอกพระบรมมหาราชวัง และประกอบพิธีกันทั่วราชอาณาจักร ทางรัฐบาลจึงประกาศให้เป็นวันหยุดทางราชการด้วย เพื่อให้ประชาชนจากทุกสาขาอาชีพได้ไปวัด เพื่อทำบุญกุศลและประกอบกิจกรรมทางศาสนา

      นอกจากนี้ในปี พ.ศ.2549 รัฐบาลไทยประกาศให้วันมาฆบูชา ให้เป็นวันกตัญญูแห่งชาติอีกด้วย

หลักธรรมที่ควรนำไปปฏิบัติ

      หลักธรรมที่ควรนำไปปฏิบัติคือ "โอวาทปาติโมกข์" ซึ่งเป็นหลักคำสอนสำคัญอันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา เพื่อไปสู่ความหลุดพ้น หลักธรรมประกอบด้วย หลักการ 3 อุดมการณ์ 4 และวิธีการ 6 ดังนี้

หลักการ 3 คือหลักคำสอนที่ควรปฏิบัติ ได้แก่

      1.การไม่ทำบาปทั้งปวง คือ การลด ละ เลิก ทำบาปทั้งปวง อันได้แก่ อกุศลกรรมบถ 10 ซึ่งเป็นทางแห่งความชั่ว 10 ประการที่เป็นความชั่วทางกาย (การฆ่าสัตว์ การลักทรัพย์ การประพฤติผิดในกาม) ทางวาจา (การพูดเท็จ การพูดส่อเสียด การพูดเพ้อเจ้อ) และทางใจ (การอยากได้สมบัติของผู้อื่น การผูกพยาบาท และความเห็นผิดจากทำนองคลองธรรม)

      2.การทำกุศลให้ถึงพร้อม คือ การทำความดีทุกอย่างตาม กุศลกรรมบถ 10 ทั้งความดีทางกาย (ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ไม่เอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้มาเป็นของตน มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ไม่ประพฤติผิดในกาม) ความดีทางวาจา (ไม่พูดเท็จ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดหยาบคาย ไม่พูดเพ้อเจ้อ) และความดีทางใจ (ไม่โลภอยากได้ของผู้อื่น มีความเมตตาปรารถนาดี มีความเข้าใจถูกต้องตามทำนองคลองธรรม)

      3.การทำจิตใจให้ผ่องใส คือ ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ หลุดจากนิวรณ์ที่คอยขัดขวางจิตใจไม่ให้เข้าถึงความสงบ ได้แก่ ความพอใจในกาม, ความพยาบาท, ความหดหู่ท้อแท้, ความฟุ้งซ่าน และความลังเลสงสัย

      ซึ่งทั้ง 3 หลักการข้างต้น สามารถสรุปใจความสำคัญได้ว่า "ทำความดี ละเว้นความชั่ว ทำจิตใจให้บริสุทธิ์" นั่นเอง

อุดมการณ์ 4 ได้แก่

      1.ความอดทน อดกลั้น คือ ไม่ทำบาปทั้งกาย วาจา ใจ
      2.ความไม่เบียดเบียน คือ งดเว้นจากการทำร้าย หรือ เบียดเบียนผู้อื่น
      3.ความสงบ ได้แก่ การปฏิบัติตนให้สงบทั้งทางกาย ทางวาจาและทางใจ
      4.นิพพาน ได้แก่ การดับทุกข์ ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดในพระพุทธศาสนา

วิธีการ 6 ได้แก่

      1.ไม่ว่าร้าย คือ ไม่กล่าวให้ร้าย โจมตีใคร
      2.ไม่ทำร้าย คือ การไม่เบียดเบียนผู้อื่น
      3.สำรวมในปาติโมกข์ คือ เคารพระเบียบวินัย กฎกติกา รวมทั้งขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามของสังคม
      4.รู้จักประมาณ คือ รู้จักความพอดีในการบริโภค รวมทั้งการใช้สอยสิ่งต่างๆ
      5.อยู่ในสถานที่สงัด คือ อยู่ในสถานที่ที่มีสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม
      6.ฝึกหัดจิตใจให้สงบ คือ การฝึกหัดชำระจิตใจให้สงบ มีประสิทธิภาพที่ดี

