Blog

by admin admin ไม่มีความเห็น

สมเด็จองค์ปฐมรุ่น ๓

พุทธลักษณะ เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยใต้ซุ้มเรือนแก้ว สร้างจำลองโดยใช้พิมพ์เดียวกันกับสมเด็จองค์ปฐมรุ่น ๑

สร้างด้วยเนื้อทองเหลืองชุบทอง จำนวน ๓๐,๐๐๐ องค์ ใต้ฐานบรรจุกริ่ง ฝากริ่งมีอักษรตัวนะ เช่นเดียวกับรุ่น ๑ แต่เนื่องจากสร้างโดยการถอดพิมพ์จากรุ่นแรก จึงทำให้ขนาดเล็กกว่ารุ่นหนึ่งและรุ่นสองเล็กน้อย

พุทธาภิเษกครั้งแรกที่ตึกรับแขก วันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๓๕ เป็นพิธีสุดท้ายก่อนหลวงพ่อมรณภาพ พร้อมพระพุทธรูปบูชา หลวงพ่อท่าน ได้ปรารภไว้ว่าจะทำรุ่นนี้ให้เป็นพิเศษ
ภายหลังจากหลวงพ่อมรณภาพแล้ว ได้นำเข้าร่วมพิธีพุทธาภิเษก อีกครั้ง ณ .พระอุโบสถวัดท่าซุง ในวันเสาร์ ๕ ที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๓๖ ตามคำสั่งหลวงพ่อ

หลวงพ่อเล่าว่า ” ผู้ที่มี สมเด็จองค์ปฐม ไม่ว่ามนุษย์ก็ดี อมนุษย์ก็ดี หรือสัตว์ร้ายก็ดี ถ้าคิดไม่ดีจะร้อนรุ่มจนทนไม่ได้ ต้องถอยไปในที่สุด ” 
วัตถุมงคลหลวงพ่อทุกชนิด ล้วนมีประสบการณ์สูง ตามสโลแกน ที่ว่า “ห้อยพระหลวงพ่อฤาษีลิงดำ กระดูกจะไม่หัก และจะไม่ตายก่อนอายุไขย ” มีอานุภาพป้องกันสรรพอันตรายทั้งปวง แคล้วคลาด เดินทางปลอดภัย ดีทั้งโชคลาภ เด่นทั้งเมตตามหามงคล ป้องกันรังสี นิวเคลียร์ เคมี แก๊สพิษ ก๊าซชีวะภาพ และฝนเหลือง และโรคระบาด ทุกชนิด อาราธนาได้ตามใจปรารถนา

พระคาถาอาราธนา พระเครื่องของหลวงพ่อฤาษี ฯ
ตั้งนะโม ๓ จบก่อน แล้วยกพระเครื่องขึ้นพนมมือ อาราธนาพระคาถา ๓ จบดังนี้
” อิทธิฤทธิ พุทธะนิมิตตัง ขอเดชะ เดชัง ขอเดช เดชะ จงมาเป็นที่พึ่ง แก่ มะอะอุ นี้เถิด “
* อิทธิฤทธิ อ่านว่า อิดทิ ริดทิ *

ขอบคุณพระเครื่อง  พระราชพรหมยาน เอื้อเฟื้อข้อมูล

by admin admin ไม่มีความเห็น

ปัญหาของผู้ฝึกมโนมยิทธิ

ปัญหาของผู้ไม่เคยฝึกมาก่อน

จาก หนังสือ หลวงพ่อตอบปัญหา เล่ม ๒


หลวงพ่อ : คำว่า มโมนยิทธิ แปลว่า มีฤทธิ์ทางใจ มโนยิทธินี่เป็นการเตรียมอภิญญา จะเรียกวิชชาสามตรง ก็เข็มเกินไป จะเรียกอภิญญาก็ยังอ่อนอยู่ เป็นการเตรียมอภิญญา เตรียมเพื่อรับอภิญญาหก 

วิชชาสามจริง ๆ ไปไมได้แต่เห็นได้ นั่งอยู่ตรงนี้ สามารถเห็นเทวดา เห็นพรหม เห็นพระอริยะ สามารถคุยกันได้ นั่งอยู่ตรงนี้สามารถคุยกับเปรตได้ คุยกับอสุรกายได้ คุยกับพวกสัตว์นรกได้แต่ก็นั่งตรงนี้เอง

ทีนี้สำหรับมโนมยิทธินี่ก็เป็นอภิญญาทางใจส่วนหนึ่ง ต้องถือว่าเป็นกึ่งของอภิญญา เพราะว่าสามารถเอาจิตไป เอากายในไป ทว่าถ้าเป็นอภิญญาจริง ๆ เขายกตัวไปเลย จะไปสวรรค์ไปพรหมเขาเอาตัวไปเลย นั่นต้องใช้กำลังเข็มแข็งกว่า สูงกว่าแต่ว่ากันโดยผลเสมอกัน เพราะไปเห็นมาได้เหมือนกัน

ผู้ถาม : “หลวงพ่อคะ ถ้าอย่างดิฉันต้องการฝึกบ้าง ต้องใช้เวลากี่วันคะ….?

หลวงพ่อ ก็สุดแล้วแต่คุณจะทำได้ ถ้าคนทำได้เร็วไม่ถึงวันก็ได้ อันนี้จริง ๆ นะ ถ้าทำได้เร็วใช้กำลังใจถูกต้อง โดยเฉพาะถ้าเป็นผู้หญิงนี่ได้เร็วมาก เพราะพวกผู้หญิงนี่ไม่ค่อยสงสัย เพราะตัวสงสัยเป็นตัวนิวรณ์ ส่วนใหญ่จริง ๆ พวกผู้หญิงนี่มักจะเป็นได้วันแรก นี่พูดถึงส่วนใหญ่นะ แต่พลาดมาวัน ๒ วันที่ ๓ ก็มี ใช้เวลาไม่มากหรอก เราไม่ต้องนับเดือน ไม่ต้องนับปีกัน 

ถ้าคุณจะฝึก คุรต้องไปซ้อมกำลังใจเสียก่อน ถ้าซ้อมกำลังใจให้ทรงตัวมาวันแรกก็ได้ มันอยู่ที่ความเข้าใจคือ ไม่ต้องทำอะไรมาก ทรงอารมณ์ไว้เฉย ๆ หายใจเข้านึกว่า นะ มะ หายใจออกนึกว่า พะ ธะ ไม่ต้องทำให้มันเครียดหรอก ให้มันชินเท่านั้นเอง

คำว่า ชิน หมายความว่าถ้าให้เราภาวนาอย่างนี้เมื่อไรเราภาวนาได้ ไม่ต้องไปนั่งเครียดทั้งวันทั้งคืนซ้อมให้ทรงตัวนะ

ผู้ถาม : หลวงพ่อคะ อย่างเรามีความศรัทธา จะฝึกมโนมยิทธิเรามีความจำเป็นไหมคะ ที่เราจะต้องรู้รายละเอียดในความหมายของคำภาวนา นะ มะ พะ ธะ

หลวงพ่อ : ก็ไม่ต้องไปละ อยู่ที่เดิมน่ะ ถ้าฉลาดแบบนั้นไปไหนไม่ได้ เขาให้ภาวนาเพื่อเป็นกำลังของสมาธิเท่านั้น เขาไม่ต้องใช้ปัญญา ปัญญาเขาใช้ส่วนอื่น ถ้าขืนฉลาดแบบนั้นก็อยู่ที่เดิม 

การเจริญพระกรรมฐาน เขาต้องไปตามจุด ต้องเฉพาะกิจที่เขาจะสอนให้แจกแจงนั่นต้องปฏิบัติในธาตุ ๔ เขาเรียกว่า จตุธาตุววัตถาน ๔ แต่อันนี้ไม่ใช่ เขาต้องการภาวนาเพื่อเป็นกำลังของจิตเพื่อให้จิตเป็นทิพย์ ชื่อเหมือนกัน แต่ใช้กิจต่างกัน

อย่างกับทัพพีเขาใช้คนหม้อข้าว เป็นทัพพีสำหรับหุงข้าวถ้าเขาไม่มีช้อน เอามาตักข้าวเข้าปาก นี่มันกลายเป็นช้อนไป ใช่ไหม…..

