Author: admin

by admin admin ไม่มีความเห็น

ตอน 38

สวัสดีครับ…บางคนในทริปยังไม่มาเล่าก็ไม่เป็นไรแต่คิดว่าหลายท่านคงอยากอ่าน เอถ้าอยากอ่านจะไม่ได้อ่าน สโลแกนช้างเผือกครับ แต่สโลแกน9ทัพนี่เด็ดกว่าไม่แพ้กัน

คำว่าทำไม่ได้ไม่มีในเรา และก็เป็นเช่นนั้นครับ ก่อนอื่นขอกราบพระพุทธเจ้าที่พระองค์ทรงเมตตาผมและสงเคราะห์ผม กราบท่านพ่อที่คัดสรรผู้เกี่ยวเนื่องมาให้ผมฝึก กราบพระศรีอาร์นที่ท่านร่วมสงเคราะห์ลูกหลานบริวารแห่งท่านพ่อ และของท่านที่ท่านจัดสรรมา แหมแต่คนที่ท่านจัดสรรนี่เล่นเอาเกือบตายแหละ

ทริปนี้เป็นครั้งที่3 หากรวมทุกครั้งและครั้งนี้บอกตรงๆว่าคนมามากกว่าทุกครั้งและผมเกรงว่าจะไม่รอด อีกใจนึงคิดว่าเอาอยู่ หากบางท่านบอกเอาอยู่นี่คงต้องหนีกันได้แล้ว แต่เอาอยู่ของผมนี่เอาอยู่คือเอาอยู่จริงๆครับ อ้าวเกือบไปและที่ขาดไม่ได้กราบขอบพระคุณอ.ชนะ และอ.วิ ที่เมตตาสงเคราะห์ ดูแลพวกเราเป็นอย่างดี และลืมเสียสนิทต้องกราบขอขมาอ.ชนะที่วันนั้นแหมท่านป่วยแต่ผมแกมบังคับกระมังรบกวนท่านสอนญาน8 และท่านก็เมตตาสงเคราะห์เป็นอย่างดี กราบขอขมามา ณ ที่นี้ด้วยครับ

วันนั้นขลุกขลักเรื่องรถตู้นิดหน่อย แต่ก็แก้ปัญหาได้ทันจึงทำให้กำหนดการเราคลาดเคลื่อนโดยผมหมายใจจะให้ฝึกช่วงเช้าซักรอบ และจัดเต็มช่วงบ่ายกะช่วงค่ำ เอาแบบเข็มข้น แต่ไม่ได้ดังต้องการ เช้าวันนั้นพวกเราแวะกินข้าวกันที่ประสาททองแถวประตู้น้ำพระอินทร์ พอมาถึงผมก็เริ่มสแกนครับแหมดูแล้วผมเอาอยู่หมดยกเว้นนึงคน วันนั้นหนุ่มผู้นี้เดินมาพร้อมพลังฌานแก่กล้าแบบสัมผัสได้ถึงบารมีปู่ฤาษีแหมผมก็ทักทายน้องเขาเป็นพิเศษกว่าคนอื่น หลังจากซัดมื้อเช้ามื้อเที่ยงมือเดียวกันเสร็จ มาถึงศูนยราว11.30 แหมมาถึงก็ให้จัดแจงแหละครับจัดโต๊ะเก้าอี้สำหรับกินมื้อเย็น ลงทะเบียนแจกป้ายชื่อ และพูดคุยเบื้องต้น จากนั้นก็สวดมนต์ สมาทานศีล สมาทานพระกรรมฐานกัน เตรียมรับยันต์เกราะเพชร เมื่อเสร็จสิ้นพิธีการก็เริ่มปฐมนิเทศโดย อ.ชนะ จากนั้นก็ลุยรอบแรกกันเลยครับ

รอบนี้ ผมไม่ได้ฝึกให้ใครแต่คอยควบคุมครูฝึกหนุ่มน้อยคนใหม่เวลานี้เรียกท่านนี้ว่าครูโต๊ดก็คงไม่มีใครค้านแหละครับ กับควบคุมการฝึกของครูส้มที่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ออกสนามรบศึก9ทัพ การฝึกดำเนินไปได้ด้วยดีในวงของครูส้ม แต่ครูโต๊ดนี่สิเจอของแข็งเข้าให้ทั้งพ่อหนุ่มศิษย์ฤาษี กับคุณยายวัย82 เท่านั้นยังไม่พอยังเจอน้องท่านนึงที่ปรามาสพระอีก แหมปราบเซียนครับ ผมเลยบอกว่าใครไปได้ให้

พาไปก่อนเลย สรุปไปๆมาก็ไปได้ไม่กี่คนไปไม่ได้ร่วมสิบคน ก็ไม่เป็นไรนี่เพิ่งรอบแรก รอบแรกจบนี่ล่อไป4โมงครึ่งได้จากนั้นก็พักผ่อนรอทานมื้อเย็นจัดแจงเครื่องนอนครับ แหมให้ใครไปอาบน้ำนี่แทบไม่มีใครอยากจะอาบซักคนแต่ละคนตื่นเต้นพูดคุยจับกลุ่มกันส่วนผมเดินไปเดินมาบ่นไรไปเรื่อยเปื่อย พอได้เวลาราวๆทุ่มเศษก็สวนมนต์ทำวัตรเย็นครับนำโดยอ.วิ แหมพอดีตอนนั้นผมไม่ได้เข้าไปสวดด้วยมัวแต่จัดแจงแผ่นดวงที่เราจะนำไปไว้ใต้ฐานพระสมเด็จองค์ปฐมข้างบนวิหาร จากนั้นราวสองทุ่มเศษมีพระคุณเจ้าจากวัดพระบาทท่านมาแหมเป็นครั้งแรกที่สนทนากับพระแบบว่าจะชิ่งก็ไม่ได้ เพราะผมคุยกับพระไม่เป็นเดี๋ยวเกินไปใช้ศัพย์แปลกขึ้นมาท่านอาจงงได้ว่าไอ้หมอนี่มาจากโลกไหนเลยชิงบอกท่านก่อนแหมท่านคุยสนุกผมก็ฟังเพลินครับจนอ.วิ ท่านนำสวดเสร็จแล้วผมก็นิมนต์ท่านเทศน์ต่อจากนั้นตามด้วยถวายสังฆทาน ยาวจนมาถึงราวสี่ทุ่มครับผมให้ทำภาระกิจส่วนตัวกันหนึ่งชั่วโมงและจะต่อด้วยฝึกพิเศษยามค่ำคืนที่ทุกคนรอคอย ระหว่างรอเพื่อไม่ให้เสียเวลาก็โซโล่กันเลยเริ่มจากลูกชายสุดรักของพี่โอ๋ เจอครูส้มจัดไปจนไปได้แหละครับ ผมเริ่มเล็งเห็นว่ามีคุณยายท่านมานั่งรออยู่ครับท่านอยากให้ผมสงเคราะห์รอไปรอมาอ้าวไหนนอนไปซะได้ ใจท่านเกินร้อยครับผมคงต้องจัดเต็ม ช่วงนั้นราว5ทุ่มได้แหมอากาศอบอุ่นเกินจนตัวเหนี่ยวแหละครับ เลยย้ายมานั่งข้างนอกเตรียมลุยแบบชิวๆ นั้งกินไปคุยไป จากนั้นแหมรุ่นหนึ่งเขามีการจัดทำเสื้อศึก9ทัพ ก็ขายก็ไม่แพงครับทุน150ขาย250บาทกำไรร้อยบาท ยกให้ศูนย์พุทธศรัทธา ได้บุญกันไปก็ใส่โชว์กันหน่อย

จากนั้นก็ถึงช่วงที่ทุกคนรอคอยครับทุกคนอยากดูภาพ4มิติครับผมก็จัดเต็มครับ แสดงภาพเมืองอโยธยาศรีรามเทพนครขึ้นมาไว้บนโต๊ะ เคยทำแบบนี้มาแล้วตอนไปเชียงใหม่คราวนี้ผมจัดเต็มกว่าเชียงใหม่ครับไม่เอาแค่เมือง แต่เอาแบบมีคนเดินไปเดินมา มีการละเล่น มีตลาด มีการเคลื่อนไหวของคนด้วย แหมก็เห็นกันหลายคนครับหมุนได้ด้วย เพลินกันไปสำหรับคนเห็นใครไม่เห็นก็อดเห็นกันไปเพราะการแสดงภาพแบบนี้ใช้พลังมากพอสมควร จากนั้นก็เล่าความเป็นมาของ9ทัพสมัยพวกพม่ารามัญยกทัพมารังแกเรา ต่อด้วยการย้อนอดีตเล่าเรื่องราวประวัติของหลวงพ่อ ความเป็นมาของเรื่องราวในอดีต แหมมันเป็นไฮไลท์แหละครับไม่มีใครไม่มันส์ จากนั้นต่อด้วยการให้ดูอดีตชาติของผมและให้ดูชื่อที่พระท่านเรียกผม เป็นการดวลกันระหว่างรุ่นหนึ่งกับรุ่น2 มันส์ครับ แต่ไม่เสียแรงรุ่น2เราได้ดาวประจำรุ่นครับไม่ใช่ใครที่ไหน น้องแอร์ครับเป็นอีกท่านที่บอกชื่อผมได้ถูกต้องแบบบอกทีละคำเรียงไปเรียงมา เร้าใจมากครับ จากนั้นก็ต่อด้วยการเล่าเรื่องตัวเองและความก้าวหน้าในการปฏิบัติ รวมถึงความสามารถพิเศษสุดของผมเกี่ยวกับเจโต เล่าไปเล่ามาเลยสอนซะด้วยเลยครับ แหมทุกคนในคืนนั้นสนุกสนานกันมากจากนั้นผมเล็งเห็นแล้วว่าหากเพลิดเพลินกันต่อไปจะไม่ได้นอนกันเป็นแน่เพราะอีกชั่วโมงครึ่งก็จะตี4 และจะต้องมาสวดมนต์เช้ากันก็ปล่อยให้ไปนอนกันครับเสียดายที่เวลาน้อยเลยขาดช่วงอับดุลไป ช่วงอับดุลนี่พวกช้างเผือกรู้จักดีครับอับดุลเอ้ย ถามไรตอบได้ นั้นเอาเข้านั้น แหมมันส์ครับเสียดายเวลาน้อยไม่งั้นยาวผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพวกช้างเผือกฝึกกันตั้งแต่3ทุ่มยันตี4 มันไม่นอนเพราะอับดุลนี่แหละครับ เออทริป3นี่ยังไม่แน่นะจะได้เจออับดุลมั้ย พอแยกย้ายกันเข้านอนก็มีน้องท่านนึงมันคงจะคึกจัดมานั่งถามอับดุลกะผมยาวยันตี4ใครนอนไม่หลับมันก็ทยอยมานั่งกะผมยันแจ้งไก่ขันเออ ไก่ที่นี่แปลกตี2ครึ่งขันและครับ จนเค้าสวดมนต์กันผมถึงได้แวปไปอาบน้ำและมาคุยกะรุ่นบุกเบิกในครัว

เวลานี้ผมตรงทรงฌานตลอดเพราะไม่งั้นง่วงครับการทรงฌานนี่ดีครับไม่ง่วง ไม่ปวดฉี่ แหมจนชาวครัวเข้าบอกน้องบอลเอาแรงมาจากไหนทำไมคึกจัง แหมคึกจริงๆครับแรงยังเหลือเฟือ จากนั้นทานอาหารเช้ากันครับและเดินทางไปวัดพระพุทธบาทกลับมาราว10.30 ก็มาเก็บตกคนที่ยังไม่ได้แหละครับ ช่วงนี้เป็นอีกช่วงที่ระทึกครับ ผมยังไม่เคยเจอคนที่ฝึกแล้วไปไม่ได้เกิน2คนเลยและคราวนี้เจอ6คนหากจำไม่ผิดก็คงจะต้องตายกันไปข้างนึง ทีมเสบียงก็เริ่มจัดแจงแบรนด์มาโด๊ปละครับ บอกตามตรงว่าวิธีพิเศษนี่ไม่จำเป็นไม่เกี่ยวเนื่องผมไม่ทำจริงๆครับ

ไม่อยากจะเล่ามากในเรื่องฤทธิ์เรื่องอัศจรรย์ แต่แหมนะมันอดไม่ได้เพราะพวกท่านมันชอบอีแบบนี้ ก็ต้องเล่ากันนิดหากใครเคยโดนชาร์จแบตคงเข้าใจครับ มีหลายคนที่ผมดึงจิตขึ้นไปด้วยบารมีพระแหมชักโม้ๆและโม้ไม่โม้ดูรูปที่ลงแล้วกันครับว่ามันดึงจริงมั้ยกล้องที่ถ่ายเป็นกล้องคนละตัวแต่ภาพออกมาจะคล้ายๆกันที่บริเวณมือครับ ไอ้วิธีนี้ปกติใช้แค่คนสองคนคราวนี่ล่อไป5-6คน มันส์คนดูแหละครับคนทำไม่มันส์ เหนื่อยแทบขาดใจครับ ภาพมีอีกในเฟสบุคก็ไปดูกันได้ครับ เออไปกันจนหมดเหลือพ่อหนุ่มคนเดียวแหมพ่อหนุ่มคนนี้แก่มากไปด้วยแรงครูปู่ฤาษีเล่นเอาครูโต๊ดกะครูส้มไม่กล้าฝึกให้ ซวยผมแหละครับก็ต้องเจรจากับท่านฤาษีกันหน่อยคุยไปคุยมาท่าจะไม่รู้เรื่องแหละครับ