กิจกรรมต่างๆ ที่ควรปฏิบัติในวันมาฆบูชา

      การปฏิบัติตนสำหรับพุทธศาสนิกชนในวันมาฆบูชาคือ คือ ในตอนเช้า ควรไปทำบุญตักบาตร ไปวัดเพื่อฟังพระธรรมเทศนา หรือจัดสำรับคาวหวานไปทำบุญถวายภัตตาหาร ช่วงบ่ายฟังพระแสดงพระธรรมเทศนา เจริญสมาธิภาวนา เมื่อถึงตอนค่ำ นำดอกไม้ ธูปเทียนไปเวียนเทียน 3 รอบที่พระอุโบสถ โดยการเวียนเทียนนั้นจะเวียนขวา จำนวน 3 รอบ และช่วงเวลาที่เดินอยู่นั้นให้ระลึกถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นอกจากนี้พุทธศาสนิกชนควรบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ตามสถานที่ต่างๆ และรักษาศีล สำหรับตามบ้านเรือน สถานที่ราชการ จะมีการประดับธงชาติ ธงธรรมจักร เพื่อระลึกถึงวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา 

ข้อเสนอแนะการจัดกิจกรรมทางวัฒนธรรมในวันมาฆบูชา

กิจกรรมเกี่ยวกับครอบครัว

      กิจกรรมที่ครอบครัวควรทำในวันมาฆบูชา อย่างเช่น การทำความสะอาดบ้าน จัดแต่งที่บูชาประจำบ้าน ชักชวนครอบครัวไปทำบุญตักบาตร ฟังศีล ฟังธรรม บำเพ็ญกุศล ปฏิบัติธรรม รวมทั้งควรศึกษาหลักธรรมคำสั่งสอน และความสำคัญของวันมาฆบูชาด้วย

กิจกรรมเกี่ยวกับสถานศึกษา

      ในสถานศึกษาเป็นแหล่งเรียนรู้ที่สำคัญอีกแห่ง โดยภายในสถานศึกษาควรมีการร่วมรำลึกถึงความสำคัญของวันมาฆบูชา เช่น จัดนิทรรศการให้ความรู้ ประกวดเรียงความ ตอบปัญหาธรรมะ บรรยายธรรม หรือร่วมกันทำบุญ ตักบาตร เวียนเทียน บำเพ็ญกุศล อีกทั้งประกาศเกียรติคุณนักเรียนผู้ทำประโยชน์ ประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดี

กิจกรรมเกี่ยวกับสถานที่ทำงาน

      ควรประชาสัมพันธ์ในที่ทำงาน และจัดให้มีการบรรยายธรรม หรือร่วมบำเพ็ญประโยชน์ร่วมกัน ร่วมทำบุญ บำเพ็ญกุศลร่วมกัน

กิจกรรมเกี่ยวกับสังคม

      ภาคส่วนต่างๆ ในสังคม ไม่ว่าจะเป็น วัด มูลนิธิ สมาคม สื่อมวลชน สนามบิน สถานีรถไฟ ฯลฯ ควรช่วยกันประชาสัมพันธ์ความสำคัญของวันมาฆบูชา อาจเป็นการพิมพ์เอกสารให้ความรู้ จัดให้มีการเข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนาร่วมกัน เช่น ทำบุญตักบาตร ฟังธรรม ช่วยกันรณรงค์ให้เลิกอบายมุข แต่รณรงค์ให้ช่วยกันทำประโยชน์ต่อสังคมแทน อาจช่วยกันปลูกต้นไม้ ทำความสะอาดที่สาธารณะ ฯลฯ

ประโยชน์ที่จะได้รับจากการจัดกิจกรรมในวันมาฆบูชา

      พุทธศาสนิกชนจะมีความรู้ ความเข้าใจอย่างถูกต้องเกี่ยวกับความสำคัญของวันมาฆบูชา รวมทั้งหลักธรรมต่างๆ ซึ่งจะทำให้เกิดความตระหนักต่อความสำคัญของพระพุทธศาสนา อีกทั้งยังเป็นการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะชาวพุทธ และยังเป็นการช่วยธำรงพระพุทธศาสนาให้สืบต่อไป
by admin admin ไม่มีความเห็น