นี่ก็เหมือนกัน ต้องใช้เฉพาะกิจของเขา ถ้าเรื่อยเปื่อยไปก็พังรับรองได้เลยถ้าเรื่อยเปื่อยไป นอกรีตนอกรอยอีกแสนชาติก็ไม่ได้ ต้องฉลาดพอดี ไม่ใช่ฉลาดเกินพอดี กิจอันนี้เขาทำเพื่ออะไร

ถ้าเราจะแจงเป็นธาตุ ๔ ก็ไม่ใช่ลักษณะนี้ นั่นต้องหวลเข้าไปหาสุกขวิปัสสโก ไม่ใช่ฉฬภิญโญ หมวดแต่ละหมวดของกรรมฐาน ปฏิบัติไม่เหมือนกัน

ผู้ถาม : หลวงพ่อคะ บางคนเขาภาวนาว่า “พุทโธ” แต่ว่าทำไมเขาไปได้คะ….? 

หลวงพ่อ : ถ้าเขาไปได้แล้วอะไรก็ได้ ให้มันสตาร์ทติดเสียก่อน ถ้าไปได้แล้วจริง ๆ ไม่ต้องภาวนา นึกปั๊บมันถึงเลยกำลังเขาพอเข้าใจไหม…..

คำว่าภาวนาที่เราใช้กันหนัก เพราะเรายังไม่คล่อง แบบเขียนหนังสือน่ะ อ่านหนังสือวันแรก สองวัน สามวัน เขียน ตัว ก.ไม่ได้ ถ้าเขียนคล่องแล้ว นึกเมื่อไรเขียนได้เลย ใครเขาพูดก็เขียนได้เลยเหมือนกัน ถ้าคล่องจริง ๆ ไม่ต้องภาวนา พอนึกปั๊บมันถึงทันที

ผู้ถาม : หลวงพ่อคะ บทสตาร์ทนี่ ต้อง “นะ มะ พะ ธะ” อย่างเดียวหรือคะ “สัมมา อรหัง” ได้ไหมคะ…? 

หลวงพ่อ : เอาแล้ว หาเรื่องตกร่องอีกแล้ว มันมีหลายสิบบท ไม่ใช่บทเดียว แต่ว่าบทนี้เท่านั้น ขณะที่ไปอยู่จึงจะคุยกับคนข้าง ๆ ได้ นอกนั้นเขาไปเงียบ จบจุดแล้วจึงมาเล่าสู่กันฟัง

ฉันคิดว่า ถ้าไปกันเงียบ ชาวบ้านเขาจะหาว่าโกหก ฉันจะตัดตัวนี้ คือปัจจุบันเห็นแล้วคุยได้เลย ถามทางโน้นก็บอกทางนี้ได้ทันที เขาต้องการอย่างนี้
ฉันยังจำคำแนะนำของหลวงพ่อปานได้ เมื่อก่อนฉันจะบวช ฉันบวชนี่ฉันไม่ได้บวชตามประเพณีกับเขา บวชเพื่อพิสูจน์พระศาสนา พระศาสนาว่า สวรรค์มีจริง นรกมีจริง ฉันจะไปเที่ยว

หลวงพ่อปานท่านบอกความต้องการของแกน้อยไป ข้าต้องการมากกว่านั้น แต่ว่าแกบวชแล้วแกต้องรับ คำสอนอย่างคนโง่นะ

“อย่างคนโง่” ก็หมายความว่า ท่านบอกตรงนี้ จุดไหนก็ไปแค่นั้นแหละ เดี๋ยวก็ถึง อันนี้ถูกต้อง เพราะท่านรู้จักทาง ท่านก็นำตรง ถ้าเราฉลาดเกินไป ก็เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวาอีก

ฉันอยู่กับหลวงพ่อปานเดือนเดียว ฉันได้หมด เพราะฉันยอมโง่ อย่างลูกสาวของฉันนี่มันฉลาดมากเกินไป อย่างนี้เขาเรียกว่า “ฉลาดหมาไม่กิน” ใช่หรือเปล่า………..?

ผู้ถาม : “ใช่ค่ะ”

หลวงพ่อ : “ถ้าหมากิน เอ็งหมดไปนานแล้ว” 

หลวงพ่อพูดให้กำลังใจว่า
“ค่อย ๆ ทำไปนะ ไม่ต้องใช้เวลาให้มาก ไม่ต้องไปใช้เวลาที่สงัดนั่งเล่นทำอะไรเล่นก็ตาม นึกอะไรก็ภาวนา หายใจเข้า นึก “นะ มะ” หายใจออก นึกว่า “พะ ธะ” สองสามครั้งก็ได้ ถ้ามันฝืนขึ้นมาก็เลิกกัน ต้องการให้อารมรณ์ชินอย่างเดียว เวลาเขาฝึกจะได้ไม่แย่งกัน ให้แยกกันเสียให้เด็ดขาด
ยามปกติเราต้องการความสุข เราภาวนา “พุทโธ” ของเราไปแต่บางขณะเช่นเวลานี้ ฉันจะเอา “นะ มะ พะ ธะ” ไม่ยอมให้ “พุทโธ” มาแย่ง ไปกี่วันหรอกอย่างมากก็ ๒-๓ วัน

ถ้าลองจนชินดีแล้ว เราต้องการภาวนา “นะ มะ พะ ธะ” ก็ให้อยู่แค่ “นะ มะ พะ ธะ” พุทโธให้แยกไป

ถ้าเราต้องการภาวนา “พุทโธ” ก็พุทโธไปตามปกติ อันนี้ก็ใช้ได้
ค่อย ๆ ทำไปนะ อยู่ที่ความเข้าใจตัวเดียว ใครจะคุมหรือไม่คุมไม่สำคัญ ต้องการภาวนาถูกต้องตามแบบเขา ไม่งั้นพระพุทธเจ้าก็ไม่วางแบบไว้ซิ ถ้าภาวนาอย่างไรก็ได้ พระพุทธเจ้าจะวางแบบไว้ทำไม สอนเสียอย่างเดียวก็พอใช่ไหม….”

“พุทโธ” น่ะเป็นสายของสุกขวิปัสสโกเขา สายสุกขวิปัสสโฏ ไปไหนไม่ได้ ได้แต่ตัดกิเลส สายเตวิชโชก็มี

คำภาวนาตั้งหลายสิบแบบ แต่ถ้า “นะ มะ พะ ธะ” เป็นการเตรียมเพื่ออภิญญา จึงไปได้กรรมฐานไม่ใช่ว่าทำอย่างเดียว แบบจริง ๆ มี ๔๐ แบบ ถ้าเราใช้อะไรก็ใช้แบบที่ถูกต้อง ไม่งั้นไปไม่ได้”

ผู้ถาม : “สมมุติว่าหนูฝึก “พุทโธ” หลวงพ่อจะฉุดหนูไปได้ไหมคะ………?

หลวงพ่อ : ได้ ฉุดลงใต้ถุนไป ไม่มีทางจะฉุดได้ยังไง พระพุทธเจ้าท่านยังไม่ฉุดใคร หลวงพ่อจะไปฉุดเอ็งเข้าดีไม่มีจะมาตีเอาตาย โทษหนักเสียด้วย โทษถึงประหารชีวิต

เรื่องอื่นยังพอทำเนา บรรเทาโทษได้ แต่ว่าเรื่องนี้ประหารชีวิตกันเลยนะ หนอยแน่……..ไม่ได้หรอไอ้หนูต้องฝึกเอง แล้วทำไมภาวนา “นะ มะ พะ ธะ” ไม่ได้………?