เลยพักยกออกมาคุยกับอาจารย์ว่าเอาไงดีเหลือคนเดียวแต่ผมตัดสินใจกลับไปลุยอีกทีครับคราวนี่ได้ก็ดีไม่ได้ก็ช่างผมเริ่มเจรจากับญานท่านฤาษีท่านนี้ แหมท่านเมตตาครับแต่ท่านดุ คุยไปคุยมาชักไม่รู้เรื่องแหมผมเลยถามพ่อหนุ่มว่าตัดสินใจเด็ดขาดหรือยังว่าจะไม่กลับมาเกิดอีกพ่อหนุ่มนี่ตอบดังฟังชัดครับผมเลยจัดเต็ม ครับชาร์จแบตชุดใหญ่ต่อด้วยนำลาพุทธภูมิและอัดกระแสเมตตาแผ่ให้อีกยก เรียกว่าชุดใหญ่เล่นซะพ่อหนุ่มต่อมน้ำตาแตกร้องห่มร้องไห้ ขอบอกว่าผมไม่ได้ไปแกล้งอะไรมันนะ จากนั้นผมก็คุยกะฤาษีท่านนั้นใหม่ครับว่า ผมเคารพท่านและสิ่งที่ผมสอนเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านสอน สำหรับผมไม่มีฤาษีไหนใน3โลกนี้จะหยุดผมได้และผมเป็นลูกฤาษีลิงดำ ผมจะนำน้องไปให้ได้ เออเอาแล้วแหมเล่นบทหนัก จากนั้นผมก็อัดแผ่เมตตาอีกชุดใส่พ่อหนุ่มและเจ้าเวรนายกรรม เวลานั้นเที่ยงเศษก็เลยบอกว่าให้ไปกินข้าวก่อนเดี๋ยวต่อตอนบ่าย ระหว่างเดินไปกินข้าวพ่อเจ้าประคุณนี้ร้องใหญ่เอาเออร้องไปอยากร้องร้องไป พอมาช่วงบ่ายแหมพ่อหนุ่มท่านนี้ก็ไปได้และครับ เล่นเอาหมดแรงช่วงบ่ายนี่ไม่มีอะไรมากครับฝึกตามปกติจากนั้นราว4โมงเย็นก็ได้น้ำแผ่นดวงไปไว้ใต้ฐานพระกันและก็มาต่อด้วยการชาร์จแบตแหมหลายคนชอบกันจัง ก็เลยจัดให้ทุกคนครับก็เล่นเอาเหนื่อยล่ะครับ ได้เวลาก็ร่ำลากันผมก็หมดสภาพไปแต่ใจเต็มไปด้วยความปลาบปลื้มที่ทุกท่านมาด้วยจิตอันเป็นกุศล มาแล้วไม่เสียเวลาเปล่าได้อะไรหลายๆอย่างกลับไป

วันนี้ก็ขอจบแต่เพียงเท่านี้ครับ…สวัสดี

เมื่อวานนี้, 10:54 PM, P. 182

by admin admin ไม่มีความเห็น

ยกศาลพระภูมิ

คราวนี้มาว่ากันถึงการยกศาลพระภูมิดีตรงไหน นี่อาตมาขอสนับสนุนว่าดีจริง ๆ แต่ท่านยกแล้วท่านต้องทำให้ถูกดีนะมันถึงจะได้ดี ถ้าหากว่าท่านทำไปแล้วไม่ชนดี มันก็ไม่พบดีเหมือนกัน การจะชนดีจะพบดีจะถึงดีเอากันยังไง ว่ากันตอนนี้ เมื่อยกศาลพระภูมิขึ้นมาแล้ว ควรบูชาทุกวัน


ถ้าจะมีกล้วย อ้อย น้ำท่าบ้างก็ตามอัธยาศัย ขนมนมเนยอะไรก็ตาม ให้เป้นไปตามอัธยาศัยของท่าน เวลาบูชาเทวดาจุดธูปกี่ดอก พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนไว้ ที่เขามาโมเมกันในตอนหลัง ว่าจุดบูชาผีเท่านั้นดอก บูชาพระเท่านั้นดอก บูชาครูบาอาจารย์เท่านี้ดอก นี่มันเรื่องของคนที่คิดขึ้นทีหลัง จะจุดธูปเทียนกี่ดอกตามใจท่าน ท่านจะจุดเท่าไรก็ตามไม่เป็นไร


ที่นี้ตอนบูชา บูชาแบบไหน ถ้าเราไปนั่งบูชาบอกภุมเทวดาเจ้าคะเจ้าขากรุณาฉันเถิด เวลานี้ที่บ้านฉันเกิดไม่ดีขึ้นแล้ว ผัวออกนอกบ้าน เมียนอกใจ คนใช้ว่าไม่นอนสอนไม่ได้ ขอให้เทวดาช่วยกำจัดให้ด้วย ไปตามผัวให้ที ไปตามเมียให้ที หรือว่าเวลานี้ฉันอยากจะถูกหวยรวยโป อยากจะค้าขายให้มันรวย ถ้าบูชาแบบนี้ไม่เป็นเรื่องแล้ว ไม่ใช่บูชา กลายเป็นเอาเทวดาเป็นคนรับใช้ไป ไม่ถูก แบบนี้ไม่ถูก
การบูชาเขาต้องบูชาแบบนี้ คำว่าบูชาแปลว่ายอมรับนับถือ ก็หมายความว่าเรายอมรับนับถือความดีของท่านภุมเทวดา คิดว่านี่ท่านจะเป็นเทวดาขึ้นมาได้ มีเครื่องทิพย์บริโภค มีร่างกายทิพย์ มีวิมานเป็นที่อยู่เป็นทิพย์


เวลานี้เรายกศาลข้น ความจริงท่านไม่ได้มาอยู่ที่ศาลของเราศาลนี่..เดิมทีสมัยโบราณ เขามีไม้กระบอกปักไว้กลางแจ้ง เวลาจะบูชาก็เอาธูปเทียนไปปักที่กระบอก ต่อมาเห็นว่าถ้าจะมีอะไรให้บ้างก็ไม่มีที่จะวาง ก็ทำศาลเพียงตา ทำเป็นศาล 2 ชั้น คิดว่าเทวดาท่านนั่งชั้นบน แล้วเอาของว่างชั้นล่าง ท่านก็เอื้อมมาหยิบกิน ต่อมาเมื่อฝนตกแดดออกจึกสงสารเทวดาขึ้นมาก็เลยเอาร่มไปกางให้ ทีหลังเห็นว่าท่านั้นไม่เหมาะ ก็เลยเอาใหม่ทำบ้านให้มีหลังคา มีฝาครอบ นี่เป็นเรื่องของเราเอง


มาสมัยนี้เลยมีตึกมีปราสาท รู้สึกว่าเทวดามีวาสนาบารมีมากขึ้นหน่อย อย่างนี้จะทำแบบไหนก็ตาม เทวดาท่านไม่ได้ขึ้นอยู่ วิมานของท่านมี แต่การทำแบบนี้เป็นการยอมรับนับถือซึ่งกันและกันเป็นการบูชาความดี อย่ามานึกว่าท่านมาอยู่บนศาลนะ ไม่ใช่ยังงั้นศาลเล็กจุนจู๋แค่นั้นท่านต้องขดตัวเข้าไปนอนเห็นจะไม่ไหว ภุมเทวดมีร่างกายใหญ่โตกว่าคนมาก
เป็นอันว่าการบูชา ถ้าจะบูชาให้ถูกเขาบูชากันแบบนี้ จำได้แล้วใช่ไหม คำว่าบูชาแปลว่ายอมรับนับถือ

ตานี้เรามานับถือท่านตรงไหนล่ะ ยอมรับนับถือตอนที่ท่านมีความดี คือว่าก่อนที่ท่านจะเป็นเทวดาท่านมี หิริ และ โอตตัปปะ หมายความว่ามีความอายความชั่ว กลัวผลของความชั่วจะให้โทษเป็นทุกข์ ก็เลยไม่ทำความชั่วเสียเลยทั้งในที่ลับและในที่แจ้ง เมื่อท่านไม่ทำความชั่วก็เลยไปเกิดเป้นเทวดาชั้นี้ เป็นเหตุให้พวกเราบูชากัน


แม้แต่หน่วยราชการเขาก็ยกศาล วัดที่มีความรู้เขาก็ยกศาลเหมือนกัน วัดที่มีพระได้ฌานสมาบัติ บางท่านเป็นพระอริยเจ้า ท่านก็ยกศาลเหมือนกัน แต่ยกเป็นศาลใหญ่ไม่ใช่ศาลเล็ก ๆ ท่านยกทำไม ท่านยกเป็นการประกาศความดีของเทวดา สำหรับท่านที่ได้ฌานสมาบัติได้ทิพจักขุญาณทำมากเพราะอะไร เพราะท่านพวกนี้ท่านเห็นจริง ๆ เห็นผลความดีของท่านพวกนี้


เมื่อยกศาลขึ้นแล้ว พอมองเห็นศาลก็นึกว่าท่านพวกนี้ ท่านทำความดีไว้ก่อน ตายแล้วจึงได้เป็นเทวดา ท่านก็เลยตั้งมโนปณิธานปรารถนาทำใจให้สบาย คิดว่าเราเองเราก็จะเป็นเทวดาอย่างท่านบ้าง อย่างน้อยที่สุดเราก้เป็นผู้มีหิริและโอตตัปปะเอาเทวดาท่านพวกนี้เป็นครูสอน


ที่ยกศาลขึ้นมา บางทีไม่เห็นตัวท่านจะได้นึกได้ว่า นี่เป็น สถานที่ที่เราบูชาเทวดา เวลานึกขึ้นได้แล้วก็นึกขึ้นมาว่าท่านเป็นเทวดาเพราะอะไร เพราะ
1.อายความชั่ว
2.เกรงกลัวผลของความชั่ว


ท่านก็เลยเตือนตัวท่านว่าเราจงเป็นผู้อายความชั่ว เกรงกลัวผลของความชั่วเหมือนท่านเทวดาอย่างนี้ แล้วก็ปฏิบัติตามนั้นนี่อย่างนี้เรียกกันว่าบชา คือเป็นปฏิบัติบูชา หากว่าเราจะบูชาเพียงอามิสบูชาเฉย ๆ เอาข้าวเอาน้ำไปให้ท่าน จุดธูปจุดเทียนไปให้ท่านแล้วเราก็สร้างความชั่ว อย่างนี้ไม่มีผลนะ
บรรดาท่านพุทธบริษัทต้องบูชาตามแบบฉบับที่พระพุทธเจ้าทรงปฏิบัติ คือปฏิบัติบูชา ถ้าหากว่าท่านบูชาภุมเทวดา แบบนี้จำไว้ว่าภุมเทวดาทุกท่านมีเครื่องทิพย์เป็นเครื่องบริโภค มีร่างกายเป็นทิพย์ มีความสุข ไมหนาวไม่ร้อน ไม่หิวไม่กระหาย ไม่ป่วยไข้ ไม่สบาย ไม่แก่เฒ่า หนุ่มเท่าไร ก็เท่านั้น เกิดปุ๊ปก็หนุ่มเลย แล้วไม่มีการแก่ เทวดามีความดีอย่างนี้เพราะอะไร เพราะมีความดีคือไม่ทำความชั่วในที่ลับและที่แจ้ง
เราก็เลยตั้งใจว่าขอให้เทวดาคนนี้เป็นครู จะเอาปฏิปทาของท่านนี้มาเป็นครูของเรา เราจะขอเอาเทวดาองค์นี้เป็นสักขีพยานในการปฏิบัติความดีของเรา อย่างน้อยที่สุดเราตายไปขอให้ได้เป็นเทวดาอย่างท่าน นี้เป็นอย่างน้อยนะ


แล้วก้ตั้งใจบูชาด้วยความเคารพ การาบก็ได้ไหว้ก็ได้ ไม่เสียหาย แล้วก็นึกถึงความดีของท่าน ตั้งใจอายบาป ตั้งใจเกรงกลัวบาป เรียกว่าอายชั่ว กลัวชั่ว อย่างนี้ชื่อว่าท่านทำตัวเหมาะสมกับการบูชาภุมเทวดาแล้ว

เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัท เรื่องราวภุมเทวดานี่จะพูดกันจริง ๆ พูดกันทุกวันเดือนหนึ่งไม่จ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะอาตมาเองก็เคยประสบเรื่องราวของภุมเทวดามามาก แต่ว่าอาศัยการพูดนี้เป็นการพูดเพียงเพื่อให้เป้นตัวอย่างเท่านั้น เพื่อให้รู้ว่าเขาเป็นเทวดาได้เพราะอะไร แล้วก้ภุมเทวดาเป็นเทวดาที่เขาบูชากันมาก ตั้งศาลกันมาก แล้วก็มีนักปราชญ์หลายท่านคัดค้านกันมาก ก็เลยเอาสิ่งที่ควรบูชาและบูชาแบบไหนมันถึงจะถูกมาพูดให้ฟัง..

โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ…หนังสืออุทิศส่วนกุศล

by admin admin ไม่มีความเห็น

เจ้ากรรมนายเวร โดยหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง

เจ้ากรรมนายเวร โดยหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง

“..เจ้ากรรมนายเวร” หมายถึงบาปที่เป็นอกุศลที่เราได้ทำไว้กับคนและสัตว์
ในอดีตชาติก็ดี ในชาติปัจจุบันก็ดี อย่างบางคนที่เราฆ่าเขาบ้าง เราทำร้ายเขาบ้าง 
เขาอาจจะไปเกิดเป็นเทวดาหรือพรหมแล้ว ถ้าเป็นเทวดาเขาไม่สนใจแล้ว 
แต่ไอ้ตัวบาปที่เราทำไว้ อย่างคนที่ไปขโมยของเขา เจ้าของเขาไม่ติดใจ
แต่ตำรวจมีหน้าที่ตามไม่ใช่อยากตาม แต่กฎหมายให้ตาม
ฉะนั้น กรรมหรือเวรตัวนี้คือกฎหมาย ถ้าหากปฏิบัติในขั้น สุกขวิปัสสโก 
ก็จะบอกว่าไม่มีตัวตนเพราะไม่เคยเห็น แต่ว่าตั้งแต่เตวิชโช ขึ้นไปเขาเห็น 
ดังเรื่องที่อาตมาเล่าให้ฟังประกอบเรื่องนี้



เมื่อพ.ศ. ๒๕๑๗ คืนหนึ่งอาตมาเจริญพระกรรมฐานเสร็จ ก็อุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร 
ขณะที่อุทิศส่วนกุศลก็มายืนกันมากแต่ไม่ใช่เจ้ากรรมนายเวร เป็นคนมาโมทนาบุญ 
พอเขาโมทนากันเสร็จ ก็มีชายคนหนึ่งคลานเข้ามา ถือขวานเล่มใหญ่
พอเข้ามาใกล้ก็บอกว่า “ผมกับท่านหมดเรื่องกัน” อาตมาก็ถามว่า “หมดเรื่องอะไร”
เขาก็บอกว่า “หมดเรื่องที่จะต้องติดตามจองล้างจองผลาญกัน”
ก็ถามอีกว่า “จองล้างจองผลาญฉันทำไม”
เขาก็บอกว่า “เปล่าครับ ผมไม่ได้จองล้างจองผลาญ”
ก็ถามว่า “แล้วเข้ามาทำไม”
เขาก็เลยเล่าประวัติความเป็นมาให้ฟังว่า “ในอดีตนับเป็นสิบๆ ชาติ ท่านกับผมรบกันมาเรื่อย” 
เป็นคู่สงครามกัน ตัวเขาเก่งขวานทุกชาติ ส่วนอาตมาเก่งดาบสองมือทุกชาติ 
ถ้าเวลาให้รบตัวต่อตัว ต้องเอาคู่นี้มารบกัน ถ้าคนอื่นหัวขาด พอถึงเวลากินข้าว
ก็บอกว่า “พักรบก่อน กินข้าวเสร็จมารบกันใหม่” วันนั้นทั้งวันไม่มีใครเสียท่ากัน
อาตมาถามว่า “มันมีเวรกรรมอะไรกันล่ะ”
เขาบอกว่า “กฎของกรรมเขาถือว่ามี แต่เวลานี้กฎของกรรมสลายตัวแล้ว”
ก็เลยถามว่า “เวลานี้ไปเกิดที่ไหน”
เขาก็บอกว่า “ผมเป็นพรหมครับ”
ถามว่า “พรหมยังจองกรรมหรือ”
เขาตอบว่า“ผมไม่ได้จองแต่กฎของกรรมมันจอง 
เรื่องของกรรมหนักๆ ระหว่างสงครามหมดกันแค่นี้”
เราอุทิศส่วนกุศลให้แก่เจ้ากรรมนายเวร เขาจะได้รับหรือไม่ได้รับก็ตาม 
บุญที่เราทำเป็นผลให้เกิดความสุข ไอ้กรรมต่างๆ ที่เป็นอกุศลที่เราได้ทำไปแล้ว 
เราไปยับยั้งมันไม่ได้ แต่ทว่าถ้าเราทำกรรมดีให้มีกำลังเหนือบาป 
บาปต่างๆ ก็จะตามเราไม่ทันเหมือนกัน เรียกได้ว่าเป็นการทำบุญหนีบาป
ไม่ใช่ทำบุญล้างบาป ทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้ที่ไม่ทำความชั่วเลยน่ะไม่มี 
ดังนั้นถ้าเราจะชดใช้บาปก็คงจะชดใช้กันไม่ไหว
มีทางเดียวในกิจของพระพุทธศาสนาคือ หนีบาป ด้วยการปฏิบัติดังนี้
๑) การคิดถึงคุณพระรัตนตรัยคือ พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ และพระอริยสงฆคุณ
๒) ทรงศีล ๕ ให้บริสุทธิ์
๓) มีพรหมวิหาร ๔ ให้ครบถ้วน
๔) มีอิทธิบาท ๔ ทรงตัว
๕) มีการภาวนาให้จิตทรงตัว
๖) พยายามรวบรวมบารมี ๑๐ ประการให้มีในจิตให้ครบถ้วน
๗) พยายามตัดสังโยชน์ ๑๐ ประการให้หมด
๘) จรณะ ๑๕ ปฏิบัติให้ครบถ้วน
เมื่อมีการทรงตัวดังกล่าวมาแล้วนี้ได้ทั้งหมด ก็เป็นอันว่าไม่ต้องเกิดกันอีกต่อไป 
นั่นคือตายเมื่อใดก็ไปพระนิพพานอันเป็นแดนที่มีความสุขที่สุด..”

by admin admin ไม่มีความเห็น

การตำหนิผู้อื่น จะผิดหรือจะถูกก็เลวทั้งสิ้น พระพุทธเจ้าองค์ปฐม

การตำหนิผู้อื่น จะผิดหรือจะถูกก็เลวทั้งสิ้น
ธรรมะมีแต่ปัจจุบัน รักษาอารมณ์ปัจจุบันให้ดีๆ สุข-ทุกข์พ้นได้ตรงนี้
ความจำที่ไม่ดีเป็นพิษ เหมือนยาพิษ จิตเราก็ดื่มยาพิษ หากไปยึดเอาสัญญาที่ไม่ดีไว้
คนอยู่รวมกัน ยังตัดกิเลสไม่ได้เสมอกัน ก็ย่อมหาความสุข-สงบไม่ได้ นี่เป็นเรื่องธรรมดา
ให้รู้อารมณ์ของตนเองรบ ๑๐๐ ครั้ง ก็ชนะทั้ง ๑๐๐ ครา
ทุกข์ของใจ ต้องฝืน เพราะใจเป็นเรา เป็นของเรา
ใครกินเพราะอยากจึงเป็นกิเลส แต่ใครกินเพราะหิวเป็นพระธรรม
ใจบ่นเมื่อไหร่ ผู้อื่นเขาก็ได้ยิน โดยเฉพาะเทวดา-นางฟ้า-พรหม และพระท่านได้ยินทุกครั้งที่ใจบ่น เพราะจิตเป็นภาษากลาง จิตคิด-นึกอะไรก็ถึงกันหมด
สักกายทิฏฐิ แปลว่าทุกสิ่ง-ทุกอย่างที่เกี่ยวเนื่องกับร่างกาย

สมเด็จองค์ปฐมทรงตรัสสอนไว้ มีความสำคัญดังนี้


๑. จงทำใจตนเองให้สบาย ไม่ต้องกังวลกับอะไรทั้งหมดโดยอาศัยการแยกกาย-เวทนา-จิต (อารมณ์ของจิต) และธรรมว่ามันเกิด-ดับๆ เป็นสันตติภายนอก และสันตติภายในตลอดเวลา ผู้ที่ไปรู้ธรรมเหล่านั้นคือ จิต ซึ่งเป็นตัวเราที่แท้จริงผู้ใดปฏิบัติได้ ก็รู้เท่าทันกองสังขารแห่งกาย และกองสังขารแห่งจิตตลอดเวลา ธรรมจุดนี้ละเอียดมาก และทำให้ทรงตัวได้ยาก ต้องใช้ความเพียนขั้นสูงสุด ใครทำได้ก็เป็นพระอรหันต์

๒. อานาปาเป็นฐานใหญ่ในการทำจิตให้สงบ เมื่อยังมีชีวิตอยู่ จงอย่าทิ้งอานาปา พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ และพระอรหันต์ทุกองค์ ท่านก็ไม่ทิ้งอานาปา เพราะอานาปาช่วยระงับกายสังขาร หรือทุกขเวทนาของกายได้ ทำจิตให้เป็นรูปฌาน และอรูปฌานได้ แต่ไม่หลงติดอยู่อาศัยเพียงแค่ใช้ระงับเวทนาของกาย และใช้เป็นกำลังช่วยให้จิตพิจารณาตัดกิเลสให้หมดไปเพื่อเข้าสู่พระนิพพานเท่านั้นหมดกายแล้วก็หมดความจำเป็นต้องใช้

๓. จงตัดความกังวลในเวทนาลงเสีย เพราะเวทนาอาศัยกายอยู่ เมื่อเราแยกร่างกายออกเป็นธาตุ ๔ ก็ดี เป็นอาการ ๓๒ ก็ดี ก็จะเหลือแต่จิตเท่านั้น จะเอาเวทนามาจากไหน จุดนี้จักต้องล้างสัญญาออกจากจิตไปเสียด้วย คือ เพิกหรือลืม หรือทิ้งสัญญาไปในบัดดล ไม่คิด-ไม่จำ ล้างทั้งสังขารซึ่งเป็นอารมณ์ปรุงแต่งธรรมไปด้วยปัญญา คิดว่าธรรมดาของมันก็เป็นอยู่อย่างนั้นในเมื่อขันธ์ ๕ มันไม่ใช่เรา-ไม่ใช่ของเรา เราจะไปยึดมันทำไม ล้างทั้งสัญญาคือความจำ ความจำที่ไม่ดีเป็นพิษ เหมือนยาพิษ จิตเราก็ดื่มยาพิษ หากไปยึดเอาสัญญาที่ไม่ดีไว้ ส่วนสังขารอารมณ์ปรุงแต่งธรรมที่เป็นอกุศล ก็มาทำร้ายจิตตนเองอยู่เป็นประจำความจริงอารมณ์ปรุงแต่งก็คือ อุปาทานขันธ์ ๕ จิตหลงไปยึดเกาะขันธ์ ๕ ว่าเป็นเรา เป็นของเราตัวเราจริงๆ ก็คือจิต เป็นอมตะ ไม่เคยตายหากไม่เข้าใจธรรมจุดนี้ จิตก็ตกอยู่ภายใต้อำนาจของกิเลส-ตัณหา-อุปาทาน แล้วสร้างอกุศลกรรมมาทำร้ายจิตตนเองอยู่เสมอ

๔. เอกายโน ภิกขเว มรรคโค สัทธานัง วิสุทธิยา กายอื่นจิตอื่นไม่สามารถทำให้จิตใจของเราเป็นสุขสงบได้ มีแต่จิตใจของเราเองเท่านั้นที่เมื่อฝึกฝนดีแล้ว เป็นหนทางเดียว ที่จักยังความสุขสงบให้เกิดขึ้นได้อย่างแท้จริง ดังนั้นในเมื่อคนอยู่รวมกัน ยังตัดกิเลสไม่ได้เสมอกัน ก็ย่อมหาความสุข-สงบไม่ได้ นี่เป็นเรื่องธรรมดาคนโง่ที่คิดบังคับจิตผู้อื่นให้มีความเห็นคล้อยตามเรา ยิ่งพวกโลกียชนยังไม่ถึงความเป็นพระอริยเจ้า จักให้คิดไปในทางเดียวกันไม่ได้

๕. อย่าไปคิดรบกับใคร ให้รบกับอารมณ์กิเลสของตนเองในจิตตนเอง ขอเพียงสักแต่ว่าให้รู้อารมณ์ของตนเองรบ ๑๐๐ ครั้ง ก็ชนะทั้ง ๑๐๐ ครา