หลวงพ่อสด สอนเรื่องนิพพานแก่หลวงพ่อฤาษี

หลวงพ่อสด สอนเรื่องนิพพานแก่หลวงพ่อฤาษี

อาตมาเองก็เป็นคนงมงายมาก่อน ในกาลก่อนใครพูดเรื่องนิพพานไม่เชื่อ นิพพานมีสภาพสูญ เขาว่าอย่างนั้น ต่อมา หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ซึ่งเป็นอาจารย์ ท่านเห็นว่า เรามีสันดานชั่วละมั้ง ก็ส่งให้ไปหา หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ไปเรียนกับหลวงพ่อสดประมาณ ๑ เดือน ก็ทำได้ตามสมควร เรียกว่าพื้นฐานมีอยู่แล้ว ต่อมาวันหนึ่งประมาณ เวลา ๖ ทุ่มเศษ หลังจากทำวัตร สวดมนต์ เจริญกรรมฐานกันแล้ว หลวงพ่อสดท่านก็คุยชวนคุย คนอื่นเขากลับหมด ก็อยู่ด้วยกันประมาณ ๑๐ องค์

วันนั้น ท่านก็บอกว่าฉันมีอะไรจะเล่าให้พวกคุณฟัง คือ พระที่ไปถึงนิพพานแล้ว มีรูปร่างเหมือนแก้วหมด ตัวเป็นแก้ว เราก็นึกในใจว่าหลวงพ่อนี่ไปมากแล้ว นิพพานเขาบอกว่ามีสภาพสูญ แล้วทำไมจะมีตัวมีตนแล้วท่านก็ยังคุยต่อไปว่า นิพพานนี้เป็นเมือง แต่ว่าเป็นทิพย์พิเศษ เป็นทิพย์ที่ไม่ต้องกลับมาเกิดอีก มีพระอรหันต์มากมาย คนที่ไปนิพพานได้ เขาเรียกว่า พระอรหันต์ จะตายเมื่อเป็นฆราวาสจะตายเมื่อเป็นพระก็ตาม ต้องถึงอรหันต์ก่อน เมื่อถึงอรหันต์ก่อนแล้วก็ตาย ตายแล้วก็ไปอยู่ที่นั่น ร่างกายเป็นแก้วหมด เมืองเป็นแก้ว สถานที่อยู่แพรวพราวเป็นระยับ อาตมาก็นึกในใจว่าหลวงพ่อนี่ไปเยอะ ตอนก่อนก็ดี สอนดี มาตอนนี้ชักจะไปมากเสียแล้วแต่ก็ไม่ค้าน ฟังแล้วก็ยิ้ม ๆ

ท่านก็คุยต่อไปว่า เมื่อคืนนั้น ขี่ม้าแก้วไปเมืองนิพพาน (เอาเข้าแล้ว) แล้วต่อมาคุยไปคุยมาท่านก็บอกว่า (ท่านคงจะทราบ ท่านไม่โง่เท่าเด็ก เพราะพระขนาดรู้นิพพานไปแล้ว อย่างอื่นก็ต้องรู้หมด แต่ความจริงคำว่า รู้หมด ในที่นี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท ไม่ใช่รู้เท่าพระพุทธเจ้า แต่ทุกสิ่งทุกอย่างเท่าที่ควรจะรู้ ก็สามารถรู้หมด)ท่านก็เลยบอกว่า เธอดูดาวดวงนี้นะ ดาวดวงนี้สุกสว่างมาก ประเดี๋ยวฉันจะทำให้ดาวดวงนี้ริบหรี่ลง จะค่อย ๆ หรี่ลงจนกระทั่งไม่เห็นแสงดาว ท่านชี้ให้ดู แล้วก็มองต่อไป ตอนนี้เริ่มหรี่ ละ ๆ แสงดาวก็หรี่ไปตามเสียงของท่าน ในที่สุด หรี่ที่สุด ไม่เห็นแสงดาว ท่านถามว่า เวลานี้ทุกคนเห็นแสงดาวไหม ก็กราบเรียนท่านว่า ไม่เห็นแสงขอรับ ท่านบอกว่า ต่อนี้ไป ดาวจะเริ่มค่อย ๆ สว่าง ขึ้นทีละน้อย ๆ จนกระทั่งถึงที่สุด แล้วก็เป็นไปตามนั้น

