Author: admin

by admin admin ไม่มีความเห็น

ตอนที่ 46

อีกครั้ง

วันนี้วันที่ 2 เมษายน  2556 ตอนนี้ก็5ทุ่มครึ่งครับ เกรงว่าจะจำไม่ได้เลยจะเล่าให้อ่านเสียดีกว่า ความจำเริ่มป่วยจำได้มั่งไม่ได้มั่ง นี่ผมเริ่มเข้าวัยกลางคนเอง สาวๆยังมองนี่ถือว่ายังไม่แก่  ความแก่นี่เป็นเรื่องธรรมดา  ธรรมชาติ  มันไม่หนุ่มตลอดกาลตลอดสมัยใช่มั้ย เอออันนี้มันคิดได้แบบนี้มันก็มีความสุข กายแก่แต่ใจหนุ่ม  ชักนอกเรื่องนอกราว  มาเข้าเรื่องดีกว่า  ผมมองย้อนกลับไปนี่ก็คิดนะว่าเออเรานี่มันบ้าหรือเปล่า เพี้ยนหรือเปล่า อันนี้มันคิดทุกครั้งที่มองย้อนกลับไป  

สอนคนอื่นมาก็มาก ทั้งดึง ทั้งชาร์ต สารพัดวิธีที่จะใช้เพื่อให้คนที่มาฝึกนั้นฝึกได้  ไปได้ สัมผัสได้  หลายคนไปได้แล้วก็ทิ้ง  บ้างก็ปล่อยปะละเลย  บ้างก็มุ่งมั่นเอาจริง  บ้างก็ด่าผม  นินทาลับหลัง  บ้างก็ชมเชย  ผมไม่สน ช่างแม่งมันตัวใครตัวมัน  เราก็ทำหน้าที่ของเราไป  ไม่เคยคิดเป็นบุญคุณอะไรกับใคร  แต่สิ่งนึงที่พวกเขาเหล่านั้นคิดไม่ได้คือถ้าทำอย่างผมไม่ได้ก็อย่าพูดมาก  พูดไปจะทำให้คนอื่นเขามองท่านว่าท่านเป็นคนที่ใช้ไม่ได้  ทำให้มาก  เอาจริงทำตามที่หลวงพ่อสอนมันก็ไม่ยากเกินไป  ครั้งสุดท้ายที่ผมสอนนี่น่าจะสอนคนใกล้ชิดละมั้งจำไม่ได้  การสอนทางไปแต่ละครั้งหากมองแล้วว่าสงเคราะห์ได้  ผมช่วยเต็มที่  ยอมตายใช้กำลังทั้งหมดที่มีพาไป  เมื่อไปเห็นแล้วก็ดีใจด้วยกับเขาทุกครั้ง  บางคนฝึกก็หลายครั้งไปไม่ได้พอช่วยก็ไปได้  พอไปได้ก็คิดว่าตัวเองแน่ตัวเองเก่ง  

อีแบบนี้นี่ยังเลว  เลวแบบไม่รู้ตัว  เห็นแล้วก็ปลงคงได้ไปนะนิพพาน  บางคนฝึกได้แล้วก็พาลูก เมีย ผัว พ่อ แม่ พี่ น้อง มาฝึกกันเป็นครอบครัวตัวอย่าง   ผมก็ช่วยหมดตามวาระ  ตามกำลัง  เวลานี้ก็คิดว่าพวกเขาจะยังจำวันที่ขึ้นไปสัมผัสพระนิพพานได้มั้ย  จำอารมณ์นั้นได้มั้ย  แต่ละคนดีอกดีใจ  เมื่อกลับลงมา  ผมก็ดีใจครับที่ผมเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ท่านเห็นทางกลับบ้าน  เห็นทางพ้นทุกข์  หลายคนที่มา  รักผม  หลายคนเคยรัก  หลายคนไม่ชอบ หลายคนเกลียด  แต่ผมก็เหมือนเดิม  มีความรู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องของเรา  ใครจะรักเราก็เป็นสิ่งที่ดี  ใครจะเกลียดเราก็เป็นเรื่องของเขา  ออมีนะที่ไม่ชอบแต่ตอนนี้รักผม  นี่แหละใจมนุษย์ยากหยั่งถึง    

เอ้าร่ายยาวไปไหนอีกล่ะเนี้ยเดี๋ยววัยรุ่นเซ็ง   วัยรุ่นนี่สอนง่าย วัยแก่นี่  มานะเยอะสอนยากแต่ก็สอนได้   บางทีก็สอนตัวเอง  บางทีท่านพ่อก็มาสอน  ก็เพราะเจอเทศน์มหาชาติมาเมื่อวันก่อนก็ต้องกระตุ้นเหล่าบริวารท่านพ่อ พระศรี เสียหน่อย  เร่งรัดการปฏิบัติ   มันหย่อนยาน  พลังกายแรงใจหาย   พระหาย เอางี้วันนี้จะเล่าเรื่องพ่อไก่โต้งให้อ่านก็แล้วกัน  ดีมั้ย  โต้งนี่ไม่เคยฝึก  ไม่รู้เรื่องรู้ราว  ไม่รู้อะไรเลย  แบบนี้ดีเลย  แต่เจ้านี่ติดเรื่องสงสัย  ถามนู้นถามนี่เยอะไปหมด  อยากจะรู้อยากจะเห็น  เออดีเดี๋ยวไม่ได้เห็นกันพอดี  อยากนี่ไม่เห็นแน่  

ช่วงเช้าผมก็เริ่มให้พ่อไก่โต้งกะบาสจับภาพพระกับคำภาวนาให้คล่อง   มาช่วงบ่ายแก่ๆ  ผมว่าสงสัยแบบนี้ท่าจะยากอยู่เป็นแน่  พี่แกสงสัยคิดไปคิดมาตลอดพอกะบาส  ไอ้นี่อ่านมากรู้มาก  ผมก็เริ่มให้จับภาพพระให้ทรงตัว  จากนั้นชาร์ทแบตรอบแรก  ไอ้รอบแรกนี่กะไม่ค่อยจะถูกแต่กระแสมันเข้าไปง่ายมาก  สรุปผมจัดไปสามรอบ อัดเต็มที่เข้าง่ายดีก็อัดจนเบา  ผมก็ถามตลอดว่าใจสบายมั้ย  เบามั้ย เพราะกลัวว่าจะแรงเกินไป  อัดมากไปก็ไม่ดี  มันไม่ง่วง  ใจเบาสบาย  ไม่หลับไม่นอน  พ่อไก่โต้งบอกใจมันว่าง  เบาๆว่าง เอ้าได้เรื่องละสิ  เดี๋ยวได้เบาลอยกันมั่งละทีนี้  จากนั้นผมก็ปล่อยไปตอนนั้นราวๆบ่าย4ได้  กะว่าคืนนี้จัดเต็ม  ผมให้น้องเตรียมแบรนด์ไว้  ซึ่งความจริงไม่ชอบกินเลย  เพื่อว่าไปดีๆไม่ได้ต้องดึงกันมั้งล่ะ

พอถึงเวลาก็สวดมนต์  สมาทานศีล  สมาทานพระกรรมฐานจัดพานครูเรียบร้อย  จากนั้นผมเปิดคำแนะนำให้ฟังครู่นึง  จากนั้นก็เริ่มเลยการนำไปที่ต่างๆนี่ผมไม่ขอเล่าก็แล้วกัน  โต้งนี่ไปได้ดีจริงๆครับส่วนบาสนี่ไปไม่ได้  เห็นแล้วบอกถูกต้องตรงตามความเป็นจริง  มีสิ่งนึงที่ทำให้ผมแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่  ตอนไปกราบท่านย่า  ท่านย่าเมตตาโน้มตัวลงมากอดแล้วลูบหลังอย่างเอ็นดู  ในขณะฝึกนั้นผมตามขึ้นไปด้วยตลอด ที่ตามไปด้วยก็เพื่อจะดูว่าเห็นอะไร  อยู่ตรงไหน  จากนั้นก็ขอพระท่านขึ้นไปพระนิพพาน  บางครั้งมืดบางครั้งสว่าง  ก็เป็นเรื่องปกติ ขอบารมีพระก็สว่าง  มองเห็นชัดเจนแจ่มใสดีมาก  ผมมีความรู้สึกว่าถ้าทุกท่านฝึกแล้วได้แบบนี้คงดีไม่น้อยมันไม่เหนื่อยผู้สอน  ผู้ฝึกก็มีความสุขหลังจากฝึกเสร็จก็เอาเลย

ตานี่สงสัยไปหมด ไปจริงมั้ย  คิดไปเองมั้ย  สารพัด แต่ดันตอบได้นี่สิ  ก็เลยต้องอธิบายความกันตามสมควร  โต้งนี่พอลงมาแล้วจิตยังวิ่งขึ้นวิ่งลงอยู่  ตรงนี้จิตเริ่มจับพระนิพพาน  ใจสบาย เบา แหมผมก็ยินดีและดีใจไปกับเขาที่ไปได้  จากนั้นก็แผ่เมตตา  การฝึกให้โต้งครั้งนี้เป็นการฝึกแบบจริงจังครั้งแรกในรอบหลายเดือน  ผมรู้สึกว่ากำลังจิตนี่มันมีพลังมากเหมือนไม่ค่อยได้ใช้   อย่างการชาร์ทแบตนี่กำลังมากขนบริเวณคอลุกชัน ไล่ลงมาที่แขน  ลงไปที่ศรีษะของคนที่ถูกชาร์ท  หรือการชาร์ทให้ทางโทรศัพท์ หรือสไกด์ นี่ก็มีกำลังที่ทำให้อีกฝากนึงรับรู้ถึงพลังงานนี้ได้  ผมจำไม่ได้ว่าครั้งสุดท้ายที่นั่งสมาธินี่เมื่อไหร่  ถึงจะไม่นั่งแต่การทรงอารมณ์นี่ผมทำทุกวัน  จับภาพพระทุกวัน พิจารณาองค์ท่านอย่างละเอียดถึงขอบของประกายพฤกมีเหลี่ยมมีมุมแพรวพราวอย่างไร  ย่อขยายจนชำนาญ รู้ลมหายใจตัวเอง  หลังๆหลายท่านในเฟซบุคก็มาฝึกให้ผมบ่อยขึ้น  ถามนู้นดูนี่  ทำนู้นนี่นั้น  มันก็ได้ใช้ได้ทบทวน  จะได้มีความแม่นยำในการใช้ญานต่างๆ  ผมจะเล่าให้อ่านว่าการฝึกของผมทำยังไงดีมั้ย  แต่อย่าทำตามล่ะมันบ้าๆเพี้ยนๆ

การใช้ญานของผมนี่ผมจะไม่คล่องการดูเหตุการณ์ปัจจุบัน  หรือปัจจุปันนังสญาณ  อันนี้ไม่คล่องก็ฝึกมากหน่อย  ส่วนที่คล่องๆก็จะมีทิพจักขุญาณ   อตีตังสญาณ  อนาคตังสญาณ  เจโตปริยญาณ   การฝึกนี่ผมจะฝึกตอนขับรถเวลาขับไปในเส้นทางที่เป็นถนนสวนเลนกัน  เวลาแซงทางโค้งบนเขา  หรือโค้งที่มองไม่เห็น  ผมจะกำหนดภาพพระแล้วถามใจตัวเองว่ามีรถมั้ย  หรือแซงได้มั้ย  คำตอบแรกมาปุ๊บผมกดคันเร่งแซงทันที  มันต้องไม่พลาด  พอมันห้ามพลาดมันก็ตั้งใจมาก  วางอารมณ์ให้ทรงตัว  ผมฝึกแบบนี้แทบทุกครั้งที่ขับรถ  มีเพียงครั้งเดียวที่ลังเล  คำตอบแรกมาแล้วไม่เชื่อ  คำตอบมาว่าอย่าแซงไอ้เราก็แซงไม่ได้จริงหรอ  คันหน้าเป็นรถพ่วง  ผมไม่มั่นใจเลยเบี่ยงออกไปดูนึดนึงแหมเอาซะจริงๆ  มีรถสวนมาด้วยความเร็ว  เล่นใจลงไปเที่ยวตาตุ่มเลยกู   เห็นมั้ยลังเลนิดเดียวมันพลาดได้เหมือนกัน  ก็ขอว่าอย่าได้พิเรนอย่างผม  ผมมันเพี้ยนๆบ้าๆ  ตายไม่กลัวแต่กลัวพิการ  บางทีก็กลัวในสิ่งที่คนอื่นเค้าไม่กลัว  ทำในสิ่งที่คนอื่นเค้าไม่ทำ   วันนี้ก็ขอจบเรื่องเล่าไว้แต่เพียงเท่านี้  โอกาสหน้ามีเรื่องอะไรก็จะมาเล่าสู่กันอ่าน  อ่านนี้อย่าอ่านเอาสนุก  เพลินนะ  หัดฝึกหัดทำไปด้วยจะมีประโยชน์มาก  หมั่นรักษากำลังใจไว้  ตั้งหมั้นไว้นะ….สวัสดี

เดี๋ยวมาต่อ

by admin admin ไม่มีความเห็น

ตอนที่ 45

ผีป่า

สวัสดีครับ วันนี้วันที่ 26 มีค 2556  ไม่ได้เล่าอะไรต่อมิอะไรมาตั้งนานก็เอาซะหน่อย  บางเรื่องที่เล่าในเฟซบุคก็ไม่ได้เอามาเล่าในนี้นะครับ ก็ขอย้อนกลับไปเสียหน่อยนะมันเชื่อมโยงกันกับเรื่องในเฟซบุคผู้ที่มาใหม่ก็จะได้รู้เรื่องรู้ราว  ก็ย้อนไปเมื่อ 15 มีค 56  เมื่อวานนี้ใช้ญานนานกว่า4ชั่วโมง สงเคราะห์ ป้า แม่ น้อง เพื่อนน้อง และสาวน้อยลูกสาวของเพื่อนน้อง เมื่อวานก่อนใช้ญานมีอารมณ์ใจหงุดหงิด แต่พอตั้งกำลังใจจับภาพพระจนถึงฌาน4 ใจสบาย อารมณ์ใจดีขึ้น หายจากอารมณ์หงุดหงิด จากนั้นก็ทรงไว้ที่อุปจารสมาธิ แล้วสงเคราะห์ มีท่านท้าวมหาราชมาหนึ่งท่าน ท่านต้องการให้สงเคราะห์คนของท่านคือป้าของผมให้เข้าใจพุทธศาสนา ป้าผมเป็นพุทธศาสนามาแต่เกิด จะทำอย่างไรให้เข้าถึงก็ต้องใช้ธรรมของสมเด็จท่าน ให้ตรงกับจริตป้า แต่ก่อนอื่นต้องทำให้ป้าเชื่อมั่นในตัวผมก่อน เมื่อก่อนแก่เห็นว่าเราเป็นอย่างไรวันนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อน แต่ก็ยังเลวอยู่ ก็ใช้ญานดูแล้วทัก จนแกเชื่อมั่นว่าเราทำได้จริง จากนั้นก็ป้อนธรรมะให้จนทำให้แกคิดจะเริ่มปฏิบัติพระกรรมฐาน จากนั้นก็จัดเต็มให้เพื่อนน้อง แต่เพื่อนน้องนี่ยังเข้ามาปฏิบัติยาก ปัญหาทางโลกเยอะ คงต้องป้อนเรื่อยๆ บางทีบางครั้งการที่เราใช้สิ่งที่เราฝึกปฏิบัติมามันก็สามารถสร้างกำลังใจให้ผู้อื่นได้ไม่มากก็น้อยแต่ก็ดีกว่าไม่ได้อะไรเลย