๖. จงใช้ทุกข์ให้เป็นประโยชน์ ทุกข์กาย หรือทุกขสัจ เป็นเรื่องธรรมดาของผู้มีร่างกาย ทุกคนจะต้องพบคนโง่เท่านั้นที่เห็นทุกข์ของกายแล้วกอดทุกข์ เลยจมอยู่กับความทุกข์ เพราะขาดปัญญา แยกทุกข์กายกับทุกข์ใจออกจากกันไม่เป็น อาทิเช่น ปวดท้องขี้-ปวดท้องเยี่ยว และหิวเกิดกับคนทุกคน ซึ่งเป็นทุกข์ของกาย ฝืนไม่ได้ ยิ่งฝืนก็ยิ่งทุกข์เพิ่มขึ้นส่วนทุกข์ของใจ ต้องฝืน เพราะใจเป็นเรา เป็นของเรา เช่นอยากกิน แต่กายไม่ได้หิว ใครกินเพราะอยากจึงเป็นกิเลส แต่ใครกินเพราะหิวเป็นพระธรรม

๗. การตำหนิผู้อื่น จะผิดหรือจะถูกก็เลวทั้งสิ้น เพราะเป็นการจุดไฟเผาใจตนเองโดยตรง หากใช้ปัญญาพิจารณาให้ดี ๆ จะพบว่าผิดกรรมบถ ๑๐ หมวดวาจา ๔ ด้วย ผิดพรหมวิหาร ๔ ขาดเมตตาจิตตนเองด้วยบุคคลโดยทั่วไปยังติดคำพูด ติดถูก-ติดผิด ติดดี-ติดเลว อันเป็นอุปาทานตัวยึดมั่นถือมั่นของจิตเพราะยึดติดสมมติสมมติแปลว่าไม่จริง จึงไปยึดเอาความไม่จริง-ความไม่เที่ยงเข้า จึงเท่ากับยึดความทุกข์ พระธรรมในข้อนี้จึงยากยิ่งในการปฏิบัติผู้ที่ปฏิบัติได้จิตทรงตัว จึงเป็นพระอรหันต์เท่านั้น

๘. การเจ็บ-ป่วยเป็นของธรรมดาของผู้มีร่างกาย ทั้งๆ ที่รู้ก็ยังอดเผลอ-บ่นทำจิตให้เศร้าหมองไม่ได้ หากจิตหยาบก็ใช้ปากบ่น ให้รำคาญหูผู้อื่น เบียดเบียนจิตตนเองไม่พอยังช่วยเบียดเบียนจิตผู้อื่นด้วย หากจิตละเอียดขึ้น ก็ใช้ใจบ่น โดยลืมไปว่าใจบ่นเมื่อไหร่ ผู้อื่นเขาก็ได้ยิน โดยเฉพาะเทวดา-นางฟ้า-พรหม และพระท่านได้ยินทุกครั้งที่ใจบ่น เพราะจิตเป็นภาษากลาง จิตคิด-นึกอะไรก็ถึงกันหมด

๙. ธรรมในพุทธศาสนา ต้องถูกกระทบก่อนจึงจักเป็นของจริง อุปสรรคของการปฏิบัติธรรม อยู่ที่กายเราคือ ขันธมาร และอยู่ที่จิตเราคือ กิเลสมาร ผู้มีปัญญาท่านใช้มารทั้ง ๒ เป็นเครื่องทดสอบอารมณ์จิตได้อย่างดี ธรรมเนียมของคนไทย เมื่อพบกันมักถามว่า สบายดีหรือ หากตอบว่า สบายดี ก็สอบตกทุกคน เพราะคนมีร่างกาย มันมีแต่ทุกข์ ทุกข์มากหรือทุกข์น้อยเท่านั้น โดยเฉพาะโรคหิวกำเริบมีกันทุกคน พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า ชิคัทฉา ปรมาโรคา ความหิวเป็นโรคอย่างยิ่ง (โรคะ แปลว่า เสียดแทง)

๑๐. โลกทั้งโลกไม่มีอะไรสุขจริง นี่คืออริยสัจพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ต่างบรรลุธรรมเป็นพระพุทธเจ้าได้ด้วยอริยสัจ ๔ และพระอรหันต์สาวกของพระองค์ทุกองค์ ก็บรรลุธรรมจบกิจเป็นพระอรหันต์ได้ก็ด้วยอริยสัจ มีทางนี้ทางเดียว ทางอื่นไม่มีนักปฏิบัติธรรมจึงไม่มีใครทิ้งอริยสัจ

๑๑. สุข-ทุกข์เกิด เพราะจิตเกาะยึดติดขันธ์ ๕ ว่าเป็นเรา เป็นของเรา หากวางอุปาทานขันธ์ ๕ ได้จุดเดียว ก็จบกิจในพุทธศาสนาหรือละสักกายทิฏฐิได้เด็ดขาด ก็จบกิจในพุทธศาสนา สักกายทิฏฐิ แปลว่าทุกสิ่ง-ทุกอย่างที่เกี่ยวเนื่องกับร่างกายมีพระพุทธเจ้าพระองค์เดียวเท่านั้น ที่ทรงทราบจริต-นิสัย และกรรมของแต่ละบุคคลได้สร้างกันมาไม่เสมอกัน และรู้วิธีสอนให้ตรงกับจริต-นิสัย และกรรมของแต่ละบุคคลได้ทุกคน โดยไม่มีคำว่าผิด-พลาด

๑๒. ทำใจให้สบาย จงอย่าไปกังวลกับพวกเล่นคุณไสย เพราะจักทำให้ยิ่งเป็นสื่อให้เขาโจมตีได้ง่าย โดยให้มีสติระลึกถึงอาการต่างๆ ที่เกิดขึ้นว่าไม่ใช่เรา-ไม่มีในเรา ให้พิจารณาและเพิกความรู้สึกลงเสีย โดยคิดว่าเป็นการขาดทุนในผลของการปฏิบัติธรรม และจงอย่าประมาท หมู่นี้พวกเล่นคุณไสยเข้ามาในวัดเยอะ ให้ระวังให้ดี คาถาป้องกันคุณไสยของสมเด็จองค์ปัจจุบันคือ อิติ-ติอิ สัมปติจฉามิ-สัมปจิตฉามิ คาถาป้องกันคุณไสยของสมเด็จองค์ปฐม คือ อนิจจัง-ทุกขัง-อนัตตา ปัด-ตัด ทุกขัง-อนิจจัง-อนัตตา แล้วภาวนา คำว่า อนัตตาเข้าไว้ 

๑๓. รักษากำลังใจเข้าไว้ จงอย่าท้อถอยกับอุปสรรคทั้งปวง อะไรจักเกิดมันก็ต้องเกิด ให้ยอมรับนับถือ และเคารพในกฎของกรรม ซึ่งเที่ยงเสมอ และให้ผลไม่ผิดตัวด้วย กรรมใดที่เราไม่เคยก่อไว้ในอดีต วิบากกรรมย่อมไม่เกิดกับเราในปัจจุบันการกระทำทุกอย่างให้มุ่งหวังเพื่อพระนิพพานเป็นที่ไปเท่านั้น โดยเล็งเห็นว่าทุกสิ่ง-ทุกอย่างเป็นของธรรมดา

๑๔. ทำใจให้สงบ จงอย่าว้าวุ่นใจ แม้ว่าในขณะนี้อาการทางร่างกายจักไม่ดี ก็ต้องยอมรับนับถือว่ามันเป็นของธรรมดาของผู้มีร่างกาย ไม่มีใครจักหนีความแก่-ความป่วยไข้ไม่สบาย-ความตายไปได้ ในระหว่างที่ชีวิตของร่างกายยังอยู่ย่อมจักต้องกระทบกระทั่งกับอารมณ์พอใจบ้าง-ไม่พอใจบ้างเป็นธรรมดา และต้องพบกับความปรารถนาไม่สมหวังบ้างเป็นธรรมดาด้วยกันทุกคน เพราะที่สุดของโลกแล้ว ก็ไม่มีอะไรเหลือ จึงไม่มีใครสามารถเอาสมบัติของโลกไปได้ สมบัติของโลกที่เรารัก และหวงแหนที่สุดก็คือ ร่างกายที่จิตเราอาศัยอยู่ชั่วคราว เราก็เอาไปไม่ได้ ผู้มีปัญญาตถาคตตรัสสอนให้วางอุปาทานขันธ์ ๕ ตัวเดียว ก็ไปพระนิพพานได้ ให้ล้างใจเสียใหม่ ชำระความเกาะติดในร่างกาย และทุกขเวทนาของกายลงเสียให้หมด

๑๕. ทำใจให้สบาย เรื่องอื่นๆ ก็จักดีขึ้นเอง จงอย่าวิตกกังวลกับเรื่องอื่นใดทั้งปวง ให้รู้จักกำหนดปล่อยวางทุกเรื่อง-ทุกราวลงให้ได้ทุกขณะจิต ธรรมะมีแต่ปัจจุบันรักษาอารมณ์ปัจจุบันให้ดีๆ สุข-ทุกข์พ้นได้ตรงนี้ สุข-ทุกข์เกิดเพราะจิตเกาะติด หรืออิงขันธ์ ๕ หรืออิงอายตนะภายใน (ตา-หู-จมูก-ลิ้น-กาย-ใจ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของขันธ์ ๕ หรือสักกายทิฏฐินั่นเอง)

๑๖.ศัตรูของเราคือ อารมณ์จิตของเรา ทำร้ายจิตตนเอง ดังนั้นจงอย่าหาศัตรูนอกตัวเรา วันหนึ่งๆ ไม่มีใครมาทำร้ายเราได้มากเท่า อารมณ์จิตตนเองทำร้ายจิตตนเอง การที่จักพ้นภัยตนเอง พ้นได้ยากที่จุดนี้ พรหมวิหาร ๔ จึงเป็นธรรมปฏิบัติที่ละเอียดลึกซึ้ง-ปราณีต ยากที่บุคคลธรรมดาๆ จักพึงเข้าถึงได้ เพราะผู้ที่พ้นภัยตนเองได้ก็คือ พระอรหันต์ 

รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน
ที่มาของข้อมูล
ธรรมนำไปสู่ความหลุดพ้น เล่ม ๑๖ เดือนตุลาคม ๒๕๔๖

by admin admin ไม่มีความเห็น

ตอน 37

สวัสดี…วันนี้พฤหัสแล้วไวจริงๆ เด็กรุ่นใหม่นี่สนใจธรรมมะกันมากขึ้นจริงๆครับแต่คำบางคำเด็กไม่เข้าใจก็จะขออธิบายความเพิ่มเติมสักเล็กน้อย

นิวรณ์5ประการ คุ้นๆมั้ยเออคุ้นนะพูดบ่อยพูดแล้วเด็กก็งงๆพี่นิวรณ์คืออะไรถามคำเดี๋ยวตอบเป็นร้อยคำอันนี้เหนื่อยถ้าถามสักสิบคนก็ล่อไปเป็นพันคำ

นิวรณ์ พระพุทธเจ้าท่านแปลว่ากิเลสหยาบทำให้ปัญญาถอยหลัง มันมี 5 อย่าง

1.กามฉันทะ คืออะไรก็คือความพอใจในรูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสระหว่างเพศ พอเข้าใจมั้ย ชอบสาวสวยๆ หนุ่มหล่อ แหมพี่โดมงี้ ชินอย่างงี้ ญาญ่า อั้ม พลอย อีแบบนี้เรียกว่าพอใจ

2.ความโกรธ ความพยาบาท โกรธแล้วแป๊บๆหายนี่ดีมาก ควรโกรธใช้ช้าลงก็จะดี เขาด่าพ่อล่อแม่โกรธมั้ยล่ะ โกรธแต่ไม่พยาบาทไม่ผูกใจแค้นหมายเอาชีวิตเขา

3.ความง่วง นี่สำคัญเพราะอะไรไม่ต้องอธิบายความมาก

4.มีจิตฟุ้งซ่านเกินไป มันคิดหลายเรื่องพร้อมๆกันทีเดียว แต่คิดไม่จบซักเรื่อง ลองเปลี่ยนใหม่ดีมั้ย คิดให้จบไปเป็นเรื่องๆ หากจบไม่ลงก็เลิกคิด

5.สงสัยในผลของการปฏิบัติ นี่ทำคนเลิกปฎิบัติไปก็มากเพราะอะไรเพราะสงสัยนี่แหละเวลาเขาปฏิบัติเขาไม่สงสัยกัน เขาสงสัยกันตอนเลิก หากทำอย่างนี้ได้จะดีมาก

ทั้งหมดนี่เวลาเราฝึกกรรมฐานอย่าให้มันมากวนใจ มันอาจมีบ้างก็จับลมหายใจเข้าออกใหม่ ความจริงเราตัดไม่ขาดนะนิวรณ์น่ะ จนกว่าจะถึงพระอนาคามี ถ้าถึงพระอนาคามีก็ตัดได้2ข้อ รวามความว่าเราไม่สนใจนิวรณ์ เราสนใจแค่ลมหายใจเข้าออกกับคำภาวนาพอสบายจิตเป็นสุข ต้องดูนะว่าจิตเป็นสุขหรือยัง