พอท่านทำถึงตอนนี้ก็เกิดความเข้าใจว่า ความดีหรือวิชาความรู้ที่เรามีอยู่ มันไม่ได้ ๑ ในล้านที่ท่านมีแล้ว ฉะนั้นคำว่านิพพานจะต้องมีแน่ ท่านมีความสามารถอย่างนี้เกินที่เราจะพึงคิด ครูบาอาจารย์ต่าง ๆ ที่ศึกษามาในด้านกรรมฐานก็ดีหรือที่คุยกันมาก็ดี นี่ท่านรู้จริง ท่านก็ไม่ปฏิเสธเรื่องนิพพาน คำว่านิพพานสูญท่านไม่ยอมพูด ไปถามท่านเข้าว่านิพพานสูญรึ ท่านนิ่ง ในที่สุดก็ไปถาม ๒ องค์ คือ หลวงพ่อปาน กับหลวงพ่อโหน่ง ถามว่านิพพานสูญรึ ท่านตอบว่า ถ้าคนใดสูญจากนิพพาน คนนั้นก็เรียกว่านิพพานสูญ แต่คนไหนไม่สูญจากนิพพาน คนนั้นก็เรียกนิพพานไม่สูญ ก็รวมความว่า นิพพานไม่สูญแน่ทีนี้ต่อมา

หลวงพ่อสดท่านก็ยืนยันเอาจริงเอาจัง ต่อมาท่านก็สงเคราะห์คืนนั้นเอง ท่านก็สงเคราะห์บอกว่า เรื่องต้องการทราบนิพพาน เขาทำกันอย่างนี้ ท่านก็แนะนำวิธีการของท่าน รู้สึกไม่ยาก เพราะเราเรียนกันมาเดือนหนึ่งแล้ว ตามพื้นฐานต่าง ๆ ท่านบอกว่าใช้กำลังใจอย่างนี้ เวลาผ่านไปประมาณสัก ๑๐ นาที รู้สึกว่านานมากหน่อย ทุกคนก็ไม่ปฏิเสธเรื่องนิพพานมีจริง เห็นนิพพานเป็นแก้ว แพรวพราวเป็นระยับ พระที่นิพพานทั้งหมด เป็นแก้วหมด แต่ไม่ใช่แก้วปั้น เป็นแก้วเดินได้ คือแพรวพราวเหมือนแก้ว สวยงามระยับทุกอย่างที่พูดนี้ยังนึกถึงบุญคุณหลวงพ่อสดท่านยังไม่หาย ท่านมีบุญคุณมากรวมความว่า เวลานั้นเรายังเป็นคนโง่ อาจจะมีจิตทึมทึก

แต่ความจริงขอพูดตามความเป็นจริงเวลานั้นจิตไม่ดำ จิตใสเป็นแก้ว แต่ความแพรวพราวของจิตไม่มีการใสเป็นแก้วนั้น เวลานั้นเป็นฌานโลกีย์ ฌานสูงสุด ใช้กำลังเฉพาะเวลานะ ฌานโลกีย์นี้เอาจริงเอาจังกันไม่ได้ จะเอาตลอดเวลานี้ไม่ได้ เพราะอยู่ต่อหน้าครูบาอาจารย์ แล้วท่านก็สั่งว่า หลังจากนี้ต่อไป ทุก ๆ องค์ จงทำอย่างนี้จิตต่อให้ถึงนิพพานทุกวัน ตามที่จะพึงทำได้ อย่างน้อยที่สุด จงพบนิพพาน ๒ ครั้ง คือ ๑. เช้ามืด และประการที่ ๒. ก่อนหลับ หลังจากนี้ไป เธอกลับไปแล้ว ทีหลังกลับมาหาฉันใหม่ ฉันจะสอบ

เมื่อได้ลีลามาอย่างนั้นแล้วก็กลับ มาหาครูบาอาจารย์เดิม คือ หลวงพ่อปาน พอขึ้นจากเรือก็ปรากฏว่าพบหลวงพ่อปานอยู่หน้าท่า ท่านเห็นหน้าแล้วท่านก็ยิ้ม ว่าอย่างไรท่านนักปราชญ์ทั้งหลาย เห็นนิพพานแล้วใช่ไหม ตกใจ ก็ถามว่า หลวงพ่อทราบหรือครับ บอก เออ ข้าไม่ทราบหรอก วะ เทวดาเขามาบอก บอกว่าเมื่อคืนที่แล้วมานี่ หลวงพ่อสดฝึกพวกเอ็งไปนิพพานใช่ไหม ก็กราบเรียนท่านบอกว่า ใช่ขอรับ ท่านบอกว่า นั่นแหละ เป็นของจริง ของจริงมีตามนั้น หลวงพ่อสดท่านมีความสามารถพิเศษในเรื่องนี้