ไฮไลท์จากการใช้ญานวันก่อนอยู่ที่น้องข้าวหอม ข้าวหอมนี่เป็นลูกสาวเพื่อนน้อง แรกๆผมไม่ได้สนใจ ที่ไม่สนใจก็เพราะไม่ค่อยชอบเด็กซักเท่าไหร่ ชอบตอนเริ่มสาวมากกว่า เอ้าว่าไปนั่น ข้าวหอมเดินขึ้นเดินลงบันไดอยู่หลายครั้งจนเราก็คิดว่าดีละที่กูไม่มีลูก ปวดหัวตาย ระหว่างนั้นนั่งคุยกับป้าแดงอยู่เรื่องที่ป้าแกฝันเรื่องนี้บ่อย แกบอกว่าฝันว่าไปที่ๆหนึงยอดแหลมๆสูงๆ เวลานี้ภาพปรากฏขึ้นผมรู้ทันทีว่านั่นคือเวชยันตวิมาน ไม่เอาดีกว่าปล่อยผ่านไป เอาเรื่องเด็กดีกว่า ระหว่างที่คุยกับป้าแล้วข้าวหอมเดินลงบันไดมา ภาพปรากฏเป็นนางฟ้าสวยงามมาก แหมชักสนละเห็นว่าสวยเลยสน ก็ดูต่อ เธอสวมชฏาสวยมากสีทองอร่ามกำลังเดินลงไปเล่นน้ำแต่เดินไปนี่รำไปด้วยกึ่งเดินกึ่งกระโดดกึ่งรำ เออเอากะมัน เธอดูเพลิดเพลินจนทำให้ผมหันกลับไปมองข้าวหอมที่เดินลงบันไดมาจากข้างบน ผมถามพ่อเธอว่าเธอชื่ออะไร จากนั้นผมเรียกเธอโดยมองไปในลูกตาเธอแล้วคุยกับเธอ

ผม: ข้าวหอมเรารู้จักกันมั้ย 

ข้าวหอม: หันมามองแล้วพยักหน้าบอกรู้จัก

ผม: เราเคยเจอกันที่ไหน

ข้าวหอม: บนนู้น 

ผม: ข้างบน แล้วหนูจำท่านย่าได้มั้ยลูก

ข้าวหอม: จำได้

แหมคุยกะเด็กก็สนุกเหมือนกันแฮะความจริงคุยเยอะกว่านี้แต่ก็ไม่มีอะไรสำคัญ  คุยอยู่พักนึงก็บอกทุกคนว่าเออเด็กคนนี้มองเห็นผีนะ เท่านั้นแหละครับขนลุกกันหมด ที่ขนลุกกันหมดก็เพราะเพิ่งจะเห็นผีเมื่อวันก่อนที่โรงแรมในเชียงใหม่เล่นเอาพ่อแม่มันและน้องผมหลอนกันไป เพราะคุณเธอเล่นชี้ไปที่หน้าห้องบอกผีๆใส่เสื้อสีแดงยื่นอยู่ตรงนั้น เออเห็นมั้ยบอกแล้วว่าเด็กคนนี้เห็นผีได้ ยังไม่จบผมทักต่ออีกว่าแล้วชอบจริงๆนะรำเนี้ย เวลารำจะรำไม่หยุด เท่านั้นแหละแม่ของน้องข้าวหอมเริ่มสนใจตัวผมขึ้นทันที แม่เธอบอกว่าลูกชอบมากรำเนี้ยชอบจริงๆ ผมใส่ต่อว่ายิ่งลิเกนี่ชอบใหญ่ แม่เธอหัวเราะชอบใจบอกว่าข้าวหอมชอบดูลิเกมากพากลับไม่ยอมกลับร้องจะเป็นจะตาย ทีนี้แม่เธอชักงงว่าผมรู้ได้ยังไง ผมเลยเล่าอดีตชาติข้าวหอมให้แม่เธอฟัง ว่า เด็กคนนี้เคยเป็นนายของแม่เธอและพ่อเธอมาก่อน สมัยนู้นนน ส่วนพ่อน่ะเป็นทหาร แม่เป็นนางสนองพระโอษฐ์ ลูกเป็นธิดากษัตริย์ ผมหันไปถามแม่ว่าเคยไปสุโขทัยมั้ย เธอบอกยัง ผมหันไปถามพ่อเธอว่าอยากไปมากมั้ยสุโขทัยน่ะ พ่อเธอบอกว่านี่ก่อนลงจากเชียงใหม่ก็จะแวะแต่น้องผมรีบเลยไม่ได้แวะ อยากไปมาก แล้วถามว่าผมรู้ได้ยังไงว่าเขาอยากไป

ผมก็ขำครับแล้วก็เล่าอดีตและความเกี่ยวเนื่องกับเมืองสุโขทัยให้ฟังยาว อันนี้ก็เป็นเรื่องของอดีต พ่อเธอเริ่มถามอนาคต ผมก็ดูให้ทุกอย่างที่อยากรู้ ความจริงไม่ค่อยจะดูหรอกครับแต่พักหลังๆมานี่ไม่ค่อยได้ใช้นาน เพราะไม่ค่อยได้คุยกับใครแล้วไม่ได้ดูให้ใคร เลยเอาวะกูมีคนมาให้ลองฝึกหลายคนก็เอาซะหน่อย ดูซิว่าเราคล่องขึ้นหรือแย่ลง ดูไปดูมาเลยให้ผมไปสวมจิตผู้ชายคนนึงเพราะต้องการจะรู้ว่า คนๆนี้คิดอะไรยังไงตอนนี้ ผมก็บ้าๆเอาวะ ปกติชอบสวมผู้หญิง เพราะจะบันเทิงกว่า นี่สวมผู้ชาย ก็เลยไป ผมบอกลักษณะนิสัยก่อนจากนั้น ค้นดูแล้วก็เล่าให้ฟัง ทุกคนอึ้งครับ บอกว่าผมพูดตรงตามความเป็นจริงมาก จากนั้นให้ดูหมอดูประจำตัวของผู้ชายคนนี้ซึ่งผมไม่เคยรู้จัก   ผมบอกรูปร่างลักษณะและทรงผมได้ถูกต้อง อันนี้ไม่ได้อวดว่าผมเก่งหรือแม่นนะ เพียงแต่เล่าให้อ่านเพื่อเป็นกำลังใจในการฝึกของทุกท่าน ท่านทำอย่างผมได้แต่ต้องเอาจริงเหมือนผม   ดูไปดูว่าเพื่อนน้องเลยชวนผมไปงานตั้งศาลพระพรหม กับศาลเจ้าที่ วันเสาร์นี้ ผมก็เออไปก็ได้ จะให้ผมไปเชิญพรหมลงมาอยู่บ้านใหม่ ไอ้เราก็อ่อนใจเลยเล่าให้ฟังยาวเลยเรื่องวิมานของพรหมข้างบน จริงๆท่านไม่มาอยู่หรอกแหม วิมานออกจะใหญ่จะให้มาอยู่บ้านปูนหลังเล็ก มีม้า ช้าง นางรำ ก็รวมความให้ฟังว่า มันก็คือเทวตานุสตินั่นแหละ แต่ก็จะมีเทวดารักษาเขตท่านดูแล

นี่เป็นเรื่องราวก่อนเหตุที่จะเล่าให้อ่าน ออพ่อของข้าวหอมนี่มีชื่อว่าโต้งนะครับ โต้งนี่เป็นหุ้นส่วนน้องชายผมและมีโชคอีกคน  สองคนนี้ในอดีตเป็นนักรบมาก่อน ไม่ธรรมดา  ผมมีโอกาสส่องดูอดีตและความเกี่ยวเนื่องกันมาบ้างพอสมควร  เมื่อวันที่ 22 มีค ที่ผ่านมาช่วงเช้าผมต้องไปดูงานที่โรงพยาบาลแถวสีลม ระหว่างขับรถอยู่บนทางด่วน วามก็มานั่งข้างผม วามนี่เป็นใครมาจากไหนท่านก็ย้อนไปอ่านเอาก็แล้วกัน  วามมาบอกว่า 

วาม:พี่บอลวามใกล้จะได้เวลาๆปแล้วครับ

ผม:แล้วนี่จะมาเกิดเป็นลูกบาสมั้ย

วาม:หัวเราะ วามจะมาเกิดเป็นผู้ชายน่ะ ไว้จะไปจัดเต็มกับลูกสาวบาส

ผม:อ้าวนี่ลูกบาสจะเป็นผู้หญิงหรอแล้วนี่จะมาเมื่อไหร่ล่ะ

วาม:ช่วงสงกรานต์ครับ

ผม:เดี๋ยวพี่บอกบาสให้แล้วจะทำบุญใหญ่ไปให้

วาม:วามก็ไปหาบาสบ่อยแต่คุยกันไม่ได้มันหลับไม่รู้เรื่อง

ผม:ไว้พี่จะบอกให้นะ

วาม:วามไปละพี่บอล

พอวามไปผมหยิบโทรศัพท์โทรหาบาส 

ผม:บาสเมื่อกี้วามมาหาพี่

บาส:ขนลุกเลยพี่บอลเมื่อกี้เพิ่งพูดถึงพี่วามก่อนพี่บอลโทรมาเนี้ยกำลังคิดถึงเลย

ผม:วามมาบอกว่าจะไปแล้ว

บาส:ไปเกิดหรอ

ผม:ใช่ยังไงทำบุญให้มันหน่อยนะ

บาส:ครับ

หลังจากนั้นพักใหญ่บาสมันก็โทรมาชวนให้ไปหาที่วังน้ำเขียว ผมเลยถามว่าอยากเจอวามมั้ย  เดี๋ยวจัดเต็มให้  แหมมีรึจะพลาด  บาสนี่อยากเจอจัด  ผมมีข้อแม้ว่าศีลต้องได้นะ  อย่ากินเหล้า  มันก็รับปาก  เอ้าไปก็ไป ช่วงเย็นผมก็เดินทางไป   ระหว่างทางไปรถผมดันความร้อนขึ้น  ตอนนั้นอยู่แถวปราจีนบุรีผมก็แวะปั๊มดูก็หนักใจ  งานนี้กูกินข้าวลิงแถวนี้แน่ แหมนะเอาไงดีว่าแล้วก็วางใจเบาๆเข้าฌาน4  แล้วมาทรงไว้ที่อุปจารสมาธิ  ผมก็เรียกหาเจ้าเก่า ท่านจันทรเทวา  เอ้าไม่มา เอาไงล่ะเนี้ย ทีนี้ชักใจไม่ดี เวลานั้นราวๆทุ่มนึงได้  ก็เอาใหม่ท่านจันทรไม่มาก็ท่านไหนดีล่ะ เออแล้วเทวดาจะช่วยได้หรอวะไอ้ความร้อนขึ้นเนี้ย  ลองละกันผมกำหนดเชิญเทวดารักษาเขตแถวๆนั้นมา ก็มีมาองค์นึง ผมก็ขอท่านช่วยหน่อย  ท่านถามว่าจะให้ท่านตามช่างรึ  นั่นเอาแล้วองค์นี่หนินะ  ผมก็บอกท่านว่าผมจะไปวังน้ำเขียวแต่พอดีรถเสียความร้อนขึ้นเกือบสุดเกย์ครับ  ท่านก็พยักหน้ารับ  ผมก็ขับต่อเลย แปลกครับความร้อนมันกลับมาอยู่ตรงกลางไม่ฮีท  แปลกมากครับแรกๆผมก็ขับช้าๆประคองรถไปขับๆไปเออแปลกจริงความร้อนมันไม่ขึ้น  ทีนี้เหยียบกระจายซัดไม่มีต่ำกว่าร้อยหก  แน่ะดูซิเทวดาจะเก่งจริงมั้ย  คิดแค่นี้เองพักเดียวท่านมาเลย อีตอนนี้เริ่มคิดได้ว่าเรานี่มันเลวจริงๆท่านช่วยยังจะเยอะอีกกู  ก็เลยคุยกะท่านซะเลย  ท่านก็บอกว่าท่านมีชื่อว่าท้าวหิงสา คราวก่อนท่านเคยช่วยผมไว้วาระนึงแล้ว  ตอนนั้นผมหลับในเป็นครั้งแรกในชีวิต  เมื่อปี54 ผมมาเที่ยววังน้ำเขียว  ดูคอนเสิร์ตยาวจนตีสี่กว่าได้  ก็ขับรถกลับที่พักดันหลับซะหนิ ได้ยินเสียงคนเรียกเลยตื่น แหมไม่ตื่นละต้นไม้ข้างหน้าชัวร์   แหมอีตอนนั้นก็ไม่เห็นหรอกว่าใครช่วยรู้แต่ว่าโชคดีมาก  มารู้ก็นี่แหละเจอละ  คุยกับท่านพักนึงท่านก็ไปครับ  ผมขับมายันถึงวังน้ำเขียวเจอน้องจอดรออยู่ริมถนน  อีตอนนี้ความร้อนขึ้นไปสุดเกย์อีกละ  ดูสิบอกท่านว่าเอาให้ถึงมันยังไม่ถึงที่พักซะหน่อย  เกือบไม่รอด  ผมก็ขับมันทั้งอย่างงั้นเลยจนถึงที่พัก  

มาถึงราว2ทุ่มเศษแหมทั้งเจ้าบาสเจ้าโต้งพร้อมใจไม่กินเบียร์กันแต่วันนี้ผมก็ได้แนะนำเบื้องต้นให้บ้าง  ราวๆ5ทุ่ม โชค หุ้นส่วนของน้องอีกคนมาถึง  ก็เลยนั่งคุยกันยาว  ช่วงที่นั่งคุยนี่นั่งนอกบ้าน  ผมเห็นเทวดาผู้ชายมายืนมองอยู่ก็เลยแผ่เมตตาให้  ผมก็เล่าต่อว่านี่ไม่รู้พ่อคุณเค้าจะมาหลอกหรือเปล่า  ผมก็เริ่มเล่าให้คนอื่นฟังด้วย  เท่านั้นแหละบาสบอกพี่บอลวันก่อนข้าวหอมชี้มาตรงนี้แล้วบอกผีๆๆ  เล่นเอาหลอนกันไป  ผมบอกไม่ใช่ผีหรอกท่านเป็นเทวดา  ซักพักเดียวมีเสียงคล้ายนกหรืออะไรบางอย่างร้องกันระงมดังไปทั่วบริเวณ  ผมเห็นท่าไม่ดีเลยเดินเข้าไปหยิบมีดหมออาราธนาบารมีพระ หลวงพ่อและท้าวมหาราช  พอเดินออกมาจากบ้านเสียงเงียบกริบทันที  อีตอนแรกนี่น้องไม่เชื่อครับคิดว่าบังเอิญเดี๋ยวนกมันก็ร้องอีก  ผมก็แปลกใจพอกัน เออมันเงียบจริงๆว่ะ แปลกดีครับเงียบทันทีที่ผมเดินออกมาจากบ้าน  แต่มีดหมอนี่ผมใส่กระเป๋าไว้นะยังไม่ได้หยิบออกมา  เวลานั้นเห็นเทวดาท่านมา 2องค์ ถ้าเห็นไม่ผิดนะท่านยืนอยู่ด้วยกันมองมาทางผม  ไอ้ผมก็เล่นตัวเสียหนิไม่สนใจจะคุยกะเทวดา  แหมนะเชิญท้าวมหาราชท่านไม่มาท่านคงไม่ว่างเลยส่งบริวารมาแทนละมั้ง  แค่ท่านมายืนผีนี่กระเจิงหายเรียบ  ผมกลับมานั่งคุยต่อตอนนี้ทุกคนสงสัยว่าทำไมเงียบจัง  ด้วยความที่ผมสงสัยต้องการจะรู้ล่ะนะว่ามันเสียงอะไรเลยเข้าไปที่อุปจารสมาธิ  แล้วดู  ภาพที่ปรากฏนี่มันเป็นตัวอะไรบางอย่างคล้ายลิงแต่ตัวใหญ่กว่าดูไปดูมาก็คล้ายคน เออชักสับสนเอาเป็นว่าลูกครึ่งคนปนลิงก็แล้วกันตาโปนแดง  ไม่เดินนะมันกระโดดย้องแย้งๆ ไปรอบๆบริเวณ  อันนี้ใช้ญานถอยกลับไปดูนะ  พอรู้แล้วก็เออช่างมันแต่กูขอเอามีดหมอออกจากกระเป๋ามาวางบนโต๊ะก็แล้วกัน