26-01-2012, 10:02 AM

by admin admin ไม่มีความเห็น

กายป่วยมิใช่อุปสรรค จิตป่วยตามกายคืออุปสรรค พระพุทธเจ้าองค์ปฐม

กายป่วยมิใช่อุปสรรค จิตป่วยตามกายคืออุปสรรค
พระพุทธเจ้าองค์ปฐม

สมเด็จองค์ปฐม ทรงตรัสสอน ไว้ดังนี้


๑. กายป่วยมิใช่อุปสรรค จิตป่วยตามกายคืออุปสรรค เจ้าไปพิจารณาว่า บุคคลส่วนใหญ่ที่ปฏิบัติธรรมมีร่างกายป่วย แล้วเป็นอุปสรรคใหญ่ของการปฏิบัติธรรม ซึ่งก็เป็นการเข้าใจถูกแต่เพียงบางส่วนเท่านั้น จักกล่าวสรุปโดยความนัยแล้ว ผู้ที่เห็นร่างกายป่วยเป็นอุปสรรคของการปฏิบัติธรรม คือ ผู้ที่ยังไม่เข้าใจถึงความเป็นจริงของร่างกายจิตต่างหากที่สร้างอุปสรรคให้เกิดขึ้นมาเป็นเวทนา ยึดมั่นถือมั่นว่าร่างกายป่วยเป็นอุปสรรค ซึ่งที่แท้จริงแล้วกรรมเป็นผู้บ่งชี้วิถีของร่างกายของแต่ละบุคคล ทุกชีวิตของร่างกายย่อมเป็นไปตามอำนาจกฎของกรรม ทุกชีวิตที่อุบัติขึ้นในไตรภพนี้ ย่อมมีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ กรรม แปลว่าการกระทำ สรรพสัตว์ที่ไม่รักษาศีลปาณาติบาต ย่อมเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นธรรมดา ยิ่งมีร่างกายประกอบด้วยธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ ก็มีความพร่องอยู่เป็นนิจ เป็นปกติธรรมของร่างกาย สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นธรรมดาทั้งสิ้น 
จิตที่ไม่รู้เท่าทันไปฝืนสภาวธรรมที่เป็นปกติต่างหาก ที่สร้างความทุกข์ให้เกิดกับจิต ถ้าหากจิตผู้ปฏิบัติธรรมรู้อย่างนี้ยังจักคิดว่าร่างกายป่วย เป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติธรรมหรือไม่ (ก็รับว่าเป็นอุปสรรค) แต่เรื่องเหล่านี้จักพูดได้แต่กับผู้ที่เป็นบัณฑิตเท่านั้น อย่าไปพูดกับคนพาล เนื่องจากเขาจักพาลเอาว่า ลองมาป่วยเองบ้างซิ ถึงจักรู้ว่าอาการเวทนานั้นเป็นอย่างไร พูดแล้วให้ได้ประโยชน์ เรื่องของพุทธศาสนามีเหตุมีผลก็จริงอยู่ แต่ตถาคตก็หลีกเลี่ยงที่จักสอนคนพาล หรือบุคคลที่ไม่เข้าถึงธรรมการรู้เรื่องขันธ์ ๕ ให้ครบทั้ง ๕ ตัว แล้ววางว่าไม่ใช่เรา มิใช่ของง่าย แต่ถ้าหากสนใจศึกษาปฏิบัติจริงก็ย่อมทำได้ ทรงอารมณ์ให้รู้ สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าเป็นผู้อาศัย ไม่ติดอยู่ด้วย หมั่นชำระล้างจิตออกจากกิเลส ตัณหา อุปาทานและอกุศลกรรม การทรงอารมณ์นี้ก็จักเกิดขึ้นได้เป็นระยะๆ และถ้าหากไม่ละความเพียร การตัดขันธ์ ๕ ก็เป็นของไม่ยาก

๒. ฟังเทศน์แล้วจำไม่ได้ นึกไม่ออก จึงต้องขอขมาพระรัตนตรัย เพื่อนผมฟังเทศน์เสียงตามสายตอนตี ๔ ซึ่งเป็นเสียงของหลวงพ่อฤๅษีท่านสอนทุกวันตอนตี ๔ ตอนเช้าหลวงพ่อท่านถามว่า ท่านเทศน์เรื่องอะไร เพื่อนผมท่านตอบว่าจำไม่ได้แล้วค่ะ หลวงพ่อทานก็หัวเราะเปรยว่า“แหม! นี่ถ้าคนเขาด่ามา นินทามา ถ้าเอ็งลืมได้อย่างนี้ก็ดีซินะ ไอ้ขี้หมา ทีคำสอนกลับลืมได้ลืมดี แต่ความไม่ดีกลับจำได้ขึ้นใจ” ทรงตรัสว่า “นั่นแหละเป็นปกติจิตของปุถุชนที่มักจักตกอยู่ในห้วงแห่งอกุศลกรรมบังคับ จิตไหลลงสู่เบื้องต่ำอยู่เสมอการละกิเลสจักต้องฝืนจิตเดิม อันซึ่งเคยจำแต่ในสิ่งที่ไม่ดี ให้กลับมาจำในสิ่งที่ดี อย่าไปคิดว่าเป็นเรื่องผิดธรรมดา อันที่จริงแล้วเป็นเรื่องธรรมดา จิตเดิมเคยจำ แต่ในสิ่งที่ไม่ดีมานับอเนกชาติไม่ถ้วน จึงเป็นของไม่ง่ายนัก ที่จักละซึ่งนิสัยเดิมเหล่านี้ ให้รู้จักใช้ปัญญาพิจารณาย้อนรอยถอยหลังไป ความจำในสิ่งที่ไม่ดีสร้างความเดือดร้อนให้กับจิตมากขนาดไหน ไม่ว่าจักจำอยู่ในความโกรธ ความโลภ ความหลง ก็ทำให้จิตเดือดร้อนมาโดยตลอด แล้วให้หาเหตุของความโกรธ ความโลภ ความหลง มาจากไหน ล้วนแล้วมาแต่ขันธ์ ๕ ทั้งสิ้น

ใครด่า ใครนินทา ใครทำร้าย ก็เนื่องด้วยขันธ์ ๕ เป็นเหตุ จิตไปยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ ๕ ว่าเป็นเราเป็นของเรา จึงจำอยู่ในความโกรธ พยาบาทข้ามภพข้ามชาติแล้ว ความจำเลวอย่างนี้ยังไม่ยุติ ยุติได้ยากถ้าหากไม่ชำระจิตให้ละทิ้งในอุปาทานขันธ์ ๕ ความโลภก็เหมือนกัน การรักขันธ์ ๕ ของตนก็ดี การรักขันธ์ ๕ ของบุคคลอื่นก็ดี ให้พิจารณาดูเหตุที่แท้จริง คือ โลภอยากให้ขันธ์ ๕ นั้นๆ ทรงอยู่ พิจารณาให้ครบรอบทั้ง ๕ ตัว มิใช่รูปแต่เพียงอย่างเดียว รูปที่ปราศจากวิญญาณก็ไม่มีใครต้องการ หรือรูปที่มีวิญญาณปราศจากสังขาร ก็ไม่มีใครต้องการ หรือรูปที่ปราศจากเวทนาก็ไม่มีใครต้องการ มิใช่ตรัสให้งง คนพิการทางประสาทใครอยากจักได้มาครอบครองไหม คนตายใครต้องการไหม คนป่วยเป็นเจ้าหญิง เจ้าชายนิทรา ใครต้องการไหม ลงท้ายสรุปว่าคนเหล่านี้มีให้เราเห็นได้ทุกยุคทุกสมัยแต่จิตโลภต้องการแต่ขันธ์ ๕ ที่ดีๆแล้วขันธ์ ๕ ดีไม่จริง กฎของกรรมบังคับให้แปรปรวนไปตามกฎไตรลักษณ์ จิตโลภ ไม่รู้เท่าทันตามความเป็นจริง อยากรัก อยากได้ขันธ์ ๕ ข้ามภพข้ามชาติ ด้วยความจำในความทะยานอยากในความโลภนั้น นี่เป็นความจำในสิ่งที่เลวมาทุกๆ ชาติ 

ความหลงก็เช่นกัน เป็นความจำเลวของจิตเดิมที่มีมาอย่างเหนียวแน่นทุกชาติให้เห็นสัญญาตามความเป็นจริงอย่างนี้ แล้วให้เจริญสติ สัมปชัญญะ เพื่อจักละซึ่งสัญญาที่จำเลวออกไปเสียจากจิตการสร้างปัญญามีความจำเป็นที่จักต้องพิจารณาย้ำแล้วย้ำอีก เพื่อละให้ได้ซึ่งสัญญาเดิมก่อนเก่าเคยจำแต่เกาะขันธ์ ๕ มาเริ่มต้นเบื่อเพื่อจักถอนความทรงจำ ขันธ์ ๕ นี้ไม่ใช่เรา ไม่มีในเรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ของใครทั้งหมด หมั่นพิจารณาให้บ่อยๆ เพื่อละขันธ์ ๕ให้ได้ แล้วมรรคผลนิพพานก็จักได้ในปัจจุบัน

๓. เรื่องคิดถูกแล้วที่เป็นมะเร็ง แล้วไม่ยอมผ่าตัด เรื่องโดยย่อมีดังนี้ เพื่อนผมไปเอกซเรย์ปอด พบจุดเล็ก ๆ เป็นก้อนอยู่ที่ปอดข้างขวา หมอนัดอีก ๒ เดือนให้มาเอกซเรย์ปอดใหม่ หากก้อนโตขึ้นก็เป็นมะเร็งปอด ก็คิดในใจว่า หากมันเป็นมะเร็งจริง ก็จะไม่รับการผ่าตัด โดยมีเหตุผลว่าตนเองเป็นคนตัวคนเดียว ไม่มีเงินทองหรือรายได้อะไร ไม่อยากรบกวนปัจจัยของใคร และมะเร็งบางชนิดผ่าแล้วก็แค่ระงับอาการได้ชั่วคราว บางชนิดกลับแพร่เชื้อมะเร็งให้กระจายไปงอกที่อื่น ต้องใช้ยาเคโมช่วย แต่ไม่ใช่รักษา แต่ประวิงเวลาให้ตายช้าลงเท่านั้น 

พระองค์ก็ทรงตรัสว่าเจ้าคิดถูกที่ไม่มุ่งหวังที่จักได้รับการผ่าตัด ถ้าหากผลออกมาภายใน ๒ เดือนว่าเป็นมะเร็ง ประการแรกเจ้าไม่อยากรบกวนปัจจัยของใคร ประการที่ ๒ เจ้ามองผลหลังการผ่าตัดไม่ใช่เป็นแง่บวกอย่างเดียว มะเร็งบางชนิด ผ่าไปแล้วทำให้เชื้อแพร่เร็วยิ่งขึ้นยิ่งเจ้าคิดถึงหลวงปู่วัย ซึ่งเป็นเพียงลำไส้อักเสบเขาผ่าตัดท่าน ซ้ำให้ยาเคโม เพียงแค่ในระยะ ๖ เดือนท่านก็มรณภาพการให้ยาเคโมนั้น เป็นปกติของหมอที่จักให้แก่คนไข้หลังรับการผ่าตัดแล้วเป็นการเข้าใจว่าจักสกัดกั้นทำลายเชื้อมะเร็งที่หลงเหลืออยู่แต่ในคนไข้ส่วนใหญ่แพ้ยาเคโมทำให้มีอาการทรุดและตายไปหลายรายแล้ว กรณีเหล่านี้เกิดขึ้นแต่หมอไม่คิดหรือหาทางแก้ไขเป็นอย่างอื่น เพียงแต่ยังคงทำตามทฤษฎีที่ตนเองได้ศึกษาและเล่าเรียนมาเรื่องนี้ตถาคตเห็นด้วยที่เจ้าตัดสินใจไม่เข้ารับการผ่าตัด แม้ผลจักออกมาว่าเป็นมะเร็งก็ตาม พึงรักษาไปตามสภาพจงอย่ากังวลใจ อยู่ได้แค่ไหนก็เป็นเรื่องของพระนะ เอาจิตอยู่กับพระนิพพานเข้าไว้เสมอไม่ต้องไปวางแผนรักษาโรคล่วงหน้า ให้กินยาไปตามปกติเท่าที่เป็นอยู่ 