ผู้ถาม : “รู้สึกว่าเหนื่อยคะ
หลวงพ่อ: แล้วที่ด่าชาวบ้านทำไมทำได้ล่ะ……….?
ผู้ถาม : “หนูไม่เคยด่าใครคะ ครั้งเดียวไม่เคยค่ะ…..
หลวงพ่อ : น่ากลัวไปล่อหลายเที่ยว
ผู้ถาม : (หัวเราะ)
หลวงพ่อ : ไอ้นี่ต้องคิดซิว่า “พุทโธ” เหมือนกับนั่งอยู่กับบ้านถ้าเราจะไป ไปอเมริกา เดินไปมันก็ไม่ไหว ก็ต้องขึ้นเครื่องบินไป แบบ “นะ มะ พะ ธะ” เขาฝึกเพื่อหาเครื่องบินไป 

การฝึกในพระพุทธศาสนา เขามีตั้ง ๔ ประเภท ถ้าแบบใหญ่จริง ๆ มี ๔๐ แบบ แบบย่อยอีกนับพัน อย่าง”นะ มะ พะ ธะ” เป็นส่วนหนึ่งของอภิญญา แต่ก็ยังไม่เข้าถึงอภิญญา จริง ต้องถือว่าเตรียมเพื่ออภิญญา นี่เขามีจำกัดนะ แต่ว่าการปฏิบัติแบบนี้เขาก็มีหลายสิบแบบนะ ถ้าเป็นแบบเก่าคนข้าง ๆ ถามไม่ได้ ฉันก็ไม่อยากสอนใคร ไปถึงไหน ๆ เล่าได้ตลอดเวลา ถ้านอกจากนี้ไปก็นั่งเงียบแต่ผู้เดียว เลิกแล้วกลับมาจึงเล่าสู่กันฟัง

อย่างนี้ฉันว่าของเก่านั้นของดี แต่ว่าพวกที่เขามีความสงสัยก็จะคิดว่าพวกนี้มาโกหก จึงไปหาแบบนี้มา

แบบนี้ก็ไม่ได้สร้างเอง เป็นของพระพุทธเจ้าเหมือนกัน คนข้าง ๆ สามารถถามได้เวลานี้ไปถึงไหน แล้วจะบอกได้ตลอดเวลา หาอย่างนี้มา ๒๓ ปี กว่าจะพบตำรานี้ ไม่ใช่ค้นคว้าเองนะ ทราบอยู่ว่าของพระพุทธเจ้าท่านมีแต่ตำราที่เราฝึกเราไม่พบ กว่าจะพบก็สิ้นเวลายวชไป ๒๓ ปี แต่ว่าวิธีอื่นน่ะทำได้ ถ้าเพื่อส่วนตัวนี่ทำได้ตั้งแต่พรรษาต้น แต่ว่าเราจะรู้เราก็ต้องรู้คนเดียว เลิกมาแล้วจึงมาเล่าสู่กันฟังทีนี้สำหรับคนรับฟังก็จะหาว่าโกหก

อย่างสมมุติว่า พ่อเขาตาย แม่เขาตาย เขาถามว่าพ่อแม่เขาอยู่ที่ไหน ตามผีนี่ตามง่ายกว่าตามคน ต้องการจะพบใครมันพบทันที ถ้าเราจะเอาให้แน่นอนเมื่อพบแล้วก็ให้เขาแสดงตัว เวลาที่เป็นมนุษย์รูปร่างเป็นอย่างไร แสดงให้ดูซิ เวลาป่วยยังไง ผอมหรืออ้วน อาการป่วยที่คนพอจะรู้ได้ขอให้บอก พวกที่เขาถามเขารู้ว่าเคยป่วยแบบไหน เขาอาจจะไม่รู้ทั้งหมดรู้จุดใดจุดหนึ่งนะ เขาจะบอกให้ฟัง

ถ้าถามถึงโรค มีอยู่หลายราย เขาบอกว่าที่หมอหรือพยาบาทบอกว่าตายด้วยโรคนั้น ๆ มันไม่จริง เขาตายอีกโรคหนึ่ง แต่พยาบาลเขาเข้าใจว่าโรคนั้น
นี่เราต้องถามอาการที่คนอื่นจะรู้ เขาทำท่าให้ดูเสร็จเรียบร้อยแล้วก็บอกคนข้าง ๆ ว่า พบแล้วเวลาที่มีชีวิตอยู่ รูปร่างเป็นอย่างนี้ ใช่ไหม……และอาหารที่จะตายจริง ๆ มีลักษณะแบบนี้ใช่ไหม….. คนนี้สมัยที่มีชีวิตอยู่เป็นคนใจดี หรือชอบหัวเราะ หน้าบึ้งขึงจอ อะไรก็ตาม ถามเขา เขาบอกตามความเป็นจริงหมด 
คงเข้าใจแล้วนะสำหรับท่านที่ยังมีความสงสัยในคำภาวนาและการฝึกแบบนี้ แต่ก็คงจะสงสัยอย่างอื่นอีก จึงขอนำปัญหาและคำตอบให้คลายสงสัยเสีย

ผู้ถาม : “หลวงพ่อคะ ถ้าหากฝึกมโนมยิทธิสามารถขึ้นไปข้างบนได้แล้ว จะหลงวกวนอยู่บนนั้นไหมคะ..?

หลวงพ่อ : “แหม……อีหนูเอ๊ะ อยากให้หลงจริง ๆ ถ้ามันไปติดอยู่วิมานใดวิมานหนึ่ง แหม…ดีจริง ๆ

ผู้ถาม : (หัวเราะ) ไม่หลวงใช่ไหมคะ…….?

หลวงพ่อ : “ไม่หลงหรอก

ผู้ถาม : “แล้วที่ครูเขาแนะนำว่าไปที่วิมาน วิมานอยู่ที่ไหนคะ……….?

หลวงพ่อ : ถ้าเราไปถึงพระนิพพานได้ วิมานบนพระนิพพานก็ต้องมี เมื่อไปถึงนิพพานได้เขาจะบอก ๒ จุด เพราะว่าครูเขาไม่มีเวลาสอน ถ้าเราขึ้นไปบนสวรรค์ ดูวิมานของเรามีไหม…..ถ้าไม่มีก็ไปดูวิมานของเราที่พรหมมีไหม….. ถ้าไม่มีก็เหลือแห่งเดียวที่นิพพาน แสดงว่าขาตินี้ตายแล้วไปนิพพานแน่

ถ้าหากว่าวิมานที่สวรรค์ยังมีอยู่ หรือยังมีอยู่ที่พรหมและวิมานที่นิพพานมีอยู่ แสดงว่าจิตเราจับวิปัสสนาญาณได้เล็กน้อยแต่มันหมองมันไม่แจ่มใส แต่วิมานเราอยู่จุดที่แน่นอนอันนี้แจ่มใส

ถ้าวิปัสสนาญาณเราดีพอ จิตเราเข้าถึงโคตรภูญาณ วิมานข้างล่างนี่จะหายหมด มันจะเหลือหลังเดียวข้างบน ถ้าเหลือหลังเดียวข้างบน ตายแล้วมันไม่มีที่อยู่ ต้องไปอยู่หลังนั่นแหละ

ถ้าพอถึงนิพพานแล้วยังถามว่าไปไหนอีก ถ้าอารมณ์ใจยังพอใจในการเที่ยวก็แสดงว่ากิเลสยังหนาอยู่ ถ้าเที่ยวไป ๆ ไม่ข้ามันจะเบื่อเที่ยว จิตมันจะรักอารมณ์อยู่จุดหนึ่ง คือขึ้นไปนิพพานมันก็ไม่อยากขึ้น มันอยากจะตัดขันธ์ ๕ สบาย ๆ อารมณ์จิตเป็นสุข

แต่ว่าก็มีเกณฑ์บังคับว่า นิพพานต้องไปทุกวันเพื่อให้จิตมันจับเป็นเอกัคคตารมณ์ แปลว่าจิตมันเป็นหนึ่งเดียว ต้องการอย่างเดียวคือนิพพาน ให้มีความผูกพัน

แล้วไปนิพพานไปที่ไหน….?