ก็คุยกันต่อครับช่วงนี้ผมก็เล่าอดีตชาติของแต่ละคนให้ฟังและกรรมดีกรรมไม่ดีต่างๆของแต่ละคนที่ทำให้ต้องมาพบเจอกันและทำงานร่วมกันในปัจจุบัน  คุยได้พักเดียวมีความรู้สึกว่าไอ้ตัวนั้นน่ะมันมายืนอยู่ข้างหลังบาสที่นั่งอยู่ข้างๆผม  ไอ้ตัวนี่มันทำท่าทางเหมือนจะกระโจนเข้าข้างหลังครับ  เวลานี้น้องผมสัมผัสได้ ผมหันไปถาม

ผม:รู้สึกอะไรมั้ย

บาส:รู้สึกๆเย็นวาบๆที่หลังและขนหัวลุก

ผม:นั่นแหละมันมายืนอยู่ข้างหลัง

บาส:รู้สึกเย็นขนหัวลุก

ผม:มันทำท่าเหมือนจะโดดเข้าใส่จากข้างหลัง

บาส:ตอนนี้มันอยู่ตรงไหน

ผม:มันวิ่งไปรอบๆที่เรานั่ง

เวลานี้บาสมันก็หยิบมีดหมอไปถือไว้ครับ  เทวดาท่านยังยืนอยู่ ผมคงต้องสนใจท่านแล้วสินะ  ผมก็ถามท่านครับว่าไอ้ตัวนั้นมันตัวอะไร ท่านบอกว่ามันเป็นผีที่อยู่ในป่าบริเวณนี้แหละ ผมยังสงสัยครับว่าทำไมมันมีลักษณะอย่างนั้น ยังไม่ทันได้ถามต่อ ท่านบอกต่อว่าตอนที่ผมแผ่เมตตาให้เทวดากับบริวารบริเวณนั้นน่ะมันเกิดแสงสว่างสีขาวนวลสว่างไปทั่วบริเวณ  พวกผีป่า วิญญาณแถวนั้นมันก็วิ่่งเข้าหาต้นตอ  นั่นไงผมไม่แปลกใจละแผ่เมตตาทีไรแห่มาเพียบทุกที  ทีนี้ผมเอาอีกครับแผ่ให้ผีพวกนั้นอีกรอบคิดว่าผมรักผีพวกนั้นเท่ากับผมรักตัวผมเองแล้วขอบารมีพระและหลวงพ่อแผ่ไปเต็มกำลัง  ก็ไม่รู้ว่ามันรับได้กันมั้ยอันนี้ก็เป็นเรื่องของพวกมัน  แต่วันรุ่งขึ้นนี่ไม่มีใครมา เงียบกริบ  คนที่อยู่ในเหตุการณ์ก็งงๆกันไม่เชื่อก็ต้องเชื่อแล้วสินะ  ก็รวมความว่าผีป่า สัตว์ป่า หรือสัมภเวสีพวกนี้นี่เราควรใช้ความเมตตาให้มาก  โอกาสที่จะเปลี่ยนภพภูมินี่น่าหนักใจ กว่ามันจะได้เป็นมนุษย์หนักพอตัว กว่าจะเข้าวัดทำบุญก็อีกแสนนาน  ต่างกับเราผู้เข้าถึงไตรสรณคม เมื่อเราเข้าถึงแล้วทำตนให้เป็นผู้มีสติครองตนให้สมกับการเกิดเป็นมนุษย์  บุญใครอยากได้ต้องทำเองทำแทนกันไม่ได้  แต่โมทนาได้  น้อมจิตร่วมยินดีกับบุญที่ผู้อื่นทำอานิสงก็เหมือนเราทำเองนะ  ตั้งใจเริ่มต้นใหม่ได้ทุกวันครับ  ชีวิตเราเกิดมาไม่มีใครดีร้อยเปอร์เซนต์  หรือเลวร้อยเปอร์เซนต์  มองดูตัวเองว่าเรายังเลวเรื่องไหนก็แก้ไขเสียทีละเล็กละน้อยค่อยๆทำไป  ผมนี่ก็ยังเลวอยู่มากแต่ก็ค่อยๆแก้ไขให้เลวน้อยลง  ยกตัวอย่างได้หลายๆคนที่เข้ามาฝึกมโนมยิทธิ  หลายคนเลวน้อยลงไปมาก  ผมมองได้จากคนที่ผมฝึกมโนมยิทธิให้  นี่ล่าสุดหลังจากไม่ได้สอนใครมานานกว่า10เดือนจนมาสอนพ่อโต้ง พ่อของข้าวหอม หุ้นส่วนน้องชายผม  ไว้จะมาเล่าในโอกาสต่อไป  วันนี้ก็ขอจบเรื่องเล่าไว้แต่เพียงเท่านี้…สวัสดี

by admin admin ไม่มีความเห็น

ทำกรรมฐานให้จิตนิ่ง โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

ผู้ถาม : ฝึกกรรมฐานทำอย่างไรให้จิตนิ่ง จิตนิ่งแล้วผมควรปฏิบัติอย่างไรต่อครับ ?

หลวงพ่อ : ฝึกกรรมฐานต้องการให้จิตนิ่งคือเราเป็นรูปปั้นเสีย ถ้าไม่ปั้นไม่หล่อจิตมันไม่นิ่ง(หัวเราะ)

พระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพุทธกิจ

พระพุทธเจ้าเมื่อทรงพระชนม์อยู่ก็ไม่นิ่ง เวลาตอนเช้ามืด ตรวจดูอุปนิสัยของสัตว์ ว่าใครจะบรรลุมรรคผลบ้าง ก็ต้องคิดใช่ใหมเวลาสว่างขึ้นมาก็บิณฑบาต เวลาตอนสายขึ้นมาก็ฉันข้าว ฉันเสร็จก็เทศน์ จิตก็ไม่นิ่ง แล้วก็ตอนหัวค่ำ ตอบปัญหาเทวดาชั้นกามาวจรสวรรค์ สองยามไปแล้วก็ตอบปัญหากับพรหม ท่านก็ไม่นิ่ง ถ้าต้องการให้จิตนิ่งจริงๆ ก็ใช้สติ๊กนินนะเป็นกรรมฐานกองที่ ๔๑ 

ไอ่คำว่า “จิตนิ่ง” นี่มันไม่มี อย่าลืมนะ จิตของปุถุชน คนที่ทรงฌานจิตเข้าถึงฌาน ๔ ก็ไม่นิ่ง อารมณ์มันทรงตัว 

คำว่า “อารมณ์เป็นเอกัคคตารมณ์” นี่มันไม่นิ่งนะ มันจับอารมณ์อย่างเดียว เป็นพระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ ก็ไม่นิ่ง เพราะจิตมันอิ่มด้านกุศลอย่างเดียว เป็นพระพุทธเจ้าก็ไม่นิ่ง จิตอยู่ในมหากรุณาธิคุณ

คำว่า “นิ่ง” หมายความว่า จิตนิ่งจากอกุศล คือไม่คิดชั่ว คิดดีอย่างเดียว เข้าใจไหม นิ่งจากอกุศล คือไม่นิ่งในเรื่องของกุศล.

ที่มา : นิตยสารธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ ๓๑๐ ประจำเดือน มกราคม ๒๕๕๐ หน้าที่ ๗๙ – ๘๐. ถอดความโดย ศรีโคมคำ.

by admin admin ไม่มีความเห็น

หลวงพ่อพาโยมพ่อและโยมแม่ในชาติปัจจุบันไปพระนิพพาน

“..วันอังคารที่ ๒๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๒๐ อาตมานั่งทำจิตสบายสักประเดี๋ยว อารมณ์ก็เป็นสุขคิดว่า ไอ้เกิด ไอ้แก่ ไอ้ตาย มันไม่มีความหมาย เกิดก็แค่นั้น แก่ก็แค่นั้น ตายก็แค่นั้น มันจะตายก็ตาย มันจะอยู่ก็อยู่ ไม่เห็นมีอะไร สักครู่เดียวโยมพ่อในชาติปัจจุบันท่านมา เดิมมาถึงก็พูดว่า “ไง คุณสบายดีหรือ” ตอบท่านว่า “สบายดี โยมเป็นสุขหรือเป็นทุกข์” ท่านก็ตอบว่า “ฉันสุขมาก” ถามว่า “สุขมากสุขอย่างไร ทำไมถึงสุข เมื่อโยมมีชีวิตอยู่ โยมทำแต่ความดีอย่างเดียวหรืออย่างไร ถึงได้สุข” ท่านก็เลยถามว่า “ท่านองคุลีมาล ทำความดีอย่างเดียวหรืออย่างไรถึงไปพระนิพพานได้” หมายความว่าท่านองคุลีมาลน่ะ ร้ายกาจกว่าท่านมาก ทำกรรมที่เป็นอกุศลมากกว่าท่านมาก ท่านยังไปพระนิพพานได้ ทำไมท่านจะเป็นสุขไม่ได้ ถามท่านว่า “โยมไปพระนิพพานนานแล้วหรือ” ท่านตอบว่า “ยัง ท่านอยู่ชั้นยามา” ท่านมาในรูปเดิมตอนแรก แต่พอบอกเป็นสุขอยู่ชั้นยามาเท่านั้น รูปเดิมหายไป ตอนนี้สวยเช้งวับเลย ท่านมีเครื่องประดับขาวทั้งชุด ซึ่งเป็นสีของเครื่องประดับชั้นยามา

โยมพ่อท่าน พุทโธ เป็นปกติ ก่อนจะตายท่านห่มสไบเฉียงกราบบูชาพระแบบสบาย ท่านเรียกอาตมาแล้วพูดว่า “นิมนต์คุณมานี่หน่อย” พอเข้าไปท่านก็ยกมือขอขมา จึงถามท่านว่า“โยมขอขมาอะไร” ท่านก็ตอบว่า “ฉันขอขมาพระรัตนตรัย” ท่านชี้มือไปที่พระพุทธรูปแล้วบอกว่า “นั่นพระพุทธ คุณมานั่งเป็นพระสงฆ์เป็นพยานให้ครบหน่อย” จึงถามว่า “พระธรรมอยู่ที่ไหน” ท่านตอบว่า “คุณเป็นพระสงฆ์ต้องมีพระธรรม จึงจะเป็นพระสงฆ์ ฉันมีไตรสรณคมณ์ครบ” แล้วท่านก็ขอขมาพระรัตนตรัย พอเสร็จท่านก็บอกว่า “เสร็จกิจแล้ว” คำว่า “เสร็จกิจ” ของท่านหมายความว่าหมดธุระของท่านแล้ว หลังจากนั้นท่านก็นั่งพิงฝาพนมมือ เวลานั้นเป็นเวลาสักบ่าย ๓ โมง มองดูเห็นท่านนั่งสบายๆ จึงไม่กวนใจอะไรท่าน สักประเดี๋ยวกลับมาดูโยมก็ยังไม่เลิกนั่ง จึงบอกคนอื่นว่าอย่าทำเสียงดังเพราะโยมกำลังนั่งภาวนาอยู่ จนกระทั่งเย็นถึงเวลากินข้าว พี่สาวอาตมาขึ้นไปจะบอกให้ไปกินข้าว พอไปดูที่ไหนได้เข้าฌานเลย ๔ ไปหน่อยเพราะฌาน ๔ นี่ไม่ปรากฏลมหายใจ จึงมาดูเห็นโยมพ่อเข้าฌานละเอียดมาก พอเหลียวไปเห็นท่านไปยืนอยู่ข้างหน้าเลยบอกพี่สาวว่า “โยมเข้าฌานละเอียดมากไปหน่อยแล้ว ไม่ต้องเรียกกินข้าวเพราะท่านไม่กินแล้ว” โยมพ่อท่านบอกว่า “ก่อนจะตายตัวท่านชา” อาตมาถามว่า “การสืบต่อกุศลของท่านไปถึงไหนแล้ว” ท่านตอบว่า “การต่อกุศลข้างบน เวลานี้เป็นพระอนาคามีแล้ว”

เมื่อโยมพ่อพูดจบแล้ว โยมแม่ในชาติปัจจุบันก็เข้ามาหาอาตมาบอกว่า “โยมเป็นสุข” อาตมาถามว่า “โยมเป็นสุขเพราะอาศัยอะไรเป็นปัจจัย” ท่านก็ตอบว่า “คุณจำได้ไหมเวลาก่อนที่ฉันจะตาย ฉันทำอย่างไร” ก็เลยจำได้ว่า “โยมนั่งตาย” ก็เห็นท่านเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นยามาเหมือนโยมพ่อ

อาตมาพาโยมพ่อและโยมแม่ในชาติปัจจุบันไปพระนิพพาน

วันที่ ๑๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๕ วันนี้อาตมาป่วยมาก หลังจากไปสั่งงานให้นายช่างทำมณฑปพระยืน ๘ ศอก เสร็จแล้วก็กลับมานอนพัก รู้สึกว่างงมากและเหนื่อยมาก มีความรู้สึกตามความเป็นจริงว่าร่างกายนี้คงจะทรงตัวได้ไม่นาน อาจจะตายภายในไม่ช้านี้ก็ได้ จึงได้รวบรวมกำลังใจขึ้นไปเฝ้าองค์สมเด็จพระจอมไตรคือพระพุทธเจ้าที่วิมานบนพระนิพพาน คำว่า นิพพาน นี้ใครจะว่าสูญก็เป็นเรื่องของท่าน แต่อาตมามีความรู้สึกว่าไม่สูญ ความจริงเรื่องของพระพุทธศาสนา ถ้าเราจะอ่านกันแต่เพียงหนังสืออย่างเดียว ก็คงไม่เข้าถึงพระพุทธศาสนาแน่นอนนัก เพราะความเห็นของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ทางที่ดีก็ควรจะค้นคว้าด้วยวิธีปฏิบัติ แนวปฏิบัติมี ๔ อย่างคือ