๔. อย่าวิตก อย่ากังวล ไม่ว่าอะไรจักเกิดขึ้นก็ให้เห็นเป็นเรื่องธรรมดาคนในโลกนี้มักจักถูกอกุศลกรรมครอบงำจิตมากกว่ากุศลกรรม แม้แต่เจ้าเองก็ยังตัดนิวรณ์ไม่ได้หมดทั้ง ๕ ประการ ก็จักรู้สึกได้ว่าบางขณะหรือบ่อยครั้ง กรรมที่เป็นอกุศลเข้ามาครอบงำจิต จุดนี้พึงเห็นเป็นเรื่องธรรมดา แต่ก็จักต้องหาทางแก้ไข เอาตามจริตที่เกิดขึ้นในขณะนั้น ๆการแก้จริตก็คือหากรรมฐานแก้จริตที่เกิดอารมณ์กำเริบในขณะนั้นๆ อาทิเช่น ราคะเกิดก็หันมาหาอสุภกรรมฐานกับกายคตานุสสติ ในขณะพิจารณาถ้าหากสติ-ปัญญาน้อยกว่ากำลังของกิเลสลงการอารมณ์ ให้จิตเห็นผิดเป็นชอบไปได้โดยง่าย จุดนี้จักต้องหันกลับมาใช้บารมี ๑๐ เป็น ๓๐ ทัศ เข้ามาควบคุมจิตใจ นี่หมายความว่ากำลังจักแพ้ ก็หันมาหาบารมี ๑๐ เป็น ๓๐ ทัศแทนมิใช่รู้ว่าจักแพ้ก็ยังคงพิจารณาอสุภกับกายคตาอยู่นั่นแหละ รับรองว่าแพ้มันแน่นอน ถ้าหากไม่รู้จักพลิกเพลงสถานการณ์ 

การจับบารมี ๓๐ ทัศ คือ ชั้นศีลประการหนึ่ง ชั้นสมาธิประการหนึ่ง ชั้นปัญญาประการหนึ่ง จิตมีอารมณ์กำเริบด้วยความโกรธก็ดี ความโลภหรือราคะเป็นประการเดียวกันก็ดี ความหลงก็ดี เมื่อใช้กรรมฐานไม่เป็นผล ก็หวนมาอนุโลม – ปฏิโลมในศีล – สมาธิ – ปัญญาให้รู้แจ้งว่า การสำรวมกาย – วาจา – ใจให้เรียบร้อย คือศีล การรักษาใจให้มั่นคงคือสมาธิ การรอบรู้ในกองสังขารชื่อว่าปัญญา เมื่อตีกลับมาพิจารณาบารมี ๓๐ ทัศจนกำลังใจเต็ม อารมณ์กิเลสที่กำเริบก็จักถูกกำราบ หรือระงับลงไปได้อีกขณะหนึ่ง ให้หมั่นทำอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ แล้วจิตจักมีกำลังต่อสู้กับกิเลสได้ 


รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน
ที่มาของข้อมูล
ธรรมนำไปสู่ความหลุดพ้นเล่ม ๑๒เดือนพฤศจิกายน พศ ๒๕๔๒ตอนหนึ่ง

by admin admin ไม่มีความเห็น

หลวงพ่อสร้างพระพุุทธชินราชขอฝนได้

หลวงพ่อสร้างพระพุทธชินราชขอฝนได้


ตามที่หลวงพ่อท่านได้สร้าง “พระพุทธชินราช” ประดิษฐานเป็นพระประธานไว้ที่วิหาร 100 เมตร เพื่อไว้สักการะบูชาของบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย พระพุทธรูปองค์นี้สร้างได้สวยสดงดงามมาก นอกจากญาติโยมทั้งหลายจะได้อานิสงส์ในการร่วมสร้างกันแล้ว หลวงพ่อท่านได้บอกว่า พระพุทธชินาชองค์นี้ ถ้าเกิดฝนแล้งจะอธิษฐานขอฝนก็ได้

ในโอกาสนี้จึงขอนำเรื่องราวของพระพุทธชินราช ที่หลวงพ่อเคยประสบเหตุการณ์มาแล้ว มาเล่าสู่กันฟัง…

เนื่องจากมีผู้หญิงคนหนึ่งนำพระพุทธชินราชมาให้หลวงพ่อปลุกเสก เมื่อหลวงพ่อปลุกเสกแล้ว บอกว่า “เอาพระพุทธชินรารมาให้เสก ไม่รู้ฉันจะเสกบทไหน…กลัวท่านจะเสกหัวฉันเข้าน่ะซิ” พอยกมือขึ้นอาราธนาบารมีท่าน…ท่านบอก “มันก็ยี่ห้อเดียวกับแก แกก็ติดชินราช”

ถูกของท่าน ที่ว่าถูกของท่านคือว่า พระพุทธรูปที่นำมาถวาย ถ้าหากว่ามันไม่เกินวิสัยจริงๆ ฉันต้องทำเรือนแก้วให้ได้ เพราะว่าฉันชอบชินราช เพราะอะไร… “ชินราข” เขาแปลว่า “ชนะ” 

เหตุเกิดที่จังหวัดสุพรรณบุรี
เรื่องพระพุทธชินราช เริ่มต้นมันมีอยู่คราวหนึ่ง คือว่าไม่ได้ตั้งใจ แต่คิดว่าจะสร้างพระพุทธชินราช คืนหนึ่งก็เข้านอน ตอนหนุ่มๆนะ เป็นพระ ตื่นขึ้นมาตีสอง ตะเกียงมันก็ไม่ได้จุด มันมืดตื้อ เห็นขาวๆหน้าประตูด้านใน เหนือประตูขึ้นไป

ถามว่า “ใคร?” บอกว่า “ฉัน…พระพุทธชินราช”

ถามว่า “มายังไงครับ?” บอกว่า “จะมาอยู่ด้วย”

เราก็นึก เอ….ท่านจะอยู่ยังไง…พอคิดว่าท่านจะอยู่ยังไง…แล้วท่านก็หายไป แต่จิตเรารักพระพุทธชินราชอยู่ตลอดเวลาเพราะท่านสวย ดูแล้วดูไม่อิ่ม

แล้วก็ปีนั้นต่อมาอีก ๒ เดือน ฉันก็ไปอำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี แล้วก็จะไปเข้าที่อำเภออู่ทอง ตอนนั้นป่ามันมีเยอะ เราก็จะไปซื้อไม้ที่มันถูกต้องตามกฏหมาย คือว่าต้นไม้ออกจากโรงเรื่อยนี่มันถูก คือออกจากที่นี่มันถูก พอไปก็เอาเรือไปจอดที่ตลาดบางลี่ ก็มีเรือเรี่ยไรอยู่ลำ เขาจอดอยู่ทางด้านโน้น

พอเรือเราไปจอด ปรากฏว่าพวกผู้หญิง จีนบ้าง ไทยบ้าง แบกโตก แบกขันแตก แบกเครื่องทองเหลือง ลงไปเป็นแถวสัก 20 ราย ขนาดแบกไปเลยนะ

ไปถึงแวะไปทางเรือก็ถาม “ทำไมโยม…?”

บอก “เอาเครื่องทองเหลือง ทองขาวทำบุญ”

“อ้าว…ก็ลำโน้นเขาโฆษณาจะสร้างรอยพระพุทธบาท” ไอ้เราเครื่องขยายเสียงก็ไม่มี จะไปซื้อไม้ เครื่องขยายเสียงจะมีได้ยังไงเล่า เขาถามว่า “จะสร้างอะไร?”

บอก “ไม่ได้สร้างล่ะ จะมาซื้อไม้”

คนอื่นเขาก็กลับไปหมด ก็เหลือผู้หญิงจีนอยู่คนหนึ่ง แกไม่ยอมไป แกก็พูดอยู่อย่างนั้นแหละ ถาม”ไม่สร้างอะไรรึ?”

พูดไป พูดมา พูดมาพูดไป ก็นึกขึ้นมาได้ว่า เราคิดว่าจะสร้างพระพุทธชินราช แต่ว่ากำหนดไว้อีก ๓ ปีจึงจะสร้าง ไม่ได้สร้างปีนั้นเพราะเห็นว่าท่านมาคงจะเป็นสัญญลักษณ์ แกถามขึ้นมาก็เลยนึกขึ้นมาได้”ฉันจะสร้างเมือนกันแหละโยม…แต่อีก ๓ ปี”

แกบอก “เอางี้ก็แล้วกัน ๓ ปี ฉันจะฝากไปด้วย”

ได้เรื่องเลย…ขันลงหินแกสวยมาก เราเห็นยังนึกเสียดายของเก่า แต่ว่าของเก่าหรือไม่เก่าเราเสียดายไม่ได้ เวลาสร้างต้องทุบกันแน่ ฝากไปด้วย ๓ ปี ก็ไม่เป็นไร เลยบอกว่า

“เอางี้ดีกว่าโยม เวลาที่ฉันจะสร้าง ฉันจะมาใหม่”

แกบอก “ไม่ได้หรอก ดีไม่ดีฉันจะตายเสียก่อน”

แกก็ให้สตางค์ ๑๐ บาทเป็นค่าแรงงาน ให้ค่าบำเหน็จแล้วแกก็เดินกลับบ้านไป แกกลับขึ้นไปมือเปล่านี่ พวกนั้นก็ถามว่า

“ขันแกไปไหนล่ะ?”

“ลำนั้นเขาสร้างเหมือนกันนะ แต่สร้างพระพุทธชินราช”

แกพูดเท่านั้นแหละ ยายพวกนั้นแบกลงมาอีกแล้ว

“ท่านทำไมโกหกฉันล่ะ?”

แล้วกัน แหม..ซวยเลย เราเสียยี่ห้อ บอก “ทำไมเล่า?”

“ก็ท่านจะสร้างพระพุทธชินราช ทำไมท่านไม่รับของล่ะ” ก็บอกว่า “อีก ๓ ปีนะโยม” 

“อ้าว…ถ้ายังงั้นฉันก็ฝากบ้างสิ” แกก็เลยฝากไว้

ปรากฏว่า แกถือของลงมา ต่างคนต่างฝาก ก็ไม่ต้องนอนกันละ ปรากฏว่าเรือไม่มีที่นอน ทำยังไงล่ะ…มันชักจะยุ่งเสียแล้ว ก็คิดว่าเรื่องมันใหญ่ไปมากแล้ว เลยต้องตกบันไดพลอยโจน เช้าต้องจอดอยู่อีก เช่าเรือต่อเขาอีกลำ ของมันอยู่ในเรือยนต์เต็ม ก็เช่าเรือเขา เขาถามว่า “เช่าทำไม?” บอก “ใส่ของ” 

เจ้าของเรือเขาก็ดี บอกว่า 

“ไม่ต้องเช่า..วัดนี้ ถ้าวัดอื่นอาจจะต้องเช่า” 

“เสียเวลานะโยม หลายวันนะ” 

“เสียเวลาก็ไม่เป็นไร เรือไม่ได้ใช้”

เขาก็มาคุมเรือให้เอง เอาของใส่จอดอยู่ที่นั่น รุ่งขึ้นมึงมา กูมา ผลที่สุดเห็นท่ามันจะเต็มลำอยู่แล้ว ทองเหลืองทองขาวนะ ก็จะลากลับ กลับไม่ได้อีกแล้ว เรือวิ่งมาจะออกปากคลอง มึงเรียก กูเรียก ร้องไห้จะตาย ไม่มีที่ใส่ ก็นึกว่า เออ..ตกลงไม้เม้ย..ไม่ต้องหากันละ ไอ้เราอุตส่าห์ไม่เรี่ยไร วิ่งไปเรียบๆ มึงกวักกูกวัก กวักผ้าก็ต้องแวะ ต้องกลับมานอนที่เดิมใหม่ ผลที่สุดก็เลยขึ้นไปที่เทศบาล ถามว่า “มีเครื่องขยายเสียงไหม..ขอเช่า”

ปลัดเทศบาลก็แปลกเหมือนกัน บอกว่า “ถ้าวัดอื่นต้องเช่า แต่วัดนี้ไม่ต้องเช่า ผมให้พนักงานไปเสร็จ”

“เออ…ก็ดีเหมือนกัน มีคนร่วมมมือได้ด้วยดี…เสร็จ”

เป็นอันว่ากว่าจะถึงวัด ทองเหลืองทองขาวเต็มทั้งเรือต่อเรือยนต์ สมัยนั้นเงินมันยังแพงอยู่นะ ยังได้เงินมาอีก ๒ หมื่นบาท มันเป็นการบังคับว่าต้องทำแหงๆ ไม่ทำไม่ได้ ใช่ไหม..