นิพพานมี ๒ จุดที่เราจะไปก็คือ ที่ประทับของพระพุทธเจ้า และก็ วิมานของเรา ถ้าเราไม่เห็นพระพุทธเจ้า เรานึกถึงท่านท่านจะมาทัน ที คือว่าจิตอย่าปล่อยพระพุทธเจ้า ให้จิตมันเกาะไว้เป็นอารมณ์ ทีนี้ตายแล้วก็มาที่นี่แหละ 
เรื่องของชีวิตมันจะตายเมื่อไรก็ช่าง คือว่าอย่าไปคิดว่ามันจะอยู่อีก ๒ ปี ตื่นขึ้นมาเราคิดว่าเราอาจจะตาย วันนี้มันถึงจะถูกอันนี้เป็น มรณานุสสติกรรมฐาน ใช่ไหม……ถ้าวันนี้มันจะตายมันจะไปไหน ตื่นขึ้นมาปั๊บเราคิดว่าเราจะตายวันนี้ จิตพุ่งปรู๊ดขึ้นนิพพานเลย ขึ้นไปแล้วสัก ๒-๓ นาที ก็ช่างให้อารมณ์มันสดชื่น พิจารณาขันธ์ ๕ เท่านั้นแหละ

ถ้าจิตตอนเข้าเราจับเป็นอารมณ์ไว้ แล้วกลางวันเราก็ไม่ได้นึกถึงนิพพาน มัวนั่งพูดกับเพื่อนบ้าง ทะเลาะกับเพื่อนบ้าง ขัดคอกับเพื่อนบ้าง หลบหน้าเจ้าหนี้บ้าง ตามเรื่องตามราวนะ บังเอิญตายวันนั้นมันก็ไปนิพพาน เพราะตอนเข้าเราตั้งอารมณ์ไว้แล้วใช่ไหม…..

คืออารมณ์ตอนเข้า เวลาที่จิตมันสบายตั้งจุดไว้เลย ตั้งอารมณ์ไว้ก็อย่าตั้งเฉย ๆ ไปเลย ไปนั่งอยู่ข้างหน้าพระพุทธเจ้าให้จิตมันชื่นใจ เวลานั่งข้างหน้าพระพุทธเจ้ามันสบายใจ ใช่ไหม…….. ท่านสวย ท่านสว่าง ดูแล้วไม่อิ่มไม่เบื่อ อารมณ์มันก็มีความสุข คิดว่าที่นี่เป็นที่ที่เราจะมาในเมื่อขันธ์ ๕ มันพัง ให้ทำแบบนี้นะ”

ผู้ถาม : “แล้วอย่างสมมุติว่า คนที่เขาฝึกได้แล้ว เขาไปได้เขาก็เห้นวิมานของเขา แสดงว่าเขามีวิมานอยู่ ถ้าหากเราอยู่อย่างนี้ เราทำแต่ความดี เราจะมีวิมานไหมคะ……?

หลวงพ่อ : “เราก็มีบ้านอยู่”

ผู้ถาม : “หนูอยากมีวิมานค่ะ”

หลวงพ่อ : “ไปสร้างกุฏิสัหลังซิ”

ผู้ถาม : “มีจริง ๆ หรือคะ?”

หลวงพ่อ : “วิมานน่ะ เขามีด้วยกันทุกคน ถ้าทำความดี แต่ว่าเราจะสามารถไปเห็นวิมานของเราหรือไม่ อย่างการก่อสร้างวิหารทาน สร้างโบสถ์ สร้างกุฏิ สร้างส้วม สร้างศาลาอะไรก็ตามเถอะ เราเอาเงินไปร่วมกับเขาด้วยความตั้งใจจริง วิมานจะปรากฏเลย เราจะรู้หรือไม่รู้อยู่ที่การฝึกจิต อย่างที่เขาฝึก “นะ มะ พะ ธะ” กัน” 

เอาล่ะ สำหรับปัญหาผู้ยังไม่เคยฝึกก็มีเท่านี้ ต่อไปนี้เป็นปัญหาของผู้เริ่มฝึกใหม่ ๆ

by admin admin ไม่มีความเห็น

มโนมยิทธิ แบบอาจารย์สุข

มโนมยิทธิ แบบอาจารย์สุข  แบบนี้ใครเป็นคนคิดไม่ทราบ ท่านอาจารย์ก็บอกว่า
เรียนต่อกันมาหลายรุ่นแล้ว เดิมเป็นใครคิดไม่ทราบ แบบของท่านมีดังนี้ 

๑.ในระยะต้น ท่านเขียนหนังสือลงบนกระดาษที่พับเป็นสามเหลี่ยมเขียนว่า “นะมะ
พะทะ” 
สอนคาถาภาวนา ให้ศิษย์ภาวนาว่า “นะมะพะทะ” เหมือนหนังสือที่เขียนบนกระดาษ
แล้วให้ศิษย์เอากระดาษปิดหน้าจุดธูปสามดอกเสียบลงบนกระดาษ ศิษย์ภาวนาว่า นะมะพะทะ
ตลอดไปจนกว่าจะมีอาการสั่น อาจารย์หยิบกระดาษออก ถามศิษย์ว่าสว่างไหม ? ถ้าศิษย์
บอกว่ามืด ท่านก็เอากระดาษสะอาดมาจุดไฟ แกว่งที่หน้าศิษย์ใช้คาถาว่า ” นะโมพุทธายะ
ขอแสงสว่างจงปรากฏแก่ศิษย์” 
ท่านแกว่งไฟประเดี๋ยวเดียวศิษย์ก็บอกว่าสว่างท่านถามว่า
จะไปสวรรค์หรือนรก ศิษย์บอกตามความพอใจสวรรค์หรือนรกก็ได้ตามต้องการ ท่านบอกว่า
ไปได้ เท่านั้นศิษย์ก็ไปได้ตามประสงค์ไปถึงไหนถามได้บอกมาเรื่อยๆ ว่า ถึงไหน พบใคร มี
รูปร่างอย่างไร แต่ห้ามถูกตัวลองไปสอบดูแล้ว เห็นเป็นของจริงให้ไปบ้านเมืองไหน ประเทศ
ไหนก็ได้บอกได้ถูกหมดแม้แต่สถานที่เธอไม่เคยไป เมื่อไปถึงแล้วถามว่ามีอะไรบ้างเธอตอบ
ถูกหมดบอกให้ไปต่างประเทศที่เคยรู้จักเธอไปถึงแล้วก็บอกถูก เป็นของแปลกมาก ได้ขอ
เรียนมาสอนศิษย์ได้ผลเกินคาด เป็นของเจริญศรัทธาดี และส่งเสริมศรัทธาผู้นั่งรับฟังด้วย
ตอนแรกจะมีอาการสั่น และออกท่าทางเมื่อจิตตกไป แต่พอสมาธิเข้าจุดอิ่มก็นั่งเงียบสงัด
แบบธรรมดาแต่แจ่มใสมาก รวดเร็วกว่าแบบธรรมดามาก 

 ๒. กระดาษปิดหน้า ถ้าศิษย์คนใดท่องเที่ยวได้แล้ว ต่อไปไม่ต้องปิดอีกใช้เฉพาะ
เวลาที่ยังไปไม่ได้เท่านั้น

๓. เครื่องบูชาครูมี ดอกไม้สามดอก เอาสามสี เทียนหนักบาท ๑ เล่ม ธูปสามดอก
เงิน ๑ สลึง สามอย่างนี้ขาดไม่ได้ เงินต้องซื้อของถวายพระ เอาใช้เองไม่ได้ 

๔. ก่อนที่ศิษย์จะเริ่มภาวนา ครูต้องทำน้ำมนต์ก่อน น้ำมนต์ทำด้วย อิติปิโส ฯลฯ 
ทั้งบทพรมศิษย์เมื่อเริ่มทำ และตอนเลิกทำ ท่านว่ากันอารมณ์ฟั่นเฟือนดีมาก 