๑) สุขวิปัสโก 
๒) เตวิชโช
๓) ฉฬภิญโญ
๔) ปฏิสัมภิทัปปัตโต

ถ้าเราทำได้ครบทุกอย่าง ก็จะไม่สงสัยในพระพุทธศาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่ออาตมาไปถึงพระนิพพานแล้ว ก็ไปนั่งที่ที่เคยนั่ง สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ประทับอยู่หลายองค์ ไปถึงก็กราบนมัสการท่าน ท่านก็ตรัสว่า “คุณ เทวดา นางฟ้า พรหม เขาคอยอยู่ที่เทวสภาเต็มหมด ทำไมไม่ไปแวะที่นั่นก่อน กลับไปที่เทวสภาก่อน” จึงได้กราบท่านแล้วมาที่เทวสภา พอมาถึงก็เห็นท่านผู้มีพระคุณคือ บิดามารดาเดิม ครูบาอาจารย์ ท่านย่า ท่านปู่ใหญ่ ท่านผู้มีคุณทั้งหลายรวมทั้งในชาติปัจจุบัน ก็ถือว่า เทวดา นางฟ้า พรหมทั้งหมด เป็นผู้มีคุณทั้งหมด เพราะว่างานทุกอย่างทุกประเภทท่านช่วย ที่ทำสำเร็จขึ้นมาได้ก็เพราะพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ พรหม เทวดา นางฟ้า และท่านย่ากรุณาส่งลูกแก้วให้ แก้วจักรพรรดิพิมานหรือแก้วเพชรจักรพรรดิก็ตาม ตามใจจะเรียก องค์นี้หลวงปู่ชุ่มให้ไว้ก่อน

ต่อมาท่านย่านำองค์เล็กมาให้บอกว่า เป็นองค์น้อง มีไว้ ๒ องค์ งานทุกอย่างจะสำเร็จหมดตามประสงค์ เมื่อกราบขอบคุณท่านเสร็จ อาตมาก็บอกว่า “ต่อนี้ไปอาตมาจะไปพระนิพพาน มีท่านผู้ใดบ้างจะไปพระนิพพานกับอาตมา เชิญไปได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิมานหลังใหญ่ที่พระพุทธเจ้าท่านอนุญาตให้ทุกท่านไปพักได้ทุกเวลา โดยไม่ต้องมีอาตมานำไป บริเวณทั้งหมดกว้างใหญ่ไพศาลา เดินเล่นตามสบาย หลังจากนั้นต่างองค์ต่างมีวิมานบนพระนิพพานอยู่แล้ว ทุกท่านจะไปวิมานของท่านก็ได้ หรือจะไปเที่ยววิมานของอาตมาก็ได้”

เมื่อพูดจบอาตมาก็ลุกจากที่ เทวดา นางฟ้า พรหมทั้งหมดก็ตามมา พอมาถึงอาตมาก็นั่งที่เดิมนมัสการพระพุทธเจ้า เทวดา นางฟ้า พรหมทั้งหมดก็นั่งที่วิมานหลังใหญ่ สำหรับวิมานหลังที่อาตมานั่งก็มีญาติผู้ใหญ่ใกล้ชิดนั่งอยู่เต็ม พอดีหันไปทางขวาพบโยมพ่อในชาติปัจจุบันท่านนั่งอยู่ด้านขวา จึงถามท่านว่า “โยมขึ้นมาบนสวรรค์ได้อย่างไร ในเมื่อโยมมีบาปมากเพราะอาศัยความรักลูกเป็นห่วงลูก เกรงว่าลูกจะอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งศีล ๔ ข้อโยมครบถ้วน แต่ศีลข้อที่ ๑ คือ ปาณาติบาต โยมจับสัตว์คือปลามาให้ลูกกิน มันก็บาป แล้วโยมทำไมจึงมาสวรรค์ได้” โยมก็ตอบว่า“ขณะที่ผมหนุ่มๆ ผมทำอย่างนั้นจริง และไม่ค่อยได้เข้าวัด แต่การปฏิบัติในศีลในธรรมทุกอย่างครบถ้วน เว้นไว้แต่ปาณาติบาต เหล้าก็ไม่กิน ฝิ่นก็ไม่สูบ บุหรี่ก็ไม่สูบ ทุกอย่างครบถ้วน แต่ทว่าตอนแก่ตัว คุณอยู่ที่วัดบางนมโคก็ดี อยู่ที่กรุงเทพฯก็ดี ผมมีความเป็นห่วงคุณเป็นอันมาก ทุกวันทุกคืนนึกถึงแต่คุณองค์เดียวว่า อยู่ไกลจากพี่จากน้องจะมีความลำบาก นึกถึงอย่างนี้จนกระทั่งถึงป่วย ยิ่งเวลาป่วยยิ่งนึกถึงมากขึ้น เพราะอาศัยนึกถึงคุณเป็นอารมณ์อย่างนี้อย่างเดียวโดยเฉพาะ อย่างนี้เรียกว่าเป็น สังฆานุสติ” คือนึกถึงพระสงฆ์เป็นอารมณ์ พอตายจากความเป็นคนโยมก็ขึ้นไปเกิดเป็นเทวดาชั้นยามา” ตามปกติสมัยเป็นมนุษย์โยมก็ชอบบูชาพระ สวดมนต์อยู่เสมอ ถึงวัดจะไม่ค่อยได้ไปก็ไม่เป็นไรแต่ทำที่บ้าน จึงถามว่า “วิมานของโยมบนพระนิพพานมีแล้วหรือยัง”โยมก็ตอบว่า “มี” และชี้มือไปทางด้านขวาบอกว่า “วิมานของโยมตั้งด้านขวาวิมานของคุณด้านโน้น” อาตมาก็เหลียวไปดูก็เห็นวิมานของโยมสวยสดงดงามมาก

หลังจากนั้นอาตมาได้ถามโยมผู้หญิงในชาติปัจจุบันว่า “โยม ในสมัยที่เป็นมนุษย์ เป็นนักบุญชอบบูชาพระ ชอบไปวัดชอบฟังเทศน์ไม่ขาดเกือบทุกวันพระ เรื่องเกี่ยวกับบุญเกี่ยวกับอะไรก็ตาม สนใจทุกอย่าง เวลานี้โยมอยู่ชั้นไหน” โยมผู้หญิงตอบว่า “อยู่ชั้นยามาเหมือนกับโยมพ่อ แต่ว่าฉันชอบบูชาพระ ทุกวันจะให้นางฟ้าก็ดี ฉันก็ดี จะช่วยกันเก็บดอกไม้ในวิมานเป็นดอกไม้สีขาว ชั้นยามานี้สีขาวหมด แล้วนำมาบูชาพระ” อาตมาถามว่า “ดอกไม้ที่เหลือจากการบูชาพระมันไม่เหี่ยวไม่แห้งหรือ” ท่านก็บอกว่า “ไม่เหี่ยวไม่แห้ง ถ้าเราไม่ต้องการดอกไม้ก็หายไป ไม่ต้องเอาไปทิ้งแล้วก็ไปเก็บมาใหม่ ทำอย่างนี้ทุกวัน” ถามว่า “ในเมื่อโยมเป็นนักบุญแบบนี้ เวลานี้โยมมีวิมานบนพระนิพพานแล้วหรือยัง”

ท่านตอบว่า “ยัง” อาตมาแปลกใจ ถามว่า “โยมผู้ชายความจริงเสียเปรียบโยมผู้หญิง เพราะทำปาณาติบาตมาก แต่โยมผู้หญิงไม่ค่อยได้ทำปาณาติบาต บาปไม่ค่อยได้ทำ ทำแต่บุญ ทำไมจึงไม่มีวิมานบนพระนิพพาน พระพุทธเจ้าเทศน์ตั้งหลายครั้ง โยมจำไม่ได้หรือ” ท่านบอกว่า “จำเหมือนกันแต่มันเพลินความสุข ไม่เคยคิดว่าจะจุติ ไม่เคยคิดว่าจะตายจากวิมานนี้” จึงบอกว่า“นับว่ามีความประมาทมาก ถ้าอย่างนั้นขอให้โยมออกมานั่งข้างหน้า” ท่านก็มานั่งข้างหน้า อาตมาบอกให้ท่านหันหน้าไปทางพระพุทธเจ้า ท่านก็หันหน้าไปทางพระพุทธเจ้าแล้วกราบพระพุทธเจ้า สมเด็จองค์ปฐมก็ทรงเทศน์ว่า “เจ้าผู้เจริญ เจ้ายังไม่มีวิมานอยู่บนพระนิพพานใช่ไหม” โยมผู้หญิงก็ตอบว่า “ใช่เจ้าค่ะ” พระองค์ตรัสต่อว่า “ทั้งนี้เพราะเจ้ามีความประมาทมากเกินไป มีความเพลิดเพลินในความเป็นทิพย์ ถือตัวว่ามีบริวารมาก มีวิมานใหญ่ มีความสุขตั้งใจบูชาพระ แต่การบูชาพระของเธอเป็นการบูชาพระแต่ผิวเผิน เป็นการเข้าถึงพระแบบผิวเผินไม่ใช่ลึกซึ้งนัก ฉะนั้นจึงไม่มีวิมานอยู่บนนิพพาน เธอจงทบทวนถึงความจริงของเธอในสมัยที่เป็นมนุษย์ เธอมีบาปอะไรบ้าง” โยมก็ตอบว่า “มีบาปหลายอย่างเจ้าค่ะ” ท่านก็ถามว่า“เธอรู้จักนรกไหม” โยมก็ตอบว่า “ไม่รู้จักเจ้าค่ะ” ท่านถามว่า “เธอเชื่อไหมว่ามีนรก” โยมก็ตอบว่า “เชื่อเจ้าค่ะ” ท่านตรัสว่า “ถ้าอย่างนั้น เธอจงดู” แล้วท่านก็ชี้มือลงเบื้องต่ำ เห็นนรกแดงฉานไปหมด มีตั้งหลายขุม ขุมใหญ่ ๘ ขุม ขุมเล็กรวมแล้ว ๔๐๐ กว่าขุม

ท่านบอกว่า “บาปของเธอที่มีอยู่ ตถาคตจะพูดให้ฟัง บาปอย่างนี้ในเมื่อเธอจุติจากชั้นยามา จะพุ่งหลาวลงนรกขุมนี้ เธอจงดูการลงโทษ การถูกเผาไฟจะมีอย่างนี้ตลอดเวลา ไฟนรกโชติช่วง พื้นเหล็กก็แดงฉาน ทั้งหอกทั้งดาบ ดาบก็ฟัน หอกก็แทง ค้อนก็ทุบ เมื่อพ้นบาปขุมนี้แล้วต่อไปก็ลงขุมที่ ๒ ไม่ใช่นับ ๑,๒,๓ ตามลำดับขุมนรกนะ เป็นขุมที่ ๒ ที่ต้องลง เมื่อลงแล้วก็ต้องลงขุมที่ ๓ จากนั้นก็มาขุมที่ ๔ ขุมที่ ๕ ลงหลายขุม เธอจงจำไว้ว่า การที่เธอมาเกิดเป็นนางฟ้าชั้นยามานี่เพราะอาศัยบุญเล็กน้อย ที่ชอบการบูชาพระ ชอบให้ทาน ชอบรักษาศีล ชอบเจริญภาวนา แต่กำลังใจของเธอไม่มีความจริงจัง ทำตามประเพณีเสียส่วนมาก เห็นผู้ใหญ่เขาทำก็ทำ จิตใจมีความไม่มั่นคงนัก เพราะอาศัยบุญเล็กน้อยที่เธอนึกถึงก่อนตาย บันดาลให้เธอมาเกิดบนสวรรค์ชั้นยามา จงอย่าลืมว่าในอีกไม่ช้านัก เธอก็จะหมดบุญ ในเมื่อหมดบุญแล้วก็จะต้องลงนรก เธอกลัวไหม” เธอก็บอกว่า “กลัวเจ้าค่ะ”

ตอนนี้รู้สึกว่าหน้าท่านจะซีด ผิวพรรณไม่ค่อยผ่องใสแสดงว่ากลัวนรก สมเด็จองค์ปฐมตรัสว่า “ดูก่อน หญิงผู้เจริญ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ตถาคตจะแนะนำให้ตัดนรกดีไหม เอาไหม ถ้าปฏิบัติได้ นับแต่นี้ไปเธอจะไม่ลงนรก จะไม่ต้องเกิดเป็นมนุษย์ ไม่ต้องเกิดเป็นเทวดา นางฟ้า ไม่ต้องเกิดเป็นพรหม จะมานิพพานเลย ความเป็นมนุษย์ เธอก็เต็มไปด้วยความทุกข์ ทรัพย์สินที่หามาได้มันก็ไม่ค่อยจะพอใช้ ตัวเองน่ะเหลือใช้แต่ลูกๆ บ้าง เพื่อนบ้านใกล้เคียงบ้างช่วยกันใช้บ้าง เธอก็มีแต่ความหนักใจ ความเป็นมนุษย์ก็มีความแก่เป็นประจำ เธอก็ไม่นึกถึงความแก่ ความเป็นมนุษย์มีความป่วยเป็นประจำ เธอก็ลืมนึกถึงความป่วย ความเป็นมนุษย์ต้องมีการพลัดพรากจากของรักของชอบใจเป็นประจำ พ่อตาย แม่ตาย พี่ตาย น้องตาย ลูกตาย หลานตาย เห็นอยู่เสมอ แต่เธอไม่เคยนึกว่าจะตาย

อาศัยที่เป็นคนประมาทในสมัยที่เป็นมนุษย์ มาเป็นนางฟ้าก็เป็นนางฟ้าประมาท เพลิดเพลินในทิพยสมบัติมากเกินไป มีวิมานหลังใหญ่ มีบริวารมาก มีความสุข ไม่มีการงาน ทุกสิ่งทุกอย่างสำเร็จด้วยความเป็นทิพย์ มีความสุขมากเกินไปจนลืมนึกถึงความตายจากการเป็นนางฟ้า ถ้าตายจากความเป็นนางฟ้าเมื่อไรต้องลงนรกเมื่อนั้น ต่อไปนี้ตถาคตจะแนะนำว่า ถ้าเธอปฏิบัติได้จะไม่ต้องลงนรกต่อไป บาปทั้งหมดจะไม่ให้ผล มีอย่างเดียวคือก้าวเข้าสู่พระนิพพาน ถ้าเธอตัดสินใจได้ตามนั้น วิมานจะปรากฏบนนิพพาน”

หลังจากนั้นท่านก็เทศน์ ๕ ข้อคือ ข้อ ๑ “เธอจงคิดไว้เสมอว่า ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง ความตายเป็นของเที่ยง การเป็นเทวดา นางฟ้า พรหม จะไม่มีอายุอยู่ตลอดกาลตลอดสมัย สักวันหนึ่งข้างหน้าเราจะต้องตายหรือที่เรียกว่า จุติ ศัพท์ชาวบ้านเขาเรียกว่าตาย เธอเข้าใจและแน่ใจไหม” โยมก็ตอบว่า “แน่ใจเจ้าค่ะ จุติแน่แต่ไม่รู้เวลา” ท่านก็บอกว่า “ใช้ได้ ให้มั่นใจว่าวันหนึ่งจะต้องจุติ วิมานหลังที่เธออยู่ทั้งหมดจะหายไป สมบัติปัจจุบันจะไม่มีสำหรับเธออีกเหมือนกับสมัยที่เป็นมนุษย์ เธอสะสมทรัพย์สมบัติไว้มาก แต่เธอตายจากความเป็นมนุษย์แล้วคนอื่นเข้ามาปกครอง เวลานี้สมบัติเป็นชิ้นเป็นท่อนเป็นตอน จากชิ้นใหญ่เป็นชิ้นเล็ก บางชิ้นก็ถูกขายไปบ้าง เธอก็ไม่สามารถจะห้ามปรามเขาได้ เธอเหน็ดเหนื่อยมากฉันใด ทรัพย์สมบัติส่วนนั้นเธอก็ไม่สามารถปกครองระวังรักษาได้ ข้อนี้ก็ฉันนั้น ขอเธอจงนึกว่าสักวันหนึ่งข้างหน้า วิมานที่สวยสดงดงามของเธอ บริวารของเธอ ร่างกายที่เป็นทิพย์ของเธอจะสลายตัว นั่นคือตาย” ท่านถามว่า “นึกออกไหมและมีความมั่นใจไหม” โยมก็ตอบว่า “มีความมั่นใจเจ้าค่ะ คราวนี้มั่นใจแล้วว่าต้องจุติ เพราะเทวดา นางฟ้า พรหม เคยจุติให้เห็นอยู่เสมอ แต่ก็ไม่ค่อยคิดว่าตัวจะต้องจุติ เวลานี้คิดแล้วเจ้าค่ะ”ท่านถามว่า “เธอมั่นใจรึ” โยมก็ตอบว่า “มั่นใจเจ้าค่ะ”