ก็ถามว่า ถ้าหลวงพ่อสอนเองจะได้ไหม ท่านก็ตอบว่า ฉันสอนเองก็ได้ แต่ปากพวกเธอมันมาก มันพูดมาก ดีไม่ดีพูดไปพูดมา งานของฉันก็มาก งานก่อสร้างก็เยอะ งานรักษาคนเป็นโรคก็เป็นประจำวัน ไม่มีเวลาว่าง ถ้าเธอไปพูดเรื่องนิพพาน ฉันสอนเข้าฉันก็ไม่มีเวลาหยุด เวลาจะรักษาคนก็จะไม่มี เวลาที่จะก่อสร้างวัดต่าง ๆ ก็ไม่ม

ฉันหวังจะสงเคราะห์ในด้านนี้ จึงได้ส่งเธอไปหาหลวงพ่อสด ก็ถามว่า หลวงพ่อสดกับหลวงพ่อรู้จักกันดีรึ ท่านก็ตอบว่า รู้จักกันดีมาก เคยไปสอบซ้อมกรรมฐานด้วยกัน สอบกันไปสอบกันมาแล้ว ต่างคนต่างต้นเสมอกัน ก็รวมความว่ากำลังไล่เรื่อยกัน บรรดาท่านพุทธบริษัท นี่เป็นจุดหนึ่งที่อาตมาแสดงถึงความโง่กับครูบาอาจารย์….

(จากหนังสือ อ่านเล่น เล่ม 6 โดย หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)

by admin admin ไม่มีความเห็น

มักจะเผลอบ่อยๆ ในเวลาปฏิบัติ

ถาม – มักจะเผลอบ่อยๆ ในเวลาปฏิบัติ

เผลอเกิดจากอะไร ? เกิดเพราะสนใจน้อยไป ในการทำสมาธิ 15 นาที เธอรู้ไหมว่าลมกระทบจมูกเธอตลอดเวลานั้น สังเกตรู้ไหม ไปหัดทำเสีย 15 นาที พยายามเอาความรู้สึกไว้ที่ปลายจมูก ถ้าเธอทำได้คือมีความรู้สึกว่าลมผ่านจมูกเธอตลอด 15 นาที ก็นับว่าต่อไปเธอจะมีสมาธิ มีสติที่ตั้งมั่นได้นาน ความเผลอจะลดถอยไปเอง เป็นอย่างไร ประพฤติธรรม อยู่ในธรรมดีรึ ? ความมั่นคงในธรรมนั้น ไม่ใช่อยู่ที่ความพอใจของอารมณ์ที่กวัดแกว่งไปมาสู่ภาวะของกิเลส

โลภะ อยากให้เขารักเรา อยากให้ของที่รักเป็นของเรา ไม่รู้จัก “พอควร”

โทสะ โกรธที่ไม่ได้ที่ตนหวัง ที่ตนต้องการ โทสะมากๆ กลายเป็นอาฆาตน้อยๆ คือจำ เคียดแค้น ไม่มีอภัยทาน ไม่มีพรหมวิหาร

โมหะ หลง อุปาทานว่าเราจะต้องเป็นเอก เป็นเอกในความสำคัญของตน ฉันก่อน ฉันดี ฉัน ของฉัน ฉันรัก ฉันหวง เธอต้องให้ฉัน ขอโทษฉัน

ตัณหา ความปรารถนาที่จะพึงได้ในภวตัณหา วิภวตัณหา คืออยากได้ในสิ่งที่รัก ไม่อยากได้ในสิ่งที่ไม่ชอบ อะไรจะบังคับให้ตามใจตนเองได้ (ล่ะ) ในเมื่อสิ่งเหล่านี้ไม่สมควรต้องตอบสนองเราในบางคราว และจะไม่ตอบสนองเราในบางคราว

อุปาทาน เป็นทิฐิมานะอย่างหนึ่งที่ทำให้ถือตัวตน ถือเขาถือเรา ฉันทำให้เธอแล้ว เธอต้องทำให้ฉันบ้าง เพราะฉันมีบุญคุณ อุปาทานว่าตัวตนดีพร้อม คนอื่นตามไม่ทันหลงในรูป รส ยศศักดิ์