         คนที่ทำเป็นใครก็ได้ บางรายเป็นคนทำงานหนัก พอทิ้งจอบเสียมก็มาทำเลย เห็น
ท่องเที่ยวกันได้ไปเป็นคณะก็ได้ เหมือนเที่ยวธรรมดา ออกมาแล้วพูดเหมือนกันหมด 
น่าแปลก และน่าดีใจที่สมัยนี้ยังมีท่านผู้ทรงมโนมยิทธิอภิญญาอยู่ คิดว่าจะสูญไปเสียหมดแล้ว

by admin admin ไม่มีความเห็น

มโนมยิทธิ

มโนมยิทธิ   มโนมยิทธิแปลว่า มีฤทธิ์ทางใจ ในที่นี้ท่านหมายเอาการถอดจิตออกจากร่าง แล้วท่องเที่ยวไปในภพต่างๆ ความจริงมโนมยิทธินี้ ท่านจัดไว้ในส่วนอภิญญา    แต่เพราะท่านที่ทรงวิชชาสาม ก็สามารถจะทำได้ จึงขอนำมากล่าวไว้ในวิชชาสาม    เมื่อท่านทรงฌาน ๔ ได้ในกสิณอย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว   ก็เป็นอันว่าท่านมีสิทธิ์ที่จะทรงมโนมยิทธิได้ เช่นเดียวกับได้ทิพยจักษุญาณแล้ว ก็มีสิทธิ์ได้ญาณอีกเจ็ดอย่าง ได้ตามที่กล่าวมาแล้วในข้อว่าด้วยทิพยจักษุญาณท่านประสงค์จะท่องเที่ยวไปในสถานที่ต่างๆ จะเป็นภพใดก็ตาม นรก สวรรค์พรหม นิพพาน ดินแดนในมนุษยโลกทุกหนทุกแห่งดาวพระอังคาร พระจันทร์   พระศุกร์ ไม่ว่าบ้านใครเมืองใคร เมืองฝรั่ง เมืองแขก เมืองเจ็ก เมืองญวน ท่านไปได้ทุกหน   ทุกแห่ง โดยไม่ต้องเสียเวลารอคอยใคร ไม่ต้องยืมจมูกคนขับเคลื่อน หรือเจ้านายเหนือหัวคนใดที่จะคอยกำหนดเวลาออกเวลาถึงให้ไม่ต้องเสียค่าพาหนะมากมายอะไร เพียงกินข้าวเสียให้อิ่มเพียงอิ่มเดียว ซื้อตั๋วด้วยธูปสามดอก เทียนหนึ่งเล่ม ดอกไม้สามดอก ถ้าหาได้ หากหาไม่ได้ท่านก็ให้ไปฟรี ไม่ต้องเสียอะไร เพราะท่านเอาเฉพาะที่หาได้ ถ้าหาไม่ได้ ท่านอนุญาตใช้เวลาไม่ถึงนาทีก็ไปถึงจุดหมายปลายทางได้ จะเข้าบ้านสถานทำงาน ห้องนอนใครก็ตามเข้าได้ตามความประสงค์ ไม่ต้องขออนุญาตเจ้าของบ้าน สำรวจความลับได้ดีมากใครทำอะไรซุกซ่อนอะไรไว้ที่ไหนมีเมียน้อยเมียเก็บไว้ที่ไหน ก็สำรวจได้หมดไม่มีทางปกปิด วิธีทำเพื่อไป  ทำอย่างนี้   

ท่านให้เข้าฌาน ๔ ทำจิตให้โปร่งสว่างไสวดีแล้วกำหนดจิตว่า ขอร่างกายนี้จงเป็นโพรง  ก็จะเห็นว่าร่างกายเป็นโพรงใหญ่ ต่อแต่นั้นกำหนดจิตว่า ขอร่างอีกร่างหนึ่งจงปรากฏขึ้นภายในกายนี้กายอีกกายหนึ่งก็จะปรากฏขึ้น ต่อไปก็ค่อยบังคับกายนั้น ให้เคลื่อนไปตามส่วนต่างๆของร่างกายแม้กระทั่งตับไตไส้ปอดลำไส้ทุกส่วน     เส้นเลือดทุกเส้น ประสาททุกส่วน บังคับให้กายนั้นเดินไปตรวจให้ถ้วนทั้งร่างกายจะเห็นว่าแม้เส้นเลือดฝอยเส้นเล็กๆ ร่างนั้นก็เดินไปได้อย่างสบาย      จะเห็นเส้นเลือดนั้นเป็นเสมือนถนนสายใหญ่ เดินได้สะดวก เห็นร่างกายนี้เป็นโพรงใหญ่คล้ายเรือหรือถ้ำขนาดใหญ่เมื่อท่องเที่ยวในร่างกายจนชำนาญแล้วขณะท่องเที่ยวในร่าง-กาย     อย่าหาความชำนาญอย่างเดียว ควรหาความรู้ไปด้วย รู้สภาพของอวัยวะ และรู้สภาพความสกปรกโสมมในร่างกาย จดจำสภาพเมื่อปกติไว้ พอป่วยไข้ไม่สบายตรวจร่างกายภายในได้ว่ามีอะไรชำรุดหรือผิดปกติบ้าง เห็นแจ้งเห็นชัด เป็นแผลหรือชอกช้ำ       รู้ชัดเจนไม่แพ้เอ็กซเรย์เลยมีประโยชน์ในทางตรวจร่างกายด้วยเมื่อชำนาญการตรวจแล้ว ก็กำหนดจิตว่าจะไปที่ใดกำหนด    จิตว่าเราจะไปที่นั้น พุ่งกายออกไปก็จะถึงถิ่นที่ประสงค์ทันที ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งวินาทีเมื่อถึงแล้วจิตจะบอกเองว่าสถานที่นั้นเป็นเมืองอะไร ใครบ้างที่พบ    ไม่ต้องมีคนบอก เพราะสภาพของจิตที่เป็นทิพย์ กิเลสไม่ได้หุ้มห่อไป   จึงรู้อะไรได้ตามความเป็นจริงเสมอ โดยไม่ต้องอาศัยใครบอก

มโนมยิทธินี้ ควรสนใจทำให้คล่อง เพียงกำหนดจิตคิดว่า เราจะไปละ เพียงเท่านี้ก็ไปได้ทันทีทำได้ทุกขณะ เวลาเดิน ยืน นอน นั่งในท่าปกติ ทำงาน กำลังพูด รับประทานอาหาร เวลาที่ควรฝึกให้ชำนาญมากก็คือ    เวลาป่วย ขณะที่ร่างกายมีทุกขเวทนามาก ตอนนั้นสำคัญมาก ยกจิตออกไปเสีย ปล่อยไว้แต่ร่างกายเวทนาจะได้ไม่รบกวน ที่ใดเป็นแดนใหม่ สวรรค์ หรือพรหมไปอยู่ประจำที่นั้นยามปกติควรไปอยู่พักอารมณ์เป็นประจำ ยามป่วยไปอยู่เป็นปกติหมายความว่า     บอกกับคนพยาบาลว่าเวลาเท่านั้นถึงเท่านั้น ฉันจะพักผ่อน อย่าให้ใครมากวน แล้วก็เข้าฌาน ๔ ไปสถานที่อยู่ตามกำลังกุศลที่ทำไว้ ถ้าได้วิมุตติญาณทัสสนะก็ไปนิพพานเลย นิพพาน อยู่ที่ไหน ท่านที่ถึง วิมุตติญาณทัสสนะ เท่านั้นที่จะบอกได้ ท่านที่ยังไม่ถึงงงไปพลางก่อนขืนบอกไปท่านก็ไม่เชื่อไม่บอกดีกว่า  