ข้อที่ ๒ “ต่อไปนี้เธอจงกลับใจเสียใหม่ การบูชาพระรัตนตรัยคือ พระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ ที่เธอทำอยู่เป็นของดีแต่ว่าความมั่นคงยังมีน้อย ยังมีความเคารพตามแบบประเพณีนิยม หลังจากนี้ไป จงตัดกำลังใจว่า เราจะมีความเคารพในพระพุทธเจ้าอย่างยิ่ง เคารพในพระธรรมอย่างยิ่ง เคารพในพระอริยสงฆ์อย่างยิ่ง หมายความว่าจิตเราจะไม่ปล่อยพระพุทธเจ้า ไม่ปล่อยพระธรรม ไม่ปล่อยพระอริยสงฆ์ จิตจะจดจ่ออยู่ที่พระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์เป็นปกติ” ท่านถามว่า “เธอทำได้ไหม” โยมก็ตอบว่า “ทำได้แล้วเจ้าค่ะ เวลานี้มีความมั่นใจเพราะอยู่ต่อหน้าพระพุทธเจ้า ต่อหน้าพระปัจเจกพุทธเจ้า ต่อหน้าพระอริยสงฆ์ และต่อหน้าพรหม เทวดาทั้งหมด ทุกอย่างมีความมั่นใจหมด”

ข้อที่ ๓ พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า “เธอต้องการมาพระนิพพานไหม” โยมก็ตอบว่า “ต้องการอย่างยิ่งเจ้าค่ะ ทีแรกไม่เคยทราบเลยว่านิพพานมีอยู่” ท่านก็ถามว่า “ลูกชายของเธอพาเทวดา นางฟ้า พรหม มาอยู่เสมอ ทำไมจึงไม่ตามมา” โยมตอบว่า “ไม่อยากจะไปไหนมีความสุขกับ วิมาน มีความสุขกับการบูชาพระ เวลาบูชาพระแล้วไม่อยากเลิกนั่งอยู่ข้างหน้าพระ” ท่านบอกว่า “ทีหลังเอาใหม่ เอากายนั่งที่นี้ เอาใจนั่งไว้ที่พระ กายจะนั่งจะนอนจะยืนจะเดินก็ได้ แต่ใจนั่งไว้ที่พระ คือใจนึกถึงพระพุทธเจ้า ใจนึกถึงพระธรรม ใจนึกถึงพระอริยสงฆ์เป็นนิจ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราจะทำ เราจะนึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ก่อน เธอทำได้ไหม” โยมก็ตอบว่า “มั่นใจแล้วเจ้าค่ะ”

ข้อที่ ๔ ต่อไปท่านก็บอกว่า “ศีล ๕ เธอสามารถรักษาได้ไหม” โยมตอบว่า “เมื่อสมัยเป็นมนุษย์ศีล ๕ บางสิกขาบทบกพร่องเจ้าค่ะ” สมเด็จองค์ปฐมจึงตรัสว่า “นี่เธอ ฉันถามในฐานะที่เป็นนางฟ้านะ ไม่ใช่ถามถึงความเป็นมนุษย์ เวลานี้ความเป็นมนุษย์หมดไปแล้ว เรื่องบาปประเภทนั้นไม่ต้องคิดถึงมัน เวลานี้เราไม่มีบาปจะทำมีทำอย่างเดียวคือบุญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทวดา นางฟ้า ชั้นยามา ได้เปรียบกว่าชั้นอื่นนอกจากชั้นดุสิต นั่งบำเพ็ญบุญบำเพ็ญกุศลตลอดเวลา” แล้วท่านก็ถามว่า “มีความมั่นใจไหมว่า จะรักษาศีล ๕ ได้ครบ” โยมก็นิ่ง ท่านก็บอก

๑ “ปาณาติบาต การไม่ฆ่าสัตว์เธอทำได้ไหม” โยมนิ่งประเดี๋ยวก็ตอบว่า “ได้เจ้าค่ะ”

๒ “อทินนาทาน การไม่ลักทรัพย์เธอทำได้ไหม” โยมก็ตอบว่า “ทำได้เจ้าค่ะ”

๓ “กาเมสุมิจฉาจาร เธอจะไม่ละเมิดความรักของผู้อื่นทำได้ไหม” โยมก็ตอบว่า “ทำได้เจ้าค่ะ”

๔ “มุสาวาท จะไม่กล่าวเท็จทำได้ไหม” โยมก็ตอบว่า “ทำได้เจ้าค่ะ”

๕ “สุราและเมรัย เราจะไม่ดื่มทำได้ไหม” โยมก็ตอบว่า “ทำได้เจ้าค่ะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสุราเมรัย การพนัน ในสมัยที่เป็นมนุษย์ก็ไม่ทำอยู่แล้ว”

สมเด็จองค์ปฐมตรัสว่า “ความจริงการเป็นเทวดา นางฟ้า หรือพรหม ก็มีศีล ๕ เป็นปกติอยู่แล้ว เพราะการฆ่าสัตว์ก็ไม่มีสัตว์จะฆ่า การขโมยทรัพย์ก็ไม่มีความจำเป็นจะขโมย ถ้าไม่ใช่ทรัพย์สินของเรา เราเอามาไม่ได้ เพราะที่นี่มีแต่ความเป็นทิพย์ ความรักในระหว่างเพศก็ไม่มี การพูดมุสาวาทก็ไม่มี เพราะไม่มีความจำเป็น การดื่มสุราเมรัยก็ไม่มีจะดื่ม รวมความว่าการเป็นเทวดา เป็นนางฟ้า เป็นพรหม มีศีลบริสุทธิ์อยู่แล้ว”

ข้อที่ ๕ “ต่อนี้ไปเธอจงตัด ทำลายอวิชชาคือความโง่ เธอนึกว่ามนุษยโลกดีหรือไม่ดี” โยมก็ตอบว่า “ไม่ดีเจ้าค่ะ” ท่านถามว่า “ไม่ดีเพราะอะไร” โยมตอบว่า “เพราะว่า เกิดแล้วก็แก่ มีการงาน มีการป่วย มีการพลัดพรากจากของรักของชอบใจ มีความปรารถนาไม่สมหวัง ต้องตาย ตายแล้วก็ไม่สามารถนำทรัพย์สมบัติที่หามาได้ติดตัวไป และความเป็นมนุษย์ก็วุ่นวายเรื่องการงาน เหน็ดเหนื่อยอยู่เสมอ เหนื่อยทั้งกายเหนื่อยทั้งใจ” ท่านบอก “ก็ถูกแล้ว เธอต้องการเป็นมนุษย์อีกไหม” โยมบอกว่า “ไม่ต้องการเจ้าค่ะ” ท่านถามว่า “การเป็นนางฟ้า เทวดา พรหม จะต้องจุติเธอต้องการอีกไหม” โยมก็ตอบว่า “ไม่ต้องการเจ้าค่ะ”

ท่านก็ถามว่า “การมาอยู่ที่นิพพานนี่ไม่ต้องไปไหน ไม่ต้องจุติ ไม่มีการป่วย ไม่มีกิจการงานใดๆ อะไรก็ตามถ้าเป็นความเหมาะสมก็จะปรากฏขึ้นมาเองโดยที่เราไม่ต้องจับ ไม่ต้องนึก เธอต้องการไหม” โยมตอบว่า “ต้องการเจ้าค่ะ” และท่านก็บอกว่า “ให้เธอนิ่งสักประเดี๋ยวหนึ่ง ตัดสินใจว่าทั้ง ๕ ข้อนี้จะทำได้ไหม” โยมก็นั่งนิ่งสักอึดใจหนึ่งก็ลืมตาขึ้นมาบอกว่า “ตัดสินใจได้แล้วเจ้าค่ะ พร้อมแล้วที่จะมานิพพาน ร่างกายในความเป็นทิพย์นั้นจะจุติเมื่อไรไม่เสียดาย ขอมานิพพานอย่างเดียว” พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า “ก็จบแค่นี้” พอท่านบอกว่าจบแค่นี้ วิมานก็ปรากฏทันที ท่านชี้ให้ดูทางด้านขวามือของท่าน ท่านหันหน้าไปทางทิศใต้บอกว่า “โน้น วิมานของเธอปรากฏแล้ว สวยสดงดงามอย่างยิ่ง หลานหญิงคือ พรทิพย์ กับ พวงทิพย์ พาย่าไปชมวิมานซิ” โยมก็บอกว่า “ยังไม่ไปเจ้าค่ะ พระพุทธเจ้ายังอยู่ที่นี่ก็ยังไม่ขอลุกไปก่อน”

หลังจากนั้นพระพุทธเจ้าก็เสด็จเข้าวิมาน เทวดา นางฟ้า และพรหมทั้งหมด ต่างคนต่างเข้าวิมาน แยกย้ายไปสู่วิมานของตนในนิพพาน ที่ยังไม่มีวิมานก็กลับที่เดิมและบอกว่า ตั้งใจจะปฏิบัติให้ได้ตามที่พระพุทธเจ้าสอนเมื่อกี้นี้เป็นของไม่ยาก ต้องพยายามมีวิมานให้ได้..”

http://www.watonweb.com
by admin admin ไม่มีความเห็น

จิตลอยไปตัดใจไปนิพพาน

ผู้ถาม หนูนั่งกรรมฐานที่ ซอยสายลม บ้าน เจ้ากรมเสริม ปรากฏว่าน้ำตาไหลและดวงจิตล่องลอยออกไปไม่ค่อยจะกลับมา เลยตัดสินใจว่าตายวันนี้ขอไปนิพพานทันที อย่างนี้พอมีโอกาสไปได้ไหมคะ เพราะตอนนั้นใจมันลอยไปแล้ว …? 

หลวงพ่อ ใจมันลอยไป แล้วใครมันนึกล่ะ ใจลอยไปมันหมายความว่ายังไง เอาล่ะไม่เป็นไร ถือว่าตัดสินใจถูกดีกว่า นั้นแหละถูกต้องนะ อย่างนั้นแน่นอน ถ้าตายเวลานั้นไปนิพพานจริง ๆ เอาอย่างนี้ดีกว่า ง่ายดี ! 

ผู้ถาม ไม่ต้องลงทุนอะไรเลยหรือครับหลวงพ่อ…? 

หลวงพ่อ ก็ลงทุนเยอะ ลงทุนต้องทิ้งบ้านมา ต้องเสียค่ารถมา ต้องเสียความสุขที่อยู่ที่บ้าน เสียความสุขที่อยู่โรงหนัง เสียความสุขในโรงเหล้า โอ๊ะ ! ลงทุนมาก โดยเฉพาะลงทุนหนักก็คือ ต้องลงทุนทำลายกิเลส เวลานั้นจิตบริสุทธิ์จริง ๆ ขณะที่จิตลอยออก จิตนึกถึงพระนิพพานนี่ จะต้องถือว่าจิตบริสุทธิ์มาก ถ้าตายเวลานั้นไปทันที ตัดใจไปนิพพานก่อนตาย 

ผู้ถาม หนูฟังในที่หลายแห่งของหลวงพ่อว่า จิตสุดท้ายใกล้จะตาย บุญมันจะรวมตัวกันและสามารถไปนิพพานได้ แต่ถ้าหากว่าตอนนั้น ตัดได้บ้าง ตัดไม่ได้บ้างโดยเฉพาะตอนสามีมายั่ว รู้สึกว่าตัดไม่ได้สักที เกิดในตอนนั้น จะไปนิพพานได้หรือเปล่าเจ้าคะ…? 

หลวงพ่อ เอ…มายั่วว่ายังไง ยั่วท่าไหน ตอนที่ป่วยหนัก ๆ ไม่มีใครเขาเข้ามายุ่งหรอก ตอนป่วยหนัก ๆ จริง ๆ นะ อารมณ์มันก็วางอยู่แล้ว วางความรักในระหว่างเพศนะ มันไปไม่ไหวแล้ว ความต้องการความร่ำรวยมันก็ไม่ต้องการแล้ว วางความโกรธ คิดจะไปตีกับใครมันก็ไม่มีแล้ว ตอนนั้นมันวางอยู่แล้ว อีตอนที่ยังไม่เครียดซิ วางไม่ได้นะ 

ผู้ถาม มีข้อแม้เหมือนกันนะ 

หลวงพ่อ มีข้อแม้ แต่ว่าเอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ถ้าหากว่าได้ มโนยิทธิ ตอนเช้ามืดขึ้นไปนิพพานให้จิตสบาย แล้วก็ตัดสินใจว่า ตายเมื่อไรขอมาที่นี่เมื่อนั้น อันนี้ไม่พลาดแน่ เอาง่าย ๆ ดีกว่านะ 

ผู้ถาม ครับ ๆ

by admin admin ไม่มีความเห็น

กฏธรรมดาของโลก โดยหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง

กฏธรรมดาของโลก
ถ้ามันเกิดขึ้นกับเราก็ถือว่าช่างมัน
ธรรมโอวาทหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง 

วันนี้ก่อนที่จะศึกษาอย่างอื่นก็ให้นึกถึงกฏธรรมดาไว้เป็นสำคัญ กฏธรรมดาสำหรับเรานั่นก็คือ
๑. ชาติปิ ทุกขา ความเกิดเป็นทุกข์
๒. ชราปิ ทุกขา ความแก่เป็นทุกข์
๓. มรณัมปิ ทุกขัง ความตายเป็นทุกข์
๔. โสกปริเทวทุกขโทมนัส ความเศร้าโศกเสียใจเป็นทุกข์
๕. ความพลัดพราก จากของรักของชอบใจเป็นทุกข์ มีอารมณ์ขัดข้องหรือมีความปรารถนาไม่สมหวังเป็นทุกข์

พระพุทธเจ้าทรงกล่าวว่า เราเกิดมาเพื่อประสบกับทุกข์ คนที่เกิดมาแล้วทุกคนที่จะไม่มีทุกข์ ไม่มี ถ้าหากว่าเรายังยึดถือร่างกายเป็นของเรา ทรัพย์สินเป็นของเรา ญาติพี่น้องเพื่อนฝูงเป็นของเรา อารมณ์ทุกข์มันก็เกิด เกิดเพราะว่าจิตเราเกาะ ที่เรียกว่าอุปาทาน และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง โลกธรรมทั้ง ๘ ประการ คือ