ฝนตกตั้งแต่เริ่มสร้าง
เมื่อมาหาช่างก็รู้สึกว่ามันพอไปหมด เขาเรียกว่า “พอหมด” ทองก็พอ เงินก็พอ ไปถามเขาว่าจะเอาเท่าไร…ก็พออีก ยังขาดเงินอีกอย่างเดียว คือการจัดงาน อันนี้ไม่ใช่ของแปลก เป็นอันว่าของท่านครบเสร็จ เวลาจัดงานก็มาตกลงกับช่าง ช่างบอกว่า

“พอเริ่มปั้นหุ่น ฝนตกหนัก ปั้นหุ่นเสร็จ เอาสีผึ้งใส่ ฝนตกอีก เอาดินทรายทับ ฝนตกอีก”

เขาลากหุ่นไปจากกรุงเทพฯ ไปที่วัดบางนมโค พอไปถึง ฝนตกใหญ่ ทีนี้ก็มาถึงวันหล่อ ตามธรรมดาวันหล่อพระ ฝนต้องตกปรอยๆ ตกหยิมๆ จึงจะดี ใช่ไหม…วันนั้นไม่หยิมละ ล่อเม็ดโป้งๆเลย พอเทเสร็จฝนก็ลงจั้กๆ น้ำนอง พอเลิกแล้วหุ่นเย็นก็ให้ช่างทุบ ช่างไม่ยอมทุบหุ่น บอกว่า

“ลักษณะอย่างนี้ พระเสียหมด หมายความว่าจะยกหุ่นมากรุงเทพฯเลย แล้วก็มาแต่ง ถ้าเสียหายก็ต้องทำกันใหม่เลย”

ก็เลยบอกว่า “ไม่ได้หรอก งานมันยังมีอยู่ พิธีกรรมฉันเป็นคนทำนะ พิธีกรรมเป็นเรื่องใหญ่ ถ้าหากว่าผลเสียหายเกิดขึ้น ก็แสดงว่าคนที่ทำพิธีกรรมน่ะทำไม่ถูก”

ช่างแกเกิดไม่ยอมทุบ ก็เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อปาน ผลที่สุดก็ตัดสินใจ เสียเป็นเสีย ลักษณะฝนตกแบบนี้เขาต้องเสีย พอทุบหุ่นออกมาแล้ว เรียบร้อยเกือบไม่ต้องแต่ง อีตาช่างน้ำตาไหล บอกว่า “ผมไม่เคยเจอะเลย”เพราะยังไงๆก็ต้องมาแต่งที่กรุงเทพฯให้เรียบร้อย เอาตะไบขัดให้ดี ใช่ไหม…แล้วก็ปิดทองเสร็จ เขาก็เอาไป

พอดีฝนมันแล้งจัด ชาวบ้านเขาจะไปเล่นนางแมวนางหมาอะไรนั่นแหละนะ แบบสมัยเก่า ฉันก็ไปยืนที่หน้าต่าง ถามเขาว่า “ทำไมเล่า?” บอก “จะไปเล่นขอฝน”

บอกว่า “กลับไปเถอะ พรุ่งนี้เขาจะเอาพระพุทธชินราชมาจากกรุงเทพฯ ฝนจะตกตลอดตามที่ต้องการ” ไอ้เราก็โม้ไปอย่างงั้นละ โม้ส่งเดช เจ้าพวกนั้นทำยังไง…วันรุ่งขึ้นมันก็มากันเต็มวัดเลย ไม่ใช่ตำบลเดียว ๒-๓ ตำบล ฝนมันไม่ตกนี่ แกก็มานั่งคอยพระพุทธชินราช ฝนจะตกไหม…

ไอ้เราก็ชักใจเสีย จะไปไหนก็ไปไม่ได้ ถ้าฝนไม่ตกมันคงทุบเราแน่ ก็เป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ บังเอิญก็ได้ พุทธานุภาพก็ได้ พอเรือที่บรรทุกพระพุทธชินราชไปถึง พอจอดเทียบท่าวัดฝนตก ๒ ชั่วโมงเต็ม ตกขนาดไม่ลืมหูลืมตา ล่อเต็มที่จั้กๆตั้งเวลาได้ ๒ ชั่วโมง

ก็เป็นอันว่าการแบกพระขึ้นเป็นของไม่ยาก เขาดีใจกันใหญ่ ช่วยแบกพระบ้าง ช่วยแบกคนบ้าง มันล่อกันเต็มที่เลย พอขึ้นมาเสร็จ เขาก็ตั้งกฏเลย แกเลยบังคับต้องทำบุญ ๓ วัน พวกนั้นเขาทำเอง ก็เลยบอกว่า

“แกจะทำสักกี่ร้อยวันก็เชิญ ฉันอยู่วัดไม่ต้องบิณฑบาต”

เขาก็ขนกันทำบุญ พอทำบุญเสร็จ เขาเวียนเทียนเสร็จก็เข้าที่ ทีหลังก็ขอท่านตอนเย็น ขอให้ฝนตกพอดีๆเท่าที่ข้าวเขาต้องการ ตกตลอดทุกวัน

อธิษฐานขอฝนตกที่อื่นก็ได้
ตอนนั้นมีเรื่องแปลกอีกเรื่องหนึ่ง รุ่งขึ้นอีกปีหนึ่งก็ไปสร้างโบสถ์ที่ จ. ราชบุรี เขาให้ไปสร้างโบสถ์ แต่มันเป็นที่แนวลึกเข้าไปที่ใกล้ๆแม่น้ำ บางที่เราไปง่าย เขาไม่ให้สร้างหรอก ไอ้ที่ชาวบ้านทำไม่ถึงละเราไป

ก่อนจะไปก็อาราธนาท่าน ขอบารมีท่าน ไม่ได้แบกท่านไปด้วยหรอกนะ ถ้าเรือบ่ายหน้าเข้าคลองเล็กละก้อ…พอไปถึงที่เรียบร้อย ขอให้ฝนตกใหญ่ ๒ ชั่วโมง แล้วก็ไป ก็น่าแปลกเรือเราไม่ได้บรรทุกท่านไป แต่เรานึกถึงท่าน ขณะที่เรือวิ่งไปเดือนเมษายนไม่มีแสงแดดเลย ไอ้เมฆนี่ที่จะบังทับไปอยู่ตลอดเวลา แปลกดีเหมือนกัน

เมื่อไปถึง พอเรือเบนเข้าคลองเล็กปรากฏว่าฝนตกพรำๆไปถึงที่พอนั่งเรียบร้อยแล้วฝนตกลงมา 2 ชั่วโมง มีโยมคนหนึ่งมาบอก

“ท่าน..ดินสูงมาก ได้อีกสักชั่วโมงก็ดี” เอางั้นอีก ไอ้เราก็ปากหมา บอก “เอาตีสองนะโยม…เอาอีก ๒ ชั่วโมง”

เราก็นึกว่าตีสองใครจะไปนั่งอยู่มันกลับไปหมด ตกก็ตกไม่ตกก็ช่าง มันต้องกลับไปหมด ใช่ไหม…ที่ไหนได้ คนที่มามันไม่ยอมกลับ มันคอยดูตีสองอีก ซวยละเรา…เอายังไงกันแน่นะ มันก็นั่งดูนาฬิกา ถาม “อยู่ทำไม?”

“ก็ท่านบอกตีสองฝนจะตก”

เราก็เลยบอกว่า “ฉันพูดไปยังงั้นแหละ ด้วยพุทธานุภาพ ท่านจะให้หรือไม่ให้ ฉันบังคับไม่ได้นะ”

เขาก็บอก “ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวขอดูใหม่”

ดาวที่เต็มฟ้าไม่มีมัวสักนิดเดียว เห็นดาวสบาย เค้าก็ไม่มี พอนาฬิกาตีเป๋ง…ลงพั๊วทันที ล่ออีก ๒ ชั่วโมง

แต่ก็แปลก พอฉันจำจะต้องย้ายวัด เพราะครบ ๒๐ พรรษาตามที่หลวงพ่อปานท่านสั่ง ก็เอามาไม่ได้เพราะว่าเป็นของสงฆ์ พอออกมาไม่ได้ พออยู่ข้างหลังใครไปขอเท่าไรฝนก็ไม่ตกเป็นไง…?

ถามท่านว่า “ทำไมจึงเป็นยังงั้น?”

บอก “ไม่มีใครเขารู้จักฉันนี่ แม้แต่ไหว้ยังไหว้ไม่ถูกเลย” นี่เรื่องของพระพุทธชินราช ท่านให้ผลดีจริงๆ

จาก หนังสือ หลวงพ่อตอบปัญหา เล่ม ๔

by admin admin ไม่มีความเห็น

การรับรู้สภาวะที่แท้จริง ของร่างกายในธรรมปัจจุบัน คือ อริยสัจ

การรับรู้สภาวะที่แท้จริง ของร่างกายในธรรมปัจจุบัน คือ อริยสัจ

เมื่อวันพฤหัสบดี 15 ก.ค. 2536 สมเด็จองค์ปฐม ทรงพระเมตตามาสอนไว้ดังนี้

1.การรู้สภาวะที่แท้จริงของร่างกายในธรรมปัจจุบัน คือ อริยสัจ เป็นทุกขสัจที่พระอริยเจ้าจักต้องยอมรับนับถือ สภาวะที่แท้จริงของร่างกายไม่มีใครเขาฝืนมันได้ ยิ่งฝืนมากเท่าไหร่ ยิ่งทุกข์มากเท่านั้น ร่างกายเป็นไปตามสภาวะปกติของมัน คือ ทำงานหนักเกินกำลัง มันก็เสื่อมโทรมให้เห็นปรากฏชัดเจน เป็นเวทนาอยู่ภายใน หากจิตรับทราบเวทนานั้นแล้ว วางป็นสังขารรุเบกญาณ คือยอมรับสภาพของร่างกายขณะนั้นๆ จิตก็ไม่จักดิ้นรอเพื่อให้พ้นจากสภาวะนั้น ซึ่งไม่มีใครพ้นไปได้ เมื่อยอมรับจิตก็จักมีความสุข ด้วยความเห็นร่างกายนี้ มีความเสื่อมไปตามปกติของมัน

2.ประการสำคัญต้องรู้อยู่เสมอว่า ร่างกายนี้มิใช่เรา มิใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย น่างกายไม่มีในเรา จิตก็จักผ่อนคลายจากความยึกเกาะในเวทนานั้น ดังนั้นการกำหนดรู้ว่าร่างกายเสื่อมนั้นเป็นของจริง จิตก็ควรจักยอมรับความจริงนั้นๆ

3.ในเมื่อรู้ก็สมควรพัก ดูความเสื่อมและเห็นความดับไปของความเสื่อมนั้น เมื่อร่างกายได้พักพอสมควรแล้ว ก็จักเห็นความไม่เที่ยงของร่างกายอย่างชัดเจน

4.บุคคลผู้รู้จริงจักไม่ฝืนสภาพร่างกาย กล่าวคือไม่มีความเบียดเบียนร่างกายจนให้เกินไปกว่ากฎธรรมดา (ผู้เห็นทุกข์จริงจะไม่ฝืน และไม่เพิ่มทุกข์ให้แก่ตนเอง)

5.กฏธรรมดาคืออะไร อย่างร่างกายแก่ก็ไม่ฝืนความแก่ อย่างสตรีแก่แต่ไม่ยอมแก่ ไปผ่าตัดเสริมสาว ทำร่างกายเจ็บปวดก้เป็นการเบียดเบียน หรือ คนเจ็บป่วยมีหนทางรักษา แต่ฝืนกฎธรรมดาไม่ยอมรักษา ไม่ยอมใช้ยา ไม่ยอมไปหาหมอ ก็เบียดเบียนร่างกาย อย่างร่างกายเสื่อม ต้องการเปลี่ยน อิริยาบถ จิตไม่รู้เท่าทัน ถือทิฏฐิ นั่งนาน ยืนนาน เดินนาน นอนนาน ก็ฝืนกฏธรรมดา คือการเบียดเบียนร่างกายเช่นกัน

6.คำว่าสังขารุเบกขาญาณ ต้องแปลว่า วางเฉยอย่างรู้เท่าทันในกองสังขารทั้งปวง คือ ยอมรับกฎธรรมดาอัน เป็นจริงของสภาพร่างกาย

7.อย่าคิดว่า เกิดมาชาตินี้ ขอมีร่างกายเป็นชาติสุดท้าย แล้ว ตะบี้ตะบันใช้งานมันไปอย่างไม่มีปัญญา ร่างกายถูกเบียดเบียนเท่าไหร่ จิตอาศัยเป็นเครื่องอยู่ ก็จักมีเวทนาที่ถูกเบียดเบียนเท่านั้น

8.จักต้องรู้จักกฎธรรมดาของร่างกาย จิตจึงจะเป็นสุขได้ ยกตัวอย่างง่ายๆ ร่างกายมันมีความสกปรก ต้องอาบน้ำชำระล้างทุกวัน จิตเหมือนในบ้าน บ้านสกปรกตามกฎธรรมดาของโลก ถ้าไม่เช็ดไม่ล้างไม่ถูให้อาด คนอยู่จักหาความสบายใจได้หรือไม่ ร่างกายเช่นกัน กฎของธรรมดาเป็นอย่างนั้น ถ้าเราฝืนธรรมดาไม่อาบน้ำให้มัน จิตก็ทุกข์ไม่สบายใจเช่นกัน

9.นี่คือธรรมในธรรมของร่างกาย ที่เจ้าจักต้องศึกษาเรียนรู้เพื่อก้าวไปสู่อารมณ์สังขารุเบกขาญาณที่ถูกต้องโดยไม่ฝืนกฎธรรมดาของร่างกาย