  เอาไว้รู้เองเมื่อท่านถึงผู้เขียนก็งงเหมือนกันท่านว่ามาอย่างนี้  ก็เขียนตามท่านไปเมื่อได้แล้วถึงแล้วก็รู้เองผู้เขียนเองก็เหมือนกัน เขียนไปเขียนมาก็ชักอยากรู้นักว่านิพพานอยู่ที่ไหน    ประโยชน์ของมโนมยิทธิได้กล่าวมาโดยย่อ พอสมควรแล้ว มโนมยิทธิ  ตามที่กล่าวมานี้เป็นแบบที่ใช้กันทั่วไป มีอีกแบบหนึ่ง เรียนมาจากท่านอาจารย์สุข บ้านคลองแพงพวย อำเภอดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรีของท่านแปลกได้ผลเร็วเกินคาด แบบปกติที่กล่าวมาแล้วนั้นกว่าจะชำนาญในกสิณก็เหงือกบวมมีมากรายที่ไม่ได้ปล่อยล่องลอยไปเลยคือเลิกเลยมีมาก บางรายทำไม่สำเร็จเลยกลายเป็นศัตรูพระศาสนาไปไม่เชื่อผลปฏิบัติแถมค้านเอาเสียอีกด้วย น่าสงสารท่านเหล่านั้นแต่ก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไรได้ พอได้ของท่านอาจารย์สุขมา ก็รู้สึกว่ามโนมยิทธิเป็นของง่ายมาก หลายรายพอเริ่มฝึกก็ท่องเที่ยวได้เลย ไม่ข้ามวัน ที่ช้าหน่อยก็ไม่กี่วันแต่ที่ไม่ได้เลยก็มีเป็นเพราะอะไร ไม่ขอวิจารณ์ บอกไว้แต่เพียงว่า ถ้ารู้จักคุมอารมณ์แล้วไม่นานเลยไปได้และแจ่มใสดีกว่าวิธีปกติธรรมดา แบบของท่านมีดังนี้ใครอยากได้ก็ขอมอบให้เลยใกล้ตายแล้วไม่หวง

by admin admin ไม่มีความเห็น

นะมะพะธะ และ พุทโธ

มีเรื่องเดียว ที่จะอธิบาย ก็คือคำภาวนา 
คำภาวนา นะมะพะธะ นั้น ใช้เมื่อใช้อภิญญา
และ ควรใช้เป็นปกติ อารมณ์จะได้แจ่มใส
พุทโธ และ อย่างอื่นเอาไว้เมื่อยามว่าง ถ้า
ต้องการอารมณ์สงัดตามปกติ

แต่พ่อเห็นว่า นะ มะ พะ ธะ นั่นแหล่ะดีแล้ว
เพราะลูกได้อภิญญา จิตจะได้ไม่มั่ว

พุทโธ เป็นพระนามของพระพุทธเจ้าที่คนเข้าไม่ถึง
คือ เห็นไม่ได้ก็เรียกชื่อให้ช่วย แต่ นะ มะ พะ ธะ
นี้เราเข้าถึงพระองค์ และรับโอวาทได้

ลูกว่าควรจะใช้อย่างไหน ถ้าเป็นพ่อ พ่อคงใช้ นะมะพะธะ
จะได้ไม่ต้องตะโกนเรียกท่าน ไปหาท่านเลย

ส่วนในคู่มือแนะนำให้ภาวนา พุทโธ ก็เพื่อ
คนใหม่ที่ยังไม่ได้อะไร ให้เรียกท่าน เพื่อช่วยกำลังตนเอง 
ไปพลางก่อน เมื่อมีโอกาสเข้าเฝ้าท่านได้ ก็คงไม่จำเป็นต้อง 
ตะโกนเรียก จงอย่าคิดว่า พ่อว่าภาวนา พุทโธ ไม่ดีนะ 
ภาวนาพุทโธดี แต่เมื่อเราได้ อภิญญาควรภาวนา 
ตามสายอภิญญา อภิญญา จะได้แจ่มใสเสมอ

นะ มะ พะ ธะ ก็เป็นคำภาวนาที่ พระพุทธเจ้าท่านสอนมา
เวลาจะภาวนาก็นึกถึงท่านอยู่แล้ว และมีกำลังไปหาท่าน

คำว่า พุทโธ เป็นคำภาวนากลาง ๆ ใช้เมื่อปฏิสัมภิทาญาน
ต้องภาวนาตาม สายของตน แต่ไม่ถือว่าขาดพระรัตนตรัย
เพราะใจเราถึง เป็นปกติอยู่แล้ว

(หนังสือลูกศิษย์บันทึกพิเศษ หน้า ๙๓ – ๙๔)

ที่มา : พิมพ์จากหนังสือ พ่อรักลูก ๓

by admin admin ไม่มีความเห็น

ตอนที่ 3 ของจริง

ตอน 3 ของจริง

หลังจากฝึกมโนมยิทธิในครั้งแรกแล้วผมมีความสงสัยหลายอย่างเกิดขึ้นมากมาย. ที่เราไปเห็นมาของจริงไหม. คิดไปเองหรือเปล่าหรือคิดเองเออเองหรือเปล่า. จากนั้นมาผมก็ลองฝึกเองครับเอาแบบเดี่ยวๆคนเดียวที่บ้านแต่ก็ไปไหนไม่ได้ อยู่กับที่ฟุ้งซ่านมัวแต่คิดว่าต้องไปตรงนั้นตรงนี้ จะไปเห็นเหมือนเดิมมั้ย สุดท้ายก็เลิกไม่ได้ไปไหน ลองอยู่หลายครั้งครับก็ไม่ได้เรื่อง ด้วยความใจร้อนของผมจะรอไปฝึกที่สายลมก็ต้องรอต้นเดือนหน้าช่วงปีไหม่ นานไปรอไม่ไหวเลยดูในเน็ตว่ามีที่ไหนสอนบ้างใจจริงอยากฝึกแบบตัวต่อตัวไม่มีคนอื่นจะได้ไม่ต้องฟังคนอื่นตอบ. เวลาฟังคนอื่นตอบไม่ตรงกับที่เราเห็นก็จิตตกทุกที ทำไมไม่เหมือนเราเราตอบผิดหรือเปล่าอารมณ์ประมาณฝึกคนเดียวน่าจะดีกว่า

จนได้มาเจอศูนย์พุทธศรัทธา ที่บ้านหมอสระบุรี วันนั้นมีผู้หญิงอีกคนก็มาฝึกนับเป็นความโชคดีของผมที่ฝึกกันแค่2คน. การมาฝึกที่ศูนย์พุทธศรัทธานี้ทำให้ผมมีครูคนที่สอง คืออาจารย์ชนะผมได้เล่าเรื่องการฝึกครั้งแรกของผมให้ท่านฟัง. ท่านบอกวันนี้ท่านจะฝึกญาน 8 ให้. ในใจตอนนั้นคิดว่าถ้าวันนี้ฝึกแล้วไม่ได้เรื่องได้ราวจะทำยังไง ก่อนมาก็ลองหลายครั้งก็ไปไหนไม่ได้. ก็เลยถามอาจารย์ชนะว่าทำไมผมฝึกเองที่บ้านไม่ได้ มันฟุ้งซ่านคิดล่วงหน้าไปต่างๆนานา นั่งแล้วพระไม่มารับจะทำยังไง หรือพระมาแล้วไปไม่ได้จะทำยังไง ท่านบอกว่าการฝึกมโนมยิทธินั้นต้องตั้งอารมณ์ให้ถูก. ไม่ต้องคิดอะไรตัดความกังวนความห่วงใยต่างๆออก. วางอารมณ์สบายๆอย่าไปคิดว่ามันจะผิดหรือถูก ให้เชื่อความรู้สึกแรกและความรู้สึกแรกนั้นถูกต้อง

จากนั้นก็เริ่มฝึกครับในส่วนนี้จะเล่าแบบคร่าวๆนะครับจำไม่ค่อยแม่นเท่าไหร่เพราะวันนั้นฝึกนานมากราวๆเกือบ 3 ชั่วโมง