มีลาภ-ดีใจ ลาภสลายตัวไป-เสียใจ
มียศ-ดีใจ ยศสลายตัวไป-เสียใจ
มีความสุขในกามสุข-ดีใจ ความสุขหมดไป-ร้อนใจ
ได้รับคำนินทา-เดือดร้อน ได้รับคำสรรเสริญ-มีสุข
นี่ก็ถือว่าเป็นอารมณ์ของอุปาทาน สร้างความทุกข์ สร้างความหวั่นไหวให้เกิดขึ้นกับเรา

● ทำอย่างไรเราจึงจะพ้นทุกข์

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแนะนำให้พวกเราถือว่า ใช้อารมณ์คิดอยู่เสมอว่า กฏนี้เป็นกฏธรรมดาของโลก ที่เราไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงมันไปได้ ถ้ามันเกิดขึ้นกับเราก็ถือว่าช่างมัน ตามศัพย์ภาษาบาลีท่านเรียกว่า ขันติ ความอดทน ถ้าใช้คำว่าอดทนเข้าใจยาก ใช้ภาษาไทยธรรมดาดีกว่า ว่ามันจะเกิดขึ้นมาประเภทไหนก็ช่างมัน

ที่มา https://www.facebook.com/#!/BuddhaSattha

by admin admin ไม่มีความเห็น

อันตรายจากการเลี้ยงสัตว์

ในโลกปัจจุบันนี้มีแฟชั่นหรือมีความนิยมเอาสัตว์เดรัจฉานมาเลี้ยงเป็นเพื่อนบ้าง ขังกรงไว้ดูเล่นบ้าง และบางคนชอบเลี้ยงสัตว์ที่มีพิษร้าย เช่น งูพิษ ตะขาบ แมงป่องช้าง แมงมุมยักษ์ รวมทั้งสัตว์เลื้อยคลานอีกหลายอย่าง โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกาและออสเตรเลีย มีสัตว์แปลก ๆ อยู่มากชนิดที่เขานำมาเลี้ยงกัน


ปัญหาที่เกิดตามมาก็คือ อันตรายจากสัตว์เลี้ยงมีอยู่มาก เช่น เป็นพาหะนำเชื้อโรคต่าง ๆ โรคภูมิแพ้จากพิษของสัตว์ และอุบัติเหตุต่าง ๆ จากสัตว์เลี้ยง ปัญหาหรือทุกข์ซึ่งพวกนี้ไม่เห็น หรือเห็นรู้แต่มีความประมาท ที่สุดแม้ผู้เชี่ยวชาญเองก็ถูกสัตว์เหล่านี้ทำร้าย บางรายก็ถึงตายเลย ก็มีจำนวนไม่น้อย ผมจะไม่เขียนรายละเอียดเพราะเป็นเรื่องทางโลก ซึ่งหาที่สิ้นสุดไม่ได้ เพราะโลกหรือโลกะ พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า คือสิ่งที่นำไปสู่ความฉิบหาย คืออนัตตาในที่สุด เพราะทุกสิ่งในโลกรวมทั้งวัตถุธาตุใด ๆ ในโลก คนสัตว์ ล้วนตกอยู่ภายใต้กฎของไตรลักษณ์ทั้งสิ้น คือ ไม่เที่ยง (เป็นอนิจจัง)ไม่สามารถจะคงทนอยู่ในสภาพเดิม รูปเดิม สภาวะเดิมได้นาน หากผู้ใดไปยึดไปถือเข้า (เพื่อให้มันทรงตัว ให้ทรงอยู่ในสภาพเดิม ฝืนความเป็นจริงของโลก) ก็เป็นทุกข์ (เป็นทุกขัง)เพราะไม่ช้าไม่นานก็เปลี่ยนแปลงไปจากสภาพเดิม จากสภาวะเดิม หรือพังหมด ช้าหรือเร็วเท่านั้น (เป็นอนัตตา) สิ่งที่พบเห็นกันทุกคนก็คืออาหารที่เราสรรหามาบริโภค แปลก ๆ ใหม่ ๆ รสอร่อย ๆ ราคาแพง ๆ บางอย่างก็หายากแสนยากมาบริโภค พอเข้าทางปากผ่านโคนลิ้น ทั้งกลิ่น ทั้งรส ก็อนัตตาให้เห็นได้ทันที และพอถึงพรุ่งนี้ก็ออกมาทางทวารหนัก มีสภาพเหมือนกันหมด ไม่สามารถจะแยกได้ว่าอะไรเป็นอะไร มีสีเดียวกันหมด คือสีเหลือง และมีกลิ่นเหม็นทุกคนไม่มากก็น้อย ผมขอเขียนไว้เป็นแค่ตัวอย่างเท่านี้

สิ่งที่ผมต้องการเน้นก็คือ การเลี้ยงสัตว์ที่ใกล้ชิดคนมากที่สุดก็คือหมากับแมว เพราะสถานการณ์โลกบังคับ คนมีสิทธิเสรีภาพกันมากขึ้น คนแย่งกันเกิด แย่งกันทำงาน แย่งกันหาที่อยู่อย่างอิสระ แย่งกันกิน แย่งกันนอน ทุกอย่างล้วนมีปัญหาหรือเป็นทุกข์ทั้งสิ้น แต่น้อยคน ที่จะเก็บเอามาคิดพิจารณา ตามสถิติคนฝรั่งเศส คนอังกฤษไม่ค่อยจะแต่งงาน มีคนสูงอายุมากขึ้น (คนแก่) มักอยู่คนเดียวโดยเช่าบ้าน หรือคอนโดมิเนียมอยู่กัน ทางเอเชียก็ที่ฮ่องกงมีมากที่สุด เมื่ออยู่คนเดียวก็เหงา จึงหาสัตว์มาเลี้ยงเป็นเพื่อนเป็นส่วนใหญ่หมาและแมว จึงถูกนำมาเลี้ยง กิน นอน เล่น บางรายนอนห้องเดียวกัน และบางรายนอนเตียงเดียวกัน และก็เอากิเลสของตนไปยัดเหยียดให้กับสัตว์ที่ตนเลี้ยง โดยจับมันนุ่งผ้า แต่งตัว มีเสริมสวย สปาออกกำลังกาย แม้อาหารการกินต่าง ๆ ที่ปกติสัตว์ไม่เคยมีกินมาก่อน จึงเกิดธุรกิจในเรื่องนี้ขึ้นมาก ผมก็ขอหยุดไว้แค่นี้ เพราะเป้าหมายของผมไกล ลึก และละเอียดยิ่งกว่านี้มาก

ปุถุชนคนธรรมดาที่จิตยังมิได้ถูกอบรม ย่อมมีกิเลสหนากว่าจิตที่ถูกอบรมแล้วมาก ต้นเหตุเพราะปุถุชนเขาคิดว่าร่างกาย เป็นเขาเป็นของเขา เขาไม่ทราบเรื่องกายกับจิตเป็นคนละส่วนกัน ส่วนพวกชาวพุทธแท้ไม่ใช่พุทธตามสำมะโนครัว ย่อมรู้ดีว่า ร่างกายมันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราคือจิตที่มาอาศัยร่างกายอยู่ชั่วคราวเท่านั้น จิตไม่เคยตายเป็นอมตะผู้ตายคือร่างกาย เมื่อกายตายจิตก็ต้องไปตามกรรมหรือการกระทำที่จิตของตนทำไว้ ทำดีก็ไปดี(สุคติ) ทำชั่ว ก็ไปชั่ว (ทุคติ) และรู้ว่าเมื่อจิตเป็นของเรา เราก็ต้องอบรมมันได้

พระองค์จึงทรงตรัสว่า“จิตที่อบรมดีแล้วย่อมนำสุขมาให้” เป็นต้น ส่วนกายเมื่อไม่ใช่ของเรา เราจึงบังคับมันไม่ได้ เช่น ไม่ให้มันแก่ มันป่วย มันตายไม่ได้ แต่ผู้มีปัญญาเขาชะลอได้หรือบรรเทาได้ด้วยพระธรรม หรือใช้ธรรมโอสถช่วย ผมขอเขียนย่อไว้แค่นี้

ขอเข้าประเด็นอันตรายจากการเลี้ยงสัตว์ต่อ พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า “สภาพจิตใกล้สิ่งไหนเกาะสิ่งนั้น รับสัมผัสสิ่งดีก็ยึดดี รับสัมผัสสิ่งเลวก็ยึดเลว” จุดนี้สำคัญมากตอนใกล้จะตาย จิตเกาะบุญหรือความดีก็ไปสวรรค์ จิตเกาะบาปหรือความชั่วก็ไปนรก ผู้ไม่ประมาทในความตาย จึงซ้อมตายและพร้อมที่จะตายอยู่เสมอ

คนเลี้ยงสัตว์โดยประมาทขาดปัญญา เลี้ยงแล้วส่วนใหญ่จิตจะยึดเกาะสัตว์เลี้ยงเกินพอดี กลายเป็นตัณหา หรือทรงตรัสว่า เป็นความทะยานอยาก อันเป็นสมุทัย ต้นเหตุทำให้จิต เกิดความทุกข์ธรรมข้อนี้พระองค์ทรงเน้นสอนไว้ชัดเจนว่า เป็นธรรมที่ต้องละปล่อยวางให้ได้ เพราะเป็นอริยสัจข้อที่ ๒ 

ผมขอยกตัวอย่างเรื่องจริงสัก ๒-๓ เรื่อง มีความสำคัญโดยย่อๆดังนี้

๑. หลวงปู่บุดดา ถาวโร ท่านบอกว่าพวกชาวประมงส่วนใหญ่ตายแล้วจะเกิดเป็นปลา และปลาก็จะเกิดมาเป็นคน เป็นกำกงกำเกวียนหมุนเวียนไปตามกรรม

๒. ชาวนิวซีแลนด์ซึ่งมีพื้นที่พอๆกับประเทศไทย มีพลเมืองแค่ ๕-๘ ล้านคน แต่มีแกะกว่า ๑๐๐ ล้านตัว ชีวิตของเขาอยู่กับแกะทุกวัน ตั้งแต่เช้าจนกระทั่งนอน หรือมีแกะเป็นที่พึ่ง จิตเกาะอยู่กับแกะตลอดชีวิตเขา ดังนั้น คนที่นั่นส่วนใหญ่ตายแล้วก็ไปเกิดเป็นแกะ ส่วนแกะตายแล้ว ก็จะมาเกิดเป็นคนหมุนเวียนเป็นกงกำกงเกวียนไปตามกรรมเช่นกัน

๓. เมื่อ ๒๐ กว่าปีที่แล้ว มีหญิง ๒ คนตามหาผม ในขณะนั้นส่วนใหญ่ผมจะอยู่วัดมากกว่าอยู่กรุงเทพ จึงไม่พบกันเพราะแคล้วคลาดกัน จนที่สุดเธอตามไปที่วัด ก็ได้พบกัน จุดประสงค์เธอต้องการถามผมว่า เธอเลี้ยงอีเห็นไว้ตัวหนึ่ง กินนอนอยู่ด้วยกันเหมือนเลี้ยงลูก (เธอยังเป็นโสด)ปัจจุบันลูกเลี้ยงของเธอตายไปแล้วเธอทุกข์โศกมาก อยากทราบว่าลูกเลี้ยงเธอตายแล้วไปไหน ขอสรุปสั้นๆว่า ผมตอบเธอว่าไปเกิดเป็นคนแล้ว เพราะจิตเกาะคนอยู่กับคนตลอดเวลา แต่ผมไม่กล้าพูดว่า ตัวเธอนั่นแหละให้ระวัง หากเกิดตายในระหว่างนี้จะเกิดเป็นอีเห็น เพราะจิตผูกพันอยู่กับอีเห็น เกินพอดี

พวกที่ได้มโนมยิทธิแล้วได้ฌาน ๘ ด้วย หากใช้ฌาน ๘ ดูกฎของกรรม ก็จะพบว่า ในปัจจุบันนี้พวกเลี้ยงหมาแมวแบบเป็นเพื่อน เป็นลูกเลี้ยง ตายแล้วจะเกิดเป็นหมาเป็นแมวกันมากโดยเฉพาะชาวต่างชาติ เช่น คนญี่ปุ่นและจีน คนยุโรป ชาวฝรั่งเศสและชาวอังกฤษ เป็นต้น บางคนตายแล้วยังทำพินัยกรรมหรือยกมรดกยกสมบัติให้หมาให้แมวก็มีไม่น้อย (ในสหรัฐอเมริกา มีบ่อยๆ)ก็ขอยกตัวอย่างของจริงไว้เพียงแค่นี้ เพราะหากเขียนรายละเอียด จะเขียนได้ยาวมาก เนื่องจากมีความจริงอยู่ในพระไตรปิฎกอยู่หลายตอน ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้อย่างชัดเจน

วิธีป้องกัน ผมขอแนะนำให้ปิดนรก หรืออบายภูมิ ๔ ให้ได้เสียก่อน เพื่อความไม่ประมาทในความตาย อันเป็นอนาคตธรรม ซึ่งยังมาไม่ถึง จึงหาความแน่นอนไม่ได้ 

การปิดนรก หลวงพ่อฤๅษีท่านสอนไว้ละเอียด และการหนีนรกแบบง่ายๆ ก็แนะนำไว้หลายวิธี ผมจะไม่เขียนให้เสียเวลา กรุณาช่วยตนเองหาอ่านและศึกษากันเอาเอง

ผมขอแนะนำวิธีที่ผมใช้อยู่เป็นปกติ เพราะเป็นคำสั่งของสมเด็จองค์ปฐม มีความสำคัญดังนี้

ทรงตรัสว่า ทุกครั้งที่คุณหมอจะสนทนาธรรม หรือตอบปัญหาธรรมที่ซอยสายลม ให้ปฏิบัติดังนี้

ก่อนสนทนาธรรม ให้คุณหมอเป็นผู้นำ แนะนำทุกคนหันหน้าไปทางพระพุทธรูป แล้วตั้งจิตอธิษฐาน (ในใจไม่ต้องออกเสียง)มีใจความสำคัญว่า

ข้าพระพุทธเจ้าขออธิษฐานจิต ให้สัจจะต่อพระพุทธองค์ว่า ในระหว่างที่สนทนาธรรมกันเป็นเวลา ๓ ชั่วโมงนี้

๑. ข้าพเจ้าของดเว้นไม่กระทำชั่วทั้ง ๕ ประการ คือไม่ฆ่าสัตว์และไม่ทรมานสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่พูดปด (และไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดส่อเสียดนินทาผู้อื่น ไม่พูดเรื่องเหลวไหลไร้สาระ)ไม่เสพสุราและของมึนเมาที่ทำให้สติฟั่นเฟือน

๒. มีจิตมั่นคงต่อพระรัตนตรัย ไม่สงสัยในคำสอนของพระพุทธองค์

๓. ในระหว่างที่สนทนาธรรมกัน เป็นเวลาประมาณ ๓ ชั่วโมงนี้ ความตายอาจเกิดขึ้นกับเหล่าข้าพระพุทธเจ้าก็ได้ เพราะความตายเป็นของเที่ยง แต่ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง เพียงหายใจเข้าแล้วหายใจออกไม่ได้ ความตายก็เกิดขึ้นแล้ว