10.จำไว้ธรรมของตถาคต ต้องเป็นไปเพื่อการไม่เบียดเบียน ทั้งร่างกายและจิตใจ ยอมรับกฎของธรรมดาของร่างกายและจิตใจ เช่น
ก) ทุกข์ของร่างกาย หรือ โรคของร่างกาย ระงับได้ก็พึงระงับอย่างรู้เท่าทัน
ข) ทุกข์ของจิตใจ หรือโรคของจิตใจ อันได้แก่สังโยชน์ 10 ก็จักต้องรู้กำหนดรู้กฎของธรรมดาของอารมณ์ที่ยังสังโยชน์นั้นๆ เห็นการเกิดดับไปของอารมณ์สังโยชน์นั้นๆ แล้วพึงอาศัยพระธรรมคำสั่งสอนของตถาคต เป็นยารักษาโรคหรือทุกข์ของจิตใจ ให้หายขาดจากโรคนั้นๆ 

11.อารมณ์กำหนดรู้จักต้องมี รู้ร่างกาย รู้จิตใจ รู้ระงับ รู้รักษา ให้ตรงจุดที่เป็นโรค จิตก็จักเป็นสุข หมดความเบียดเบียนทั้งร่างกายและจิตใจ

ธรรมะที่นำไปสู่ความหลุดพ้นเล่มที่ 6
พระราชพรหมยานมหาเถระ หลวงพ่อฤาษีลิงดำวัดท่าซุง

รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน จากหนังสือ ธรรมที่นำสู่ควาหลุดพ้น

by admin admin ไม่มีความเห็น

เรื่อง…..สมเด็จองค์ปฐม

จะหล่อสมเด็จองค์ปฐมและสร้างมณฑปใกล้พระ ๓๐ ศอก ที่ตรงนั้นแทรกเตอร์เคยเข้าไป ดินแห้งๆ ฟรีไปไม่ได้ พอเข้าไปถึงเครื่องติดล้อหมุนแต่สายพานไม่เดินท่านบอกให้สร้างตรงนั้น ก็สร้างแค่หน้าตัก ๔ ศอก แต่ว่าทองคำไม่จำกัด
เป็นพระพุทธเจ้าองค์แรกของโลก… ไม่มีใครเขาพูดถึงกันนะ อย่างเก่งๆ ก็สมเด็จพุทธทีปังกรซึ่งพระพุทธเจ้าของเราปรารถนาพุทธภูมิเป็นครั้งแรก แต่องค์ปฐมไกลกว่านั้นเเยะ พระพุทธเจ้านี่มีหลายแสนองค์นะ องค์ปฐมนี่ลำบากมาก ถามท่านว่าบำเพ็ญบารมีมาเท่าไหร่บอก “เขาบำเพ็ญบารมี ๑๖ อสงไขย ฉัน ๓๐ อสงไขยกว่า เพราะไม่มีตัวอย่าง” ก็ถามท่าน ทำไมจึงคิดว่าจะเป็นพระพุทธเจ้า ท่านบอก “ไม่รู้ มันมีชาติหนึ่งคิดว่า คนเกิดมาแล้วก็มีทุกข์ ทำไงจึงหมดทุกข์ ทำไปมันก็ทำผิดบ้างถูกบ้างใหม่ๆ ต่อไปก็เข้าเขตถูก”
องค์ปฐมนี่ พบครั้งแรกที่นครราชสีมา ปี พ.ศ. ๒๕๑๑ นั่งกรรมฐานกันอยู่ไม่กี่คนเวลานั้น พล.อ.อ.อาทร เป็นผู้บังคับกองฝึกที่นครราชสีมา ถึงเวลาเขาก็เจริญกรรมฐาน ฉันเป็นประธาน ฉันนั่งอยู่มองเห็นพระพุทธเจ้ายืน ๒ แถวยาวเยีอดยกมือพนม ฉันแปลกใจ พระพุทธเจ้าไหว้ใครน่ะไม่มี ในที่สุดก็ถามโยมว่า ทำไมพระพุทธเจ้ามากมายวันนี้หลายแสนองค์ ๒ แถว แล้วยืนพนมมือ พระพุทธเจ้าไหว้ใคร มีไหม
ท่านบอก มี ถามว่า ใคร ท่านบอก องค์ปฐม องค์แรกที่สุด เดี๋ยวจะเสด็จมา เดี๋ยวมา ท่านใหญ่โตกว่าพระพุทธเจ้าธรรมดาเยอะ เดินองอาจเดินสวยนะ พอเดินมาถึงฉัน ท่านบอก “เอ้ย กูจะนั่งที่ไหนดีหว่า แท่นไม่มี กูนั่งบนหัวมึงก็แล้วกัน” เลยนั่งบนหัวเลย
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ก็นั่งบนหัวเรื่อยมา เวลานี้ก็นั่งบนหัว องค์ปฐมนี่ท่านเคยบอกว่า ฉันเคยเป็นลูกท่าน เคยเป็นลูกในสมัยที่ท่านยังไม่เป็นพระพุทธเจ้านะ ในกาลก่อนๆนะ แล้วต่อมาในสมัยที่ท่านเป็นพระพุทธเจ้า ฉันก็ปรารถนาพุทธภูมิ แต่ดันปรารถนา ๑๖ อสงไขย อยากจะให้เก่งเหมือนพ่อ ความจริงชาตินี้ ถ้าหากว่าทนถึงอายุ ๖๐ นะจะจบชาตินี้ และจะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๒๒ นับจากพระศรีอาริย์
บอก “ถ้าอย่างนั้น ผมขอถวายบังคมลา ขี้เกียจไปนั่งยิ้มอยู่บนชั้นดุสิต” และท่านก็เลยบอกว่า “คุณน่ะ เคยเกิดเป็นลูกพระพุทธเจ้ามา ๘๔ องค์” ขนาดเป็นลูกพระพุทธเจ้า ๘๔ องค์ ยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์เลย (หัวเราะ) กิดทุกชาติรบทุกชาติ มันจะเป็นได้ไง ตอนปรารถนาพุทธภูมิน่ะมันรบทุกชาติ มาชาตินี้เอาหน่อยสมัยอินโดจีน นี่ถึงไม่เจ็บ ไอ้ตัวเจ็บป่วยไม่ใช่อะไร เรื่องรบและก็อาหารของทหาร วัวควายช้างม้า ทหารกินวันละเท่าไร ใช่ไหม เวลารบฆ่าคนตายวันละกี่คน ต้องคิด นี่กรรมเก่าตามสนอง
บางทีคนเขาต้องการให้ฉันช่วยให้พ้นวิบากกรรม ฉันนี่ยังไม่พ้นเลย

จากหนังสือ พ่อสอนลูก หน้า ๔๒๗-๔๒๘

by admin admin ไม่มีความเห็น

ตอน 36



สวัสดี..วันนี้มาต่อเรื่องฌานอีกซักเล็กน้อยดีมั้ย

ดีไม่ดีไม่รู้ว่าต่อเลยละ ก่อนไปฌานย้อนมานิดนึงนะ อานาปานุสสติ

ศัพท์วัยรุ่นก็อานาปา แรกๆฟังก็งงมันคืออะไร เออหลังๆเริ่มเข้าใจ ว่าต่ออานาปานี่เป็นกรรมฐานคุมกรรมฐานทุกกอง ต้องขึ้นต้นก่อน หลังจากขึ้นต้นด้วยอานาปานุสสติ คือลมหายใจเข้าออก หายใจเข้าเราก็รู้ว่าหายใจเข้า หายใจออกเราก็รู้ว่าหายใจออก แบบนี้เป็นอย่างหยาบเป็นขั้นต้นนะ

ต่อไปคือหายใจเข้ายาวหรือสั้น ก็รู้อย่างนี้ละเอียดขึ้นมาอีก ถ้าเอาละเอียดสุดก็สมาธิสูงสุดเป็นฌาน ถ้าเวลานั้นนะจิตจะทรงฌานเล็กน้อย ฌานเบื้องต้น ตือ ฌาน1 2 3 จะรู้อาการของลมตั้งแต่กระทบจมูกเรื่อยมาจนถึงศูนย์เหนือสะดือ ลมหายใจออกกระทบศูนย์สะดือ กระทบหน้าอก กระทบปลายจมูก จะรู้ตัว ถ้าเกิดความรู้สึกแบบนี้ให้ทราบไว้นะจำให้ดีนะถ้ารู้สึกตามนี้นั้นเรียกว่าจิตเป็นฌาน ฌานอะไรล่ะ ก็ฌาน1 2 3ไม่ใช่4 เออแล้ว4ล่ะ ถ้า4นะจิตจะไม่มีความรู้สึกสัมผัสลมหายใจ คิอว่าประสาทกับจิตแยกออกจากกันเด็ดขาด จะรู้สึกเหมือนไม่หายใจ แต่ความจริงหายใจ จิตจะไม่รับรู้กับประสาท

เป็นอันว่าลมหายใจเข้าออกเนี้ยเรียกว่า อานาปา เป็นกรรมฐานที่กันความฟุ้งซ่านของจิต

ถ้าจิตมีความฟุ้งซ่าน ถ้ารู้ลมหายใจเข้าออกมันจะยับยั้งทันที ง่ายมั้ยแหมใครทำไม่ได้ก็แย่เต็มทีและนะใครฟุ้งก็ลองทำดู

 25 25-01-2012, 12:52 PM, P. 169

วันนี้ว่างจัดนอนหายใจทิ้งเวลาไปกับทางโลก…แต่ลมหายใจในพระพุทธศาสนาไม่เคยทิ้ง หายใจเข้ารู้ว่าหายใจเข้า หายใจออกรู้ว่าหายใจออก

เมื่อวานออกไปตลาดกับแม่ครับแม่ถามเย็นนี้กินอะไรดี ผมก็บอกว่าผมศีล8 แหมแม่หันมามองขวับ เออชักเป็นเยอะแล้วสินะ แหมศีล8ผมมันก็แปลกๆเขาห้ามนอนที่นอนนุ่มๆไอ้ครั้นจะลงมานอนกะพื้นก็คงทำให้พ่อ งงๆ ทำไมนอนกะพื้นแล้วให้หมานอนบนที่นอน เออเอาก็ในเมื่อเขาห้ามนอนนุ่มๆ ก็ไม่ร้จะทำยังไงก็เลยนึกเอาครับว่าไอ้ที่นอนเนี้ยไม่มีความนุ่มไม่มีความสบายไม่มีอะไรดี

มาต่อเรื่องไรดีล่ะ ว่างเกินจะได้ไม่ฟุ้งซ่าน เอาเรื่องการนอนดีมั้ย ฝึกก่อนนอนไปลองใช้ดู

วิธีฝึกก่อนนอนหรือก่อนจะหลับ ให้เราจับอานาปา คือนึกถึงลมหายใจเข้าออก ถึงแม้เราจะได้มโนยิทธิแล้ว เราก็ไม่อยากรู้ไม่อยากเห็นอะไรไปทั้งหมด ตัดการเห็นออกไป นึกถึงลมหายใจเข้าออก นึกถึงคำภาวนา นึกถึงพระพุทธเจ้า

แต่จริงๆถ้าได้มโนมยิทธิแล้วถ้านึกถึงแล้วจิตมันจะเต็มกำลังมันไปของมันเองนะ ถ้ามันไปก็ช่างมัน ไอ้ผมนี่ประจำนิดๆหน่อยๆไปทันที ถ้าหากเรานึกอยู่ ไม่คิดถึงอะไรเลย ไม่คิดอยากเห็นเทวดา เห็นพรหม ไม่ต้องการอะไรทั้งหมด ต้องการรู้ว่าเวลานี้ ลมเข้า เวลานี้ลมออก ก็ภาวนาตามและนึกถึงพระพุทธเจ้าไว้อย่างนี้ทำให้ชิน คืนนึง2-3 นาทีพอ

ทำแบบนอนทำนะไม่เอานั่ง แล้วก็ปล่อยให้หลับไป ต่อไปอารมณ์มันจะชิน ในเมื่อเราล้มตัวนอนเมื่อไหร่ มันจะภาวนาเอง มันทรงตัวเองนะ และบ้างครั้งถ้าเราไดมโนมยิทธิแล้วถ้ากำลังมันเต็มมันไปของมันเองก็ปล่อยมัน ถ้ามันจะไปอย่าไปฝืนอย่าไปยั้งปล่อยให้มันไปตามเรื่องตามราว เพราะกำลังมันได้

จิตมีสภาพ 2อย่าง คือบางทีมันต้องการสงบ บางครั้งมันต้องการท่องเที่ยว ถ้าจิตท่องเที่ยวออกจากร่างกายก็ถือว่าจิตห่างไกลจากกิเลส ถ้าจิตอยู่กะร่างกายก็เป็นจิตสงัด ไม่นึกถึงอย่างอื่นทั้งหมด จิตก็ไม่ยุ่งกับกิเลสเหมือนกันได้ผลเท่ากัน ลองทำดูถ้าไม่ทำเอาแต่อ่านมันก็ไม่รู้เมื่อไม่รู้ก็มาถาม เมื่อถามแล้วไม่ทำมันก็อยู่จุดเดิมคือไม่รู้

12, 04:12 PM, P. 169



Top