ครู:หยุดภาวนานั่งตามสบายนะมีความรู้สึกว่ามีใครอยู่ข้างหน้าไหม

ผม:มีครับเป็นพระ

ครู:กราบท่านขอบารมีท่านนะลูกขอบารมีองค์สมเด็จท่านพาไปยังพระจุฬามณีเจดีย์สถาน

ผม:ถึงแล้วครับ

ครู:พระจุฬามณีมีสีอะไร

ผม:สีทอง

ครู:ลองดูใหม่สิขอบารมีพระนะขอให้เห็นตามความเป็นจริง

ผม:สี่แก้วใสครับสว่างมาก

ครู:ถูกต้องนะความจริงแล้วพระจุฬามณีมี7สีอยู่ที่ความละเอียดของจิตเราว่าจะเห็นเป็นสีอะไร

ครู:ขอบารมีพระเข้าไปข้างใน

ผม:เข้ามาแล้วครับ

ครู:เห็นอะไรบ้าง

ผม:เห็นพระครับและมีเทวดาพระสงฆ์เต็มไปหมด

ครู:กราบท่านนะด้วยความเป็นทิพย์เราสามารถกำหนดให้กายในเรามีจำนวนเท่าไรก็ได้ด

ผม:กราบแล้วครับ

จากนั้นผมก็ไปกราบท่านปู่ท่านย่าและผู้มีพระคุณทั้งหมด

ครู:เคยไปกราบหลวงพ่อหรือยัง

ผม:ยังครับ

ครู:ขอบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพาข้าพพุทธเจ้าไปยังวิมานของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ

ผม:ถึงแล้วครับ

ครู:เจอหลวงพ่อหรือยัง

ผม:เจอแล้วครับเวลานี้ใจผมเต็มไปด้วยความปีติตื้นตัน

ครู:ท่านแต่งกายอย่างไร

ผม:ห่มจีวรใส่แว่นครับ

ครู:ขอบารมีหลวงพ่อขอให้ท่านแสดงภาพที่แท้จริงด้วยนะ

ผม:ท่านกลายเป็นแต่งเครื่องทรงเทวดาครับหน้าตาหนุ่มหล่อ

ครู:กราบท่านนะ

ผม:กราบแล้วครับกายในผมโผไปกอดเข่าท่านแน่นเลยท่านลูบหัวผมบอกผมว่าเฮ้ยกว่าจะตามมาได้เล่นเอาเหนื่อย อย่าสงสัยนะลูก

ขึ้นมาบ่อยๆนี่เป็นคำพูดของหลวงพ่อที่พูดกับผมครั้งแรกครั้ง

ครู:เป็นยังไงท่านพูดอะไรบ้าง

ผม:ผมกอดขาท่านแน่นแล้วท่านลูบหัวครับ

ครู:แสดงว่าเราเคยเกิดเป็นลูกเป็นหลานท่านนะ

ผม:ครับ

ครู:ขอบารมีพระและหลวงพ่อนะให้พาเราไปยังวิมานเราบนพระนิพพาน

ผม:ถึงแล้วครับ

ครู:เป็นยังไงวิมานเราเป็นแบบไหน

ผม:เป็นแก้วครับสีขาวสว่างมาก

ครู:เข้าไปข้างใน

ผม:เข้ามาแล้วครับ

ครู:เห็นอะไรบ้าง

ผม:มีแท่นอยู่ตรงกลางครับ

ครู:ลองนั่งดูซิได้มั้ย

ผม:ได้ครับนิ่มดี

ครู:แล้วในวิมานเรามีอะไรอีก

ผม:ไม่มีครับ

ครู:เห็นโต๊ะบูชาพระประจำวิมานไหม

ผม:ไม่เห็นครับ

ครู:ให้ถามพระนะว่าเราจะขอฝึกญาน8ท่านให้ไหม

ผม:ให้ครับ

ครู:กราบลาหลวงพ่อนะ

ครู:เริ่มจากอตีตังสนาญานนะกำหนดจิตให้เห็นพระรูปพระโฉมสมเด็จท่าน

ครู:ขอบารมีพระท่านขอดูภาพในอดีตชาติก่อนเรามาเกิดเราเป็นอะไรมาก่อน

ผม:เป็นเทวดาครับ

ครู:อยู่สวรรค์ชั้นไหน

ผม:ดาวดึงครับ

ครู:ดูสิว่าเราทำความดีอะไรถึงได้ขึ้นมาเป็นเทวดา

ผม:เป็นนักรบครับ(ภาพที่ผมเห็นนั้นเป็นภาพชายชราผมยาวหนวดยาวขาวนอนอยู่บนแท่นใส่เสื้อผ้าสีขาวมีคนหมอบกราบอยู่กับพื้นร้องไห้กันระงม)ก่อนตายนึกถึงความดีที่ได้บำรุงพระศาสนาและนึกถึงพระ

ครู:สมัยไหน

ผม:อยุธยา

ครู:ก่อนมาเกิดเป็นนักรบเป็นอะไรมาก่อน

ผม:เป็นพระสงฆ์

ครู:ผลของการบวชเป็นพระในชาตินั้นส่งผลให้การปฏิบัติของเราก้าวหน้าและไปได้ไวในชาติปัจจุบัน

จากนั้นก็ย้อนไปอีกหลายชาติครับเป็นมาแทบจะครบเป็นมาหมดทั้งเต่า งู เปรต อสูรกาย ลงนรกก็มากหลายอยู่

ต่อมาครูฝึกท่านก็ให้ฝึกอนาคตังสญานก็ให้ดูอนาคตประเทศ เรื่องน้ำท่วมและอีกหลายเรื่อง

วันนั้นฝึกแทบครบผิดบ้างถูกบ้าง. ครูฝึกท่านก็บอกว่าเป็นเรื่องปกติเราไม่ใช่พระอรหันต์ ถ้าให้ดีก็ให้ถามพระท่าน เผลอแผลบเดียวเวลาผ่านไปเกือบ 3 ชั่วโมง. ไม่รู้สึกเมื่อยเลยครับ ออส่วนอีกคนไม่ได้ไปไหนเลยครับคงนั่งฟังผมจนเพลิน.

เรื่องที่ผมเล่าให้ฟังนี้เป็นผลจากการปฏิบัติของผมเป็นอีกครั้งที่ผมดีใจ ตื่นเต้น ตื้นตันใจ อย่างบอกไม่ถูก. หลังจากฝึกเสร็จก็นั่งคุยกับอาจารย์ชนะ. ต่อเรื่องการปฏิบัติและการฝึกฝนให้คล่องตัวการรักษาอารมณ์ ให้มีพระนิพพานเป็นอารมณ์อีกทั้งอาจารย์ท่านบอกว่าเรามีของเก่าก็ฝึกง่ายยิ่งทำให้ผมมีกำลังใจมาก

สำหรับผู้ฝึกใหม่ผมมีคำแนะนำว่าทุกท่านสามารถทำได้อย่าเคร่งเครียด วางอารมณ์สบายๆไม่อยากรู้ไม่อยากเห็นอะไรทั้งสิ้นสำคัญที่สุดคือศีล 5 ต้องบริสุทธิครับไม่ต้องคิดว่าเรามีของเก่าหรือไม่ บางทีมีของเก่าแล้วใช้ไม่เป็นก็ไม่มีประโยชน์ ให้คิดไว้เสมอว่าหากเราไม่มีบุญบารมีเราคงไม่ได้พบคำสอนของหลวงพ่อ นั้นหมายถึงเรามีบุญบารมีพอสมควรเราถึงได้พบคำสอนของหลวงพ่อท่าน ขอให้ผู้เริ่มปฏิบัติจงมั่นใจและยึดคำสอนหลวงพ่อเป็นหลัก

by admin admin ไม่มีความเห็น

คำสอนครูบอล #2

เรารับเพราะเราคู่ควร แต่ไม่ยึดติดกับสิ่งที่คู่ควร มันมีเกิดขึ้นและดับลงเสมอ

เหมือนโลกธรรมทั้ง 8

เป็นธรรมดาของโลก

ครูบอล

by admin admin ไม่มีความเห็น

แชร์ประสบการณ์​หลังจบคลาส โดยโอ๋โอ๋

08:1หลวงพ่อตามกลับ แชร์ประสบการณ์​หลังจบคลาส มหัศจรรย์แห่งใจ ตอนฤทธิ์แห่งใจ​ โดยคุณโอ๋โอ๋