๔. ในปัจจุบันนี้ข้าพระพุทธเจ้าเห็นทุกข์ เห็นโทษ เห็นภัยจากการเกิดมามีร่างกายซึ่งไม่เที่ยงแล้ว โดยไม่สงสัยในธรรม ๕ ประการที่พระองค์ทรงแนะให้พิจารณาบ่อย ๆ อยู่เนืองๆ คือ เรื่องการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจ และมีความปรารถนาไม่สมหวัง ล้วนเป็นทุกข์ ทุกภพทุกชาติที่เกิดมาไม่มีทางพ้นจากทุกข์ทั้ง ๕ ประการนี้ไปได้ จึงไม่ปรารถนาที่จะเกิดมาพบกับความทุกข์ทั้ง ๕ ประการนี้อีก ขันธ์ ๕ หรือร่างกายตายไปเมื่อไหร่ ข้าพระพุทธเจ้าก็พร้อม เพราะซ้อมตายและพร้อมที่จะตายอยู่เสมอ ตามที่พระพุทธองค์ทรงแนะนำไว้ พร้อมที่จะเอาจิตขึ้นไปสู่แดนพระนิพพาน อยู่กับพระพุทธองค์และหลวงพ่อฤๅษีบนพระนิพพานอย่างถาวร นิพพานสุขขัง

ที่ผมเขียนไว้ยาวและละเอียด ก็เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจ เพราะบุคคลที่เกิดมามีจริตนิสัยและกรรมแตกต่างกันมาก และไม่เสมอกันตามกรรม หรือบารมี อันเป็นกำลังใจที่สะสมกันมาไม่เท่ากัน แต่สำหรับคนที่มีปัญญามาก ไม่จำเป็นจะต้องอธิษฐานยาวนักก็ได้เพียงใช้หลักทั้ง ๔ ข้อ อันเป็นอุบายในการตัดสังโยชน์ ๓ ข้อแรกเท่านั้นเอง คือ 

๑. ตัดสักกายทิฏฐิ ว่าร่างกายนี้มันไม่ใช่เรา มันไม่ใช่ของเรา อารมณ์ขั้นต้นก็คือไม่ประมาทในความตาย รู้ตัวอยู่เสมอ และยอมรับความจริงว่า คนเราทุกคนเกิดมาแล้วจะต้องตาย ไม่ช้าก็เร็วตามกรรมที่ตนเองทำเอาไว้เองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

๒. มีจิตมั่นคงในพระรัตนตรัย ไม่สงสัยในพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์

๓. มีศีล ๕ ข้อเต็ม และบริสุทธิ์(แม้ชั่วคราวในระหว่างที่ปฏิบัติธรรม สนทนาธรรม หรือระหว่างที่สวดมนต์ไหว้พระทุกครั้ง)

๔. จิตเห็นทุกข์ เห็นโทษ เห็นภัย จากการเกิดมามีร่างกายอย่างชัดเจนแล้ว ไม่ปรารถนาจะเกิดมาพบความทุกข์เช่นนี้อีก ขันธ์ ๕ หรือร่างกายตายเมื่อไหร่ ก็พร้อมที่จะไปพระนิพพานเมื่อนั้น (คือมีจิตเบื่อกาย เบื่อเกิด คือ อารมณ์นิพพิทาญาณนั่นเอง)

สำหรับผู้มีปัญญามาก ผมขอสรุปสั้นๆ ว่ามี มรณานุสสติ บวกอุปสมานุสสติ และมีศีลบริสุทธิ์เท่านั้น (ศีลานุสสติ) เท่านั้น ก็พ้นนรกได้อย่างถาวร เพราะผู้ใดมีอนุสติทั้ง ๓ ข้อนี้ทรงตัวอยู่กับจิตแล้ว ผู้นั้นก็มีอารมณ์ของพระโสดาบัน กันนรกหรืออบายภูมิ ๔ ได้อย่างถาวร (ทรงตัวไม่มีเสื่อมอีกต่อไป)

หมายเหตุ

ก) ผู้ที่มีจิตที่มั่นคงในพระรัตนตรัย ก็คือผู้มีศีลานุสสตินั่นเอง
ข) เพราะบุคคลผู้มีปัญญาทางพุทธย่อมรู้ดีว่าศีลมีอยู่แล้วในตนทุกคน ไม่จำเป็นต้องไปขอศีลจากพระอีก ผู้ใดไปขอศีลจากพระ ก็คือคนยังไม่มีศีล เป็นศีลจน มาวัดหรือพบพระทีใดก็ขอศีลทุกทีผู้มีปัญญารู้ว่าตัวเจตนาที่จะงดเว้นไม่กระทำกรรมชั่วคือศีล จิตจะยกเว้นทั้ง ๕-๘-๑๐ หรือ ๒๒๗ ก็ขึ้นอยู่ที่ข้อนี้ข้อเดียวจึงรักษาศีลได้เบาๆไม่หนัก ไม่สงสัยในธรรมที่ตนเองปฏิบัติ
ค) ผู้มีศีลานุสสติ ก็คือผู้มีจิตมั่นคงในพระรัตนตรัยนั่นเอง หรือผู้มีจิตมั่นคงในพระรัตนตรัย ก็คือผู้ไม่สงสัยในพระธรรมคำสั่งสอน ของพระพุทธองค์ หรือบาลีเรียกวิจิกิจฉา นั่นเองธรรมในพุทธศาสนาเกี่ยวเนื่องกันหมด ถ้าเข้าใจจริงหรือมีปัญญา
ผมก็ขอจบไว้เพียงเท่านี้ เพราะยิ่งเขียนก็ยิ่งยาวออกไปเรื่อยๆ เพราะธรรมในพุทธศาสนาเกี่ยวเนื่องกันหมด ตามที่กล่าวแล้วเหตุเพราะจิตยังไม่หมดกิเลส ยังมีอารมณ์ปรุงแต่งอยู่ ยังติดดียังติดบุญอยู่ จึงยังฟุ้งดีอยู่เป็นธรรมดา ยังมีอารมณ์ปรารถนา ไม่อยากให้ผู้อื่นที่ยังมีปัญญาทางพุทธน้อยต้องตกนรก หรืออบายภูมิ ๔ โดยไม่จำเป็นเพราะจิตมีสภาวะรู้กับเร็ว ให้เขารู้อย่างไรจนชิน (จิตเป็นฌาน)จิตเขาก็เร็วไปตามนั้น จิตเกาะบุญเกาะความดีก็ไปดีสู่สุคติ จิตเกาะบาป เกาะความชั่ว ก็ไปชั่วสู่ทุคติ จิตเกาะแมว เกาะหมา ก็ไปเกิดเป็นหมา เป็นแมว จิตเกาะพระพุทธเจ้า เกาะหลวงพ่อฤๅษี ก็ไปอยู่กับพระพุทธเจ้ากับหลวงพ่อฤๅษี 
ให้ผู้อ่านบทความนี้แล้วนำไปคิดพิจารณาด้วยปัญญาของตนให้ดีๆ กรรมใครกรรมมัน ผมมีความปรารถนาดีต่อทุก ๆ คน ให้ใช้ธรรมจากกาลามสูตรที่พระองค์ทรงตรัส(สอนเดียรถีย์สองคน ซึ่งมาขอให้พระองค์ตัดสินปัญหาให้กับพวกเขา) ไว้เป็นหลักพิจารณา เนื่องจากบทความนี้ผู้เขียนยังไม่จบกิจในพระพุทธศาสนา ย่อมยังมีกิเลส ตัณหา อุปาทาน และอกุศลกรรมอยู่เป็นธรรมดา (แต่หากเป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว ก็ให้เชื่อได้เลยโดยไม่ต้องสงสัย) ส่วนหลัก ๑๐ ข้อในกาลามสูตรนั้น พระองค์ทรงแนะให้ใช้สำหรับผู้ที่ยังไม่จบกิจในการตัดกิเลสหรือพวกนอกศาสนา ซึ่งก็คือเดียรถีย์นั่นเอง
เช่น สอนธรรมทางพุทธศาสนาว่า นรกสวรรค์ไม่มีหรอก พรหมเทวดาไม่มี คนตายแล้วไม่เกิดหรือนิพพานก็สูญ ซึ่งเป็นการสอนตรงกันข้ามกับพระพุทธเจ้าโดยตรง ๑๐๐% ฟังแล้วควรใช้หลัก ๑๐ ข้อในกาลามสูตร เป็นหลักสำคัญในการตัดสิน เพราะเขาค้านคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าโดยตรง ผมจึงต้องขออาราธนาบารมีของพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ขอให้ท่านผู้อ่านบทความนี้แล้ว จงโชคดีพ้นนรกได้ในชาติปัจจุบันนี้ด้วยกันทุกๆท่านเทอญ

หมายเหตุ

เพื่อให้ผู้ศรัทธาในบทความนี้เข้าใจดียิ่งขึ้น ผมขอแนะนำให้ท่านอ่านคิริมานนทสูตรฉบับพกพา ซึ่งมีผู้ศรัทธาหลายท่านพิมพ์แจกไปแล้ว ประมาณสี่หมื่นเล่ม ทรงตรัสสอนโดยสมเด็จพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ซึ่งมีหลักคำสอนง่ายๆ ๑๐ ข้อ แล้วท่านจะเข้าใจดีและหมดสงสัยเรื่องนรก สวรรค์ นิพพาน ตายแล้วต้องเกิดตามกฎของกรรมที่ตนเป็นผู้กระทำไว้ วิธีหนีกรรม หนีหรือพ้นจากกฎของไตรลักษณ์ตามลำดับ จนเข้าสู่แดนพระนิพพาน ตรัสสอนไว้ชี้แนะวิธีไว้ชัดเจน ส่วนการปฏิบัติเพื่อให้เกิดผล อยู่ที่ความเพียรของพวกเราเอง ผู้มีปัญญา ย่อมใช้เวลาทุกนาทีให้เกิดประโยชน์ ไม่ประมาทในความตาย เช่น การจราจรติดขัดมาก ก็ภาวนาพุทโธ กำหนดรู้ลมหายใจเข้า-ออก สวดมนต์ในใจตลอดทาง ยกเอาพระธรรมบทใดบทหนึ่งขึ้นมาพิจารณาให้เกิดปัญญา หรือเอาธรรมฉบับพกพาขึ้นมาอ่าน เพราะธรรมภายนอกไม่สามารถจะแก้ไขได้ ทรงให้แก้ที่ตนเองอันเป็นธรรมภายใน เป็นการฝึกจิตให้สู่อารมณ์พระนิพพานโดยตรง ขอให้ผู้อ่านแล้วนำไปปฏิบัติอย่างจริงจังจงโชคดีทุกคน

คัดลอกจาก…. หนังสือ“ธรรมนำไปสู่ความหลุดพ้น” เล่ม ๓
รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน 

by admin admin ไม่มีความเห็น

ตอนที่ 44

มโนมยิทธิเต็มกำลังของผม

สวัสดีพี่น้องชาวอโยธยาศรีรามเทพนครทุกท่าน  วันนี้วันดี 9/12/2555 เออนะมันต้องวันดีค่อยมาเล่า  ความจริงขี้เกียจเสียมากกว่า  เรื่องเล่ามันมีมากแต่เล่าไปก็เท่านั้น  นานๆเล่าทีก็ดีเหมือนกัน  มาเข้าเรื่องก็เลย  เมื่อวันที่ 8ธันวาคม เป็นอีกครั้งที่ผมไปฝึกมโนมยิทธิ  จริงๆมันแปลกว่ามั้ยเพราะปกติสอนชาวบ้านแต่วันนี้มาฝึกเอง  ที่มาฝึกก็เพราะผมเคยมาฝึกเมื่อปลายปี53 แต่ตอนนั้นไม่ได้เรื่องได้ราว  มีแต่เสียงคนแหกปากร้องโหยหวน  จบกัน  มันก็ไม่ได้ละซิ  

ส่วนปีที่แล้วน้ำท่วมผมเลยไม่ได้มา  กาลนี้ผมไปล่วงหน้าหนึ่งวัน ไปปรับตัวปรับใจ  ฟังพ่อเทศน์ตลอดทั้งคืน  จับลม ไอ้ลมนี่จะจับคงไม่ได้เดี๋ยวคนไม่รู้จะงง  จับลมก็หมายถึงจับลมหายใจ  ว่าเวลานี้หายใจเข้าหรือหายใจออก  รวมความว่าคืนวันก่อนฝึกนอนซะเกือบตีหนึ่ง  ตื่นมา 7โมง ก็เปิดเสียงพ่อต่อ  หลายท่านคงอยากรู้ว่าผมฟังเรื่องไหน  ผมฟังการฝึกมโนมยิทธิเต็มกำลัง  ฟังซ้ำไปซ้ำมา  จับใจความสำคัญแล้วจำ

เช้านี้ผมมากราบหลวงพ่อที่วิหาร  กราบพระทำสังฆทาน  วันนี้ผมตั้งใจจะไปนั่งหน้าๆเพราะคราวก่อนนั้งด้านหลังรู้สึกไกลพระ  น่ะว่าไปนั่น เออมันจะนั่งหน้านั่งหลังความจริงหาสำคัญไม่  แต่ผมมันประเภทชอบข้างหน้า  เลยล่อเสียหน้าสุด  ระหว่ารอเวลาด้วยความที่คราวก่อนนั้นผมฝึกไม่ได้เพราะเสียงกรีดร้องของชาวบ้าน   คราวนี้ผมจึงเอาหูฟังยัดใส่หูเปิดเสียงพ่อไปด้วย  มองดูไปรอบๆ  เห็นเค้าว่าที่นี่เทวดาแยะ  แหมจริงๆนะเยอะแยะ  เต็มศาลา    ระหว่างรอหลวงพี่อาจิน ท่านก็อธิบายความไปเรื่อยไอ้ผมก็ฟังพ่อด้วยฟังหลวงพี่ด้วย  นะมันเอาจริงเห็มมั้ย  

พอได้เวลาหลวงพี่นัน ท่านก็จุดธูปเทียนบูชาพระ ตามด้วยชุมนุมเทวดา  ต่อด้วยสมาทานศีล และสมาทานพระกรรมฐาน  จากนั้นก็เปิดเสียงหลวงพ่ออธิบายความการฝึกมโนมยิทธิแบบเต็มกำลัง  แหมเป็นเทปม้วนเดียวกับที่ผมฟังอยู่ก่อนหน้านี้  ผมเลยปิดของผม  แล้วตั้งใจฟังเสียงท่านทางลำโพงวัด  ฟังไปจำไปตั้งใจสุดๆ  แต่ก็คิดเหมือนกันว่าอีกชั่วโมงข้างหน้าก็จะรู้แล้วว่าเราฝึกได้หรือไม่ได้  ผมว่าคนจัญไรประเภทผมนี่คงมีแต่ผมคนเดียว  ระหว่างฟังพ่อเทศน์ก็ฟุ้งซ่านคิดเรื่อยเปื่อยไป ถ้าหากอยู่ๆผมลุกขึ้นยืนแล้วตะโกนโหวกเหวก  ทำเป็นตีอกชกลมนี่จะมีใครลากผมออกไปมั้ย  เออกรรมจริงๆคิดได้