เท่านี้ เป็นไฟที่จุดอยู่ในอารมณ์เธอว่า เธอเป็นเธอ นี่คือฉัน ยึดเพราะหลงกรรมตนเอง ซึ่งเลือกไม่ได้ที่จะเกิด ที่จะเป็น ที่จะดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างสุขบ้าง ทุกข์บ้าง ลำบากบ้าง หลงระเริงเข้าไปในอารมณ์ทำไม เผาผลาญใจเราให้ร้อนรุ่มกลุ้มใจเราอยู่ทุกนาที ชอบรึ สบายดีรึ นั่นแหละทรมานตนเองให้หมดไหม้ในกองไฟ

จงพิจารณาให้เห็นสัจธรรม

  • ทุกข์ อะไรคือทุกข์
  • สมุทัย เหตุแห่งทุกข์ อะไรที่เป็นเหตุให้อารมณ์ร่างกายจิตใจเรามัวหมอง ขุ่นในทุกข์
  • นิโรธ ทางดับทุกข์ อะไรเป็นยาสำหรับดับกิเลส ตัณหา อุปาทาน
  • มรรค วิธีปฏิบัติให้ถึงทางดังทุกข์ ทางไหนทำเอาเอง วิธีให้พ้นทุกข์คือการเข้าสู่อมตนิพพาน แต่เห็นหลายหน้า หลายคนบ่นๆ อยากไป ใจพระท่านก็อยากให้ได้ไปได้ถึง

แต่แค่ภาวนาแล้วนึกไปนิพพานเฉยๆ น่ะยาก ต้องปฏิบัติที่ใจจึงจะไปได้ แม้ว่าจะมาร้องขอว่า “ขอฉันไปนิพพานเถอะ” ฉันเองก็ได้แต่ยินดีที่เขาปรารถนา แต่จะทรงตัวอยู่กับทางโลกและไม่ถึงธรรมนั้น เป็นเหตุให้นิพพานเป็นของยากมาก ขอพูดว่านิพพานไม่ได้อยู่ที่ปาก แต่อยู่ที่การปฏิบัติใจ บนพระนิพพานไม่มีกิเลสตัณหาอุปาทาน แบกไปไม่ไหวหรอก ใช่ไหม.. ร. เธอเห็นคนบนนั้นแบกไหม..?

ร. ตอบ – เจ้าค่ะ ความรู้สึกว่าแม้แต่ฝุ่นจุดเดียวก็ไม่มี

จำไว้ทุกคน โลภ โกรธ หลง เป็นสมบัติของกิเลส ตัณหา อุปาทาน พิจารณาลง (ท้าย) ด้วยอริยสัจ แล้วปฏิบัติด้วยการถือศีล สมาธิ ปัญญา คือการทรงสติให้ครบบริบูรณ์ ใช้วิปัสสนาเป็นเครื่องพิจารณา ดูด้วยพรหมวิหาร 4 เป็นพื้นฐานของจิตใจ เอาทุกขังเป็นส่วนโจทย์ เอาอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไตรลักษณ์เป็นผลสรุป ดูด้วยบารมีสิบทัศน์ สังโยชน์ 10 ข้อ กรองอารมณ์ว่ามันดีมันชั่วมันติดตรงไหน เมื่อรู้ก็ระงับข้อเสีย พิจารณาดูช่องรั่ว ช่องว่างต่างๆ ว่าตรงไหนไว้ใจไม่ได้ คืออายตนะตรงไหนไว้ใจไม่ได้ก็ปิด อดเสีย หรือถ้าไว้ใจได้ ตาเห็นก็เฉย ไม่รู้สึกสะทกสะท้าน ทำได้ไหม ? ไม่ได้ก็รอ…!

ทำน่ะ ทำได้ทุกคน แต่อยู่ตรงที่จะทำไหม หรือไม่ (ก็) อยู่ตรงที่จะยอมมอง ยอมดูตัวเองไหม เรื่องชาวบ้านน่ะอย่าไปดูเขาเลย เพราะใครทำใครได้ ดูที่ตัวของเราดีกว่า แก้ที่ตัวของเราดีกว่า ต่างคนต่างดู ต่างแก้ของตนแล้ว ทุกคนจะอยู่ในธรรมอันเดียวกัน และจะไม่ต้องแก้ให้ใครอีก จะเข้าหากันได้เอง เพราะมีข้อธรรมเป็นความประพฤติ เป็นนิสัยอันเดียวกัน.

Top