☀️หลังจากที่มาคลาสครั้งแรก ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นในใจของผมก่อน ผมรู้สึกรักพ่อกับแม่มากขึ้นกว่าเดิมมหาศาล รู้สึกซาบซึ้งกับสิ่งต่างๆ ที่ท่านมอบให้ผม

☀️และที่สำคัญใจภายในของผมชัดเจนกับความสำเร็จ รู้ชัดถึงสิ่งที่ต้องการ และปรารถนาอย่างแรงกล้าถึงความสำเร็จและผมเชื่อมั่นว่าผมทำได้🎉

08:11 หลวงพ่อตามกลับ ☀️ผมพบว่า ตัวผมมีการเปลี่ยนแปลงอีกในด้านการกระทำ ตัวผมมีการลงมือทำเป็นอัตโนมัติมากขึ้น ทำในสิ่งที่เป็นผลดีกับชีวิต ผมรักพ่อแม่ บอกรักท่านได้อย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้น เหมือนตัวเรา flow เหมือนเราเป็นสเตจ กระทำไปโดยอัตโนมัติ ค่อยๆ ใกล้สิ่งที่เราต้องการมากขึ้นๆ

☀️สำหรับคลาสที่สอง ผมพบว่า โดยปกติของตัวผมเอง แม้จะมีการลงมือทำสิ่งที่ดีๆ แล้ว แต่มันยังไม่มั่นคงนัก ยังมีการเหวี่ยงขึ้นเหวี่ยงลง ผมต้องการทำให้ตัวของผม มั่นคงยิ่งขึ้น เข้มข้น เข้มแข็งยิ่งขึ้น ผมจึงตัดสินใจมาคลาสที่สองอีก
08:12 หลวงพ่อตามกลับ 🏆แล้วก็ไม่ผิดหวังเลยครับ ครูจัดให้สุดยอดที่สุด ทรงพลังตั้งแต่วันแรก กับ “ทรานซ์จักรพรรดิ” ครูทำให้เราจดจำได้ว่า ตัวเรายิ่งใหญ่ขนาดไหน! เป็นเลิศขนาดไหน! มีอารมณ์ใจยังไง เป็นที่รักที่สุดแบบไหน! ลงมือทำสิ่งต่างๆ เพื่ออะไร มีเป้าหมายอย่างไร 🎉

☀️และที่สำคัญ คลาสนี้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง การกระทำของผมไปอีกระดับ เข้มแข็งขึ้น เข้มข้นขึ้น เป็นปกติมากยิ่งขึ้น  กราบขอบพระคุณครูที่สุดครับ ขอบคุณคลาสนี้ที่สุดครับ 🙏

by admin admin ไม่มีความเห็น

แชร์ประสบการณ์​หลังจบคลาส โดยคุณยุ

หลวงพ่อตามกลับ แชร์ประสบการณ์​หลังจบคลาส มหัศจรรย์แห่งใจ​ ตอนฤทธิ์แห่งใจ​ โดยคุณยุ

💕คลาสมหัศจรรย์แห่งใจครั้งนี้

💫สิ่งที่ชอบมากคือทรานซ์จักรพรรดิ ที่ครูนำพาให้ใจได้สัมผัสกับความรู้สึกที่ไม่กลัวอะไร ความกล้าแบบ “จักรพรรดิ” เกิดความสบายใจ กล้าที่จะเจอกับทุกอุปสรรค

💫การได้ฟังพี่เจนนี่เล่าเกี่ยวกับการเดินจงกรม ทำให้มั่นใจและตั้งใจจะเดินจงกรมให้ต่อเนื่อง หลังจากที่ทำบ้างไม่ทำบ้าง
11:33 หลวงพ่อตามกลับ 💫หลังกลับจากคลาสเกิดพลังใจในการทำงาน และก่อนหน้านี้ได้ร่วมกิจกรรมฟิตหุ่น 8 สัปดาห์ซึ่งต้องออกกำลังกายเกือบทุกวันตามท่าและจำนวนที่กำหนด ก็เกิดกำลังใจทำต่อเนื่องจนตอนนี้เข้าสัปดาห์ที่ 5 แล้ว ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะทำได้ ดีใจมาก รู้สึกภูมิใจในความอดทนของตัวเอง 😊

💫เรื่องของการทำงานเนื่องจากต้องทำงานหลัก 2 อย่างในเวลาเดียว วันเสาร์จะเป็นวันที่เคลียร์งานที่คั่งค้าง แต่มีอยู่เสาร์นึงที่ไม่อยากทำอะไรเลย ก็เกิดความรู้สึกกังวลงานบางอย่างที่ยาก คิดไม่ออกว่าจะแก้ปัญหายังไง

11:34 หลวงพ่อตามกลับ 💫เช้าวันถัดมาเดินจงกรม ระหว่างที่เดินรู้สึกอะไรๆที่ครูสอนในคลาสผุดขึ้นมาในหัว คิดถึงตอนทรานซ์จักรพรรดิ เดินไปยืดตัวตรง ใจรู้สึกอิ่มเอิบในการสวมเสื้อจักรพรรดิ เดินอยู่หลายรอบ จากนั้นก็เห็นเด็กน้อยมายืนอยู่ข้างหน้า ให้กำลังใจเราในการทำอะไรต่างๆ เค้าบอกว่าอยู่ข้างเราเสมอ ทุกอย่างจะต้องเรียบร้อย

💫หลังเดินจงกรมเสร็จ
มองเห็นตัวเองในกระจกแล้วรู้สึก
เชื่อใจผู้หญิงคนนี้มาก
เชื่อมั่นในตัวคนๆนี้มาก
เข้าใจคำว่า “เชื่อมั่นในตัวเอง” แล้วค่ะว่าเป็นยังไง

11:34 หลวงพ่อตามกลับ 🎯ที่ผ่านมาเวลาเจอปัญหาต่างๆ เราจะคอยมองหาความช่วยเหลือ บางครั้งรู้สึกโดดเดี่ยวและก็โทษว่าเรื่องมันแก้ไม่ได้เพราะเราแก้อยู่คนเดียว

💫แต่ครั้งนี้เราค้นพบว่า
“เรามองอุปสรรค หรือ ปัญหาเปลี่ยนไป”
“เรามองมันเล็กลง มองว่ามันไม่ได้สำคัญขนาดนั้น”

💫ตอนที่เดินจงกรมอยู่ ท้องฟ้าเริ่มสว่างขึ้นเรื่อยๆ ได้ยินเสียงนก ต้นไม้ใบหญ้าเขียวงอกต้นอ่อนๆ ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวเราตอนนี้ดูสวยงาม สดชื่น ทำไมมีแต่เราคนเดียวที่คิดกังวล ใจหม่น ไม่มีความสุขเลย
11:34 หลวงพ่อตามกลับ 💫รอบตัวเราตอนนี้ทุกอย่างเคลื่อนที่ไปหมด ไม่มีอะไรอยู่นิ่ง ใจเราล่ะ ไม่ต้องทุกข์ต้องกังวลอะไรเลย ใจเราก็เปลี่ยนได้เหมือนกัน

🙏🏻ขอบพระคุณครู และเพื่อนร่วมคลาสมหัศจรรย์ใจนี้ ที่ชี้ทางว่าใจเราสมควรได้มีความสุขสบาย เราคู่ควรกับชีวิตที่มีความสุข เจริญก้าวหน้า มีเทวดาเอาใจช่วยเราอยู่มากมาย เด็กน้อยที่เป็นกำลังใจอยู่ข้างเราเสมอ 🥰

Top