จากนั้นก็เริ่มนำแผ่นชื่อพระพุทธเจ้า5พระองค์มาปิดหน้าแล้วเริ่มภาวนาก็ว่าไปครับ นะมะพะทะ  ภาวนาไปก็จับภาพพระไป ได้ซักพักเดียวก็เริ่มมีเสียงกรีดร้องโวยวายแหกปากดังหลายจุด  เวลานี้จิตผมยังสบายมีแว็ปไปฟังเสียงบ้างกลับมาภาวนาบ้าง  ผ่านไปราว10 นาที  ก็ได้กลิ่นธูปหอม  กลิ่นธูปนี้เกิดจากครูฝึกท่านเดินถือไปรอบๆพร้อมไฟฉาย  ผมได้กลิ่มรอบแรกก็เออ  หอมดี  แล้วภาวนาต่อจากนั้นนึกถึงคำพ่อที่ว่าคนที่ได้แล้วไม่ต้องรอแสง  ให้จับพระรูปพระโฉมพระพุทธเจ้าให้แจ่มใส  ผมก็จัดไปจนองค์ท่านใสเป็นประกายพฤกระยิบระยับสวยงาม  ไม่กี่อึดใจกลิ่นธูปแตะจมูกอีกรอบครับคราวนี้ตัวผมสั่นแสงมาผมก็พุ่งไปตามแสง  แหมอีคราวนี้ไปได้ซะทีรอมานานและ  กายในผมไปโผล่ที่ลานหน้าพระจุฬามณี  มีพระสงฆ์ยืนอยู่เบื้องหน้าครับ  ผมก้มลงกราบแล้วมองท่าน  ผมเห็นท่านแล้วปีติมากมายครับ  กราบท่านมองท่านแล้วท่านถามผมว่าจะไปไหนดีล่ะ  นั่นสิไปไหนดีก็บอกท่านครับว่าไปในพระจุฬามณีก่อน  ท่านเดินนำผมเข้าไปครับเข้ามาข้างในผมก็กราบพระกราบพระเขี้ยวแก้วและมวยผม  และกราบเหล่าท่านทั้งหลายที่อยู่ในพระจุฬามณี ได้ยินเสียงคนคุยกันว่าเอกะมาๆ  ไอ้เราก็คิดว่าเออรู้จักกันด้วยรึ  แต่ไม่เห็นมีใครเข้ามาหา   มันไม่เชื่อก็ต้องเชื่อครับว่าชัดจริงๆผมว่าชัดเจนมากภาพสว่างโพลงเห็นไกลขึ้น  จากนั้นผมไปที่แท่นบัณฑุกัมพล  พบท่านปู่ท่านย่า  พอเจอท่านปู่เท่านั้นแหละร้องไห้จะเป็นจะตาย  ปกติไม่เป็น  มองหน้าท่านกอดขาท่านแน่นจากนั้นก็หันไปกราบท่านย่า  มองหน้าท่านแล้วโวยวาย  นั่นผมเอาเข้าแล้ว  ไอ้กายในผมมันบ่นกับท่านย่าว่าท่านย่าไม่รักผมๆ  แหมนะท่าจะเพี้ยนไอ้นี่  ท่านย่ามองตาผมแล้วโอบเข้ากอดพร้อมบอกว่ารักซิลูกทำไมจะไม่รัก  เวลานี้กายในผมกอดเอวท่านย่าแน่นท่านลูบหัวผมก็พูดซ้ำคำเดิมครับแหมร้องไห้เป็นเด็กเลย  มันแปลกจริงๆครับปกติไม่ร้องไห้แต่คราวนี้ร้องไห้เมื่อพบท่านปู่ท่านย่า   ภาพที่เห็นนี่ชัดเจนแจ่มใสมาก  เห็นแม้กระทั่งเทวดาเดินไปเดินมาบริเวณรอบๆ  กราบท่านปู่ท่านย่าเสร็จผมก็เชิญท่านผู้มีพระคุณมาแล้วกราบท่าน  ช่วงเวลานี้จิตมันสุขมันปีติจริงๆ

กราบทุกท่านเรียบร้อยผมก็ทูลขอพระจะขึ้นไปกราบสมเด็จองค์ปัจจุบัน  ท่านยิ้มน้อยๆแล้วก็มาโผล่ที่หน้าวิมานพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน  ผมยังอยู่ในท่านั่งคุกเข่าพนมมือ พระท่านยืนข้างๆ  มองเห็นรั้วหน้าวิมานเป็นแก้วใสสูงประมาณเอวได้วิมานพระท่านใหญ่โตสวยงามมาก  ผมลูกขึ้นแล้วเดินตามพระไปข้างใน  เห็นพระองค์ทรงประทับนั่งอยู่วันนี้คนมาหาท่านเยอะผมคลานเข้าไปกราบท่านเห็นท่านสนทนากันอยู่เจอพระอานนท์ พระโมกคลา ท่านนั่งอยู่ผมก็เข้าไปกราบท่านพระพุทธเจ้าท่านมองผมแล้วแย้มพระโอษฐ์ถามผมว่าจะรีบไปไหน  แหนะผมยังไม่ทันกราบลาเลยท่านรู้ว่าผมจะรีบไป  ความจริงก็จะรีบไปนั่นแหละเพราะคนเยอะแล้วเกรงๆ  พอท่านท่านก็เลยต้องอยุดนั่งอยู่ก่อนฟังท่านพูด  ซักพักผมก็กราบลาท่านบอกท่านว่าจะไปกราบท่านพ่อซักหน่อย  ท่านพยักหน้ารับผมก็ไปโผล่ที่หน้าวิมานท่านพ่อ  เจอท่านพ่อก็โผลงก้มกราบท่าน ท่านจับไหล่ผมให้ลุกขึ้นยืนแล้วกอดผม  ท่านบอกเดี๋ยวนี้มาไม่นานแป๊บๆจะไปยังไม่ทันได้คุย มันเป็นยังไงฮึ  นั่นเอาแล้วโดนเข้าแล้วหันมาทางขวาเจอท่านแม่  ท่านมาทั้งสามเลยกราบเรียบ คุยกับท่านพักนึงก็ขอไปวิมานตัวเอง  ผมมาโผล่หน้าวิมานก็เดินข้ามสระน้ำเหลือบไปมองริมสระด้านซ้ายเห็นเจดีย์ใหญ่อยู่สามหลังยอดสูงสวยงามมาก  ผมเข้ามานั่งข้างในพระท่านมาด้วยท่านนั่งทางขวามือท่านมีแทนของท่านแต่พระที่มาไม่ใช่พระรูปเดิมพระรูปนี้ท่านเป็นพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน  ท่านมาสอนหลายเรื่อง แต่เรื่องที่ท่านสอนแล้วทำทันทีคือเรื่องแผ่เมตตา  ผมถามท่านว่าเวลานี้มีญาติพี่น้องผมอยู่ในนรกมีมั้ยท่านบอกอันนี้ต้องไปถามท่านพยายมราช  ท่านตรัสจบก็มาโผล่ที่สำนักท่านพยายมราช   แหมปกติท่านลุงไม่ใส่ชฏาวันนี้ท่านล่อเสียเต็มยศ  สวยงามหนุ่มหล่อเชียว  ยังไม่ทันถามท่านลุงท่านก็ตอบว่าญาติเธอน่ะมีในนรกแต่เธอช่วยอะไรพวกเขาไม่ได้จนกว่าจะถึงวาระที่หมดโทษ  ผมเลยถามท่านว่าถ้าอย่างนั้นผมฝากบุญไว้ให้โมทนาได้มั้ย ท่านพยักหน้ารับ  ผมหันไปมองพระท่านก็แย้มพระโอษฐ์ ก็เลยจัดไป  ผมอาราธนาบารมีพระ และบุญกุศลที่ผมได้บำเพ็ญมาแต่อดีตจนถึงปัจจุบันและผลบุญที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต จงมารวมกัน เมื่อใดที่ญาตพี่น้องของผมถึงวาระขอให้ท่านพยายมราชจงแจ้งให้เขาโมทนาบุญนี้ด้วยเทอญ เวลานั้นมีแสงสีขาวนวลมารวมกันเป็นก้อนมากมายสีสันสวยงามมาก  ผมฝากท่านลุงไว้จากนั้นก็มาโผล่ที่วิมานพระท่านตรัสถามผมว่าเธอเคยเห็นเขตของพระนิพพานหรือยัง  ผมตอบท่านว่าผมเคยเห็นแต่ไม่ชัดเจน  ท่านเลยพาชมครับ  เวลานั้นกายในลอยออกมานอกวิมานผมเห็นคนอื่นเดินไปเดินมาเต็มไปหมดแต่ละคนมีพระมาด้วย  คงจะเป็นคนที่มาฝึกด้วยกันวันนี้  

พอขึ้นมาสูงผมก็มองดูขอบเขตพระนิพพาน  แหมมองไม่สุดครับ พระท่านว่าที่นี่ไม่มีที่สิ้นสุด สวยงามระยิบระยับครับเพชรแพรวพราวสว่างทั่วบริเวณจริงๆจากนั้นก็กลับลงมา  ด้วยความที่ผมอยากรู้ว่าปู่ทวดกับปู่ผมเวลานี้อยู่ที่ไหนก็เลยขออนุญาติพระเชิญท่านมา  ปู่ทวดมาก่อนท่านบอกว่าท่านอยู่ดุสิต  จากนั้นปู่ผมตามมา  ท่านบอกท่านอยู่จาตุ แหมทั้งสองท่านมาก็คลานมากราบพระเสียสวยงามเลย  ผมนี่นั่งยิ้มนี่ทั้งคู่เป็นมุสลิมนะเนี้ย จากนั้นก็ยายกับตาผม  ยายท่านอยู่พรหม เครื่องแต่งกายสวยมาก ส่วนตาท่านอยู่จาตุ ก็พูคุยกันอยู่พักนึง นึกขึ้นได้ว่ามีเพื่อนอีกองค์ท่านชื่อท่านจันทรเทวา  แหมนึกปุ๊บมาเลยท่านสว่างมายกายสวยผ่องมากไอ้ผมก็เตรียมก้มลงกราบ  เจอท่านทักเข้าให้ว่า เอปกติท่านไม่เคยกราบผมนะ นั่นไงเอาแล้ว แหมก็ไอ้เวลาปกติมันไม่ได้เห็นชัดขนาดนี้ ทักซะแบบนี้ไม่กราบก็ได้ท่านก็ยิ้มใหญ่

ผมมองท่านด้วยความรู้สึกที่คุ้นเคย ท่านดูเมตตามาก ผมก็นึกขึ้นได้ว่ทเคยขอให้ท่านช่วยเรื่องนึงแต่ไม่สำเร็จ ก็ถามท่านว่านี่่ท่านวันก่อนผมขอให้ท่านช่วยเรื่องนั้นทำไมท่านช่วยไม่ได้  แหมเล่มถามต่อหน้าพระกันเลยเชียว ท่านว่าคุณสิ่งที่คุณขอนั้นมันเต็มไปด้วยกิเลส  ผมจึงไม่ให้แต่ถ้าคุณขอด้วยใจอันปราศจากความอยากและมีความจำเป็นผมก็จะช่วย นั่นดูเทวดาตอบนี่ผมแทบแทรกพื้นพระนิพพานหนี  ท่านก็ยังมองผมด้วยความเมตตา แหมเจอเทวดาสอนก็น้อมรับครับ จากนั้นผมก็กราบพระแล้วกลับลงมา แต่อีตอนลงมานี่ลืมตาเร็วไปหน่อยยังลงมาไม่หมดเลยทำให้เวียนหัวเบลอๆนิดหน่อย. วันนี้เจอชาว9ทัพมากันมากมายรวมทั้งช้างเผือกก็ยินดีกับทุกคนด้วยที่มาทำความดีกันบางคนไปได้บางคนไปไม่ได้  วันนี้หลังจากไปได้ผมก็ยิ้มปีติสบายใจมาไม่เสียเที่ยวครับ.  

สำหรับวันที่ 2นั้น วันนี้ความวิตกกังวลหายไปผมวางอารมณ์ใจสบายๆคิดว่าวันนี้ไปได้ก็ดีไม่ได้ก็ไม่เป็นไร  แค่เมื่อวานก็คุ้มแล้ววันนี้เลยมีความรู้สึกไม่ตั้งใจเท่าไหร่  พอได้เวลาผมก็นั่งภาวนาเหมือนวันแรกครับแต่ที่ต่างคืออารมณ์ที่ปราศจากพรหมวิหาร4 ที่ว่าปราศจากนี่มันบังเอิญว่าอีคนที่แหกปากร้องโวยวายดันอยู่ด้านหลังใกล้ผม  แหมพ่อเจ้าประคุณเล่นแหกปากตะโกนร้องเสียงดังจนผมรำคาญ. ใจคิดเดี๋ยวกูลุกไปเตะแม่งซักป๊าบสองป๊าบเอาให้มันเงียบ

ซักพักเสียงอีสาวไหนอีกกรีดร้องดังลั่นศาลามันน่าเตะให้หลับเสียจริง. นั่นเห็นมั้ยจิตมันห่างพรหมวิหารไปมาก. ซักพักก็ตัดสินใจว่าเอาวะไหนๆมานั่งแล้วได้ไม่ได้ชั่งมัน.  เวลานี้ก็จับภาพพระเต็มอัตราจนใสเป็นประกายแพรวพราว. มาและกลิ่นธูป. พอกลิ่นธูปแตะจมูกจิตมันถูกดึงขึ้นไปทันทีครับ.  วันนี้ไม่ชัดเหมือนเมื่อวานคงเป็นเพราะอยากไปทำให้เสียงเงียบมั้ง. ขึ้นมาก็ไปกราบทุกท่านแต่ละที่. จากนั้นก็ไปนั่งที่พระนิพพานคุยกับพระ.วันนี้ไม่อยากไปไหนก็เลยดูว่าสัตว์เลี้ยงแต่ละตัวตายแล้วไปไหน. เชิญพ่อที่เป็นพรหมมาพบคุยกับท่านพักนึง. ไปกราบท่านสหัมบดีพรหม. วันนี้หลักก็คุยกับพระ. มีความรู้สึกว่าวันนี้นี่ความแจ่มใสสู้เมื่อวานไม่ได้เลย.  แต่ช่างมันครับผมว่าผมพอใจกับสิ่งที่ได้แล้วเวลานี้อยากเหาะได้หายตัวได้คงดีไม่น้อยจริงมั้ย. ไปทำงานก็นะหายตัวไปเออคงทำได้ซักวันไม่รู้เมื่อไหร่ 

สำหรับท่านที่ฝึกใหม่ก็อย่าไปท้อถอยครับพยายามต่อไปเพราะอะไรก็เพราะมันไม่ใช่ของง่ายแล้วก็ไม่ยาก. ผมทำได้ท่านก็ทำได้ไม่ยากครับ. หลายคนเล่าให้ผมฟังว่าทำไมไปไม่ได้แบบเต็มกำลัง. อย่าลืมนะเต็มกำลังนี่ไปด้วยกำลังของฌาน4 การที่ผมจับภาพพระใสเป็นประกายพฤกนั่นแหละกำลังของฌาน4ในอาโลกสิณ. ก็ขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านมุ่งมั่นต่อไปเอาวิชาพระพุทธเจ้ามาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด. ออมีเรื่องอยากบอกอีกนิดอันนี้อยากบอกไปอย่างงั้นแหละไม่ได้อวดหรือโชว์. คือผมไม่ดื่มเหล้ามาจะครบ2ปีแล้วครับ55555555.   วันนี้ก็ขอจบเรื่องเล่าไว้แต่เพียงเท่านี้สุดท้ายนี้ขออ้างคุณพระรัตนตรัยและเหล่าเทวดาพรหม จงอวยชัยให้พรแด่ท่านผู้อ่านให้พบความทุกข์น้อยลงเจริญด้วยอริยทรัพย์. เงินทองไหลมาเทมา เจริญในหน้าที่การงาน สุขภาพแข็งแรง มีความสุขกายสุขใจตลอดปีใหม่นี้ด้วยเทอญ…สวัสดีปีใหม่ครับ

Top