กลุ่มเดิมพวกเราในสมัยสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโกนาคม
(คัดลอกบางตอนจากหนังสือ เรื่องจริงอิงนิทานพิเศษ หน้า ๑๐๒-๑๐๔)
ที่ริมสระอโนดาดหลวงพ่อเล่าให้ลูกๆฟังว่า…ในสมัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระพุทธกุกุธสันโธ พื้นที่ภูกระดึงนี้อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล ๑ โยชน์ และเวลาผ่านไปชั่วพุทธันดรหนึ่ง แผ่นดินสูงจากเดิมขึ้นมา ๑ โยชน์ (๑ โยชน์ = ๑๖ กม. ลุง.ศ จำมาจากหลวงพ่อครับ แสดงว่าสมัยนั้น ภูกระดึง จมอยูใต้ทะเลลึกถึง ๑๖ กม.)
วันต่อมาพวกเราอันมีหลวงพ่อเป็นผู้นำ เดินทางไปนั่งพักคุยกันใต้ต้นไม้อีกแห่งหนึ่งบนภูกระดึง อากาศร้อนเพราะเป็นช่วงเดือนเมษายน แต่ลมพัดเย็นสบาย ใจของพวกเราเป็นสุข หลวงพ่อเล่าให้ฟังว่า เราเกิดบนภูกระดึงแห่งนี้มา๓วาระแล้ว ในสมัยสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระโกนาคมเราเกิดบนภูกระดึงแห่งนี้ มีเนื้อที่๔หมื่นไร่เศษมีสภาพเป็นเกาะกลางทะเล ท่านปู่ และท่านย่าอินทิรา เป็นกษัตริย์ปกครองดินแดนนี้ มีลูกชาย ต่อมาได้เป็นพระราชาแทนพระราชบิดาต่อไป สำหรับพระราชาองค์นี้ปรารถนาพระโพธิญาณอยู่ มีน้องชายเป็นพระเจ้าอนุราช มีนามว่า พระเจ้าวชิระราชา ชื่อเล่นว่า เจ้าชายตุ่มเพราะตอนเด็กอ้วน โตแล้วไม่อ้วน
ในสมัยนี้เอง สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโกนาคมเสด็จมาโปรดบนภูกระดึง มาประทับที่พระราชวังซึ่งทำด้วยไม้ธรรมดาๆ ก็ไม่ใหญ่โตนัก เป็นสถานที่รับรองสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า เวลานั้นประชาชนมีศีล ๕ กันเป็นส่วนมาก องค์สมเด็จพระจอมไตรทรงเทศน์โปรดให้ฟัง….ถึงตอนไหนภาพก็ปรากฏแก่ผู้ฟังด้วยอำนาจพุทธานุภาพ พระองค์ตรัสว่า…
…ตอนพวกเราเป็นเทวดามีรูปร่างอย่างไร มีวิมาน ทิพย์สมบัติเป็นประการใด ก็มีภาพในตอนเราเป็นเทวดาปรากฏทันที เราเคยเกิดเป็นพรหมแล้วกี่ชาติแต่ละชาติมีรูปร่างอย่างไร มีวิมาน มีความสุขยังไง ภาพตอนเป็นพรหมก็ปรากฏทันที ทุกคนเห็นภาพตัวเองตอนเป็นเทวดาเป็นพรหมมีความสุขด้วยอำนาจของความดีทั้งนี้ด้วยอำนาจพุทธานุภาพ และพระองค์ทรงชี้ให้เห็นว่า แล้วเราก็ต้องกลับมาเป็นคนอีก การเกิดทีไรมันก็มีแต่ความทุกข์ เกิดมาทีไรมันก็แก่ แล้วเกิดมาทีไรมันก็ตาย พระองค์เน้นเรื่องการตายการเกิดเป็นเทวดาเป็นสุขกว่าเกิดเป็นคน แต่ก็พักทุกข์ชั่วคราว การเกิดเป็นพรหมมีความสุขกว่าการเกิดเป็นเทวดา แต่แล้วก็กลับมาเกิดเป็นคนอีก ความสุขตอนเป็นเทวดาสู้ความสุขตอนเป็นพรหมไม่ได้ แล้วพระองค์ก็จบลงด้วยความสุขบนพระนิพพาน เป็นสุขที่สุด พระพุทธองค์ทรงรับรอง จบพระธรรมเทศนา หลายคนเป็นพระอริยเจ้า เพราะศีล ๕ เขาบริสุทธิ์อยู่แล้วเป็นปกติก็เป็นของไม่ยาก
โดยเฉพาะท่านปู่ ท่านย่า เวลาสิ้นชีพตักษัยเป็นพระอริยเจ้าขั้น พระอนาคามี แต่เวลานี้ ท่านไปนิพพานแล้ว
ประชาชนส่วนใหญ่เป็นพระอริยเจ้า แต่หัวหน้าคือพระราชาผู้ครองประเทศได้ไตรสรณคมน์ เพราะปรารถนาพระโพธิญาณ และมีบุคคลใกล้ชิดอีกพวกหนึ่งขอติดตามหัวหน้าไปด้วย เลยไม่มีโอกาส ท่านที่เป็นพระอริยเจ้ากราบทูลขอบวชเป็นพระภิกษุและภิกษุณี พระพุทธองค์ทรงบวชให้ด้วย “เอหิภิกขุอุปสัมปทา” “เจ้าจงเป็นภิกษุมาเถิด” จีวรที่สำเร็จด้วยฤทธิ์ก็มาสวมกาย ศรีษะก็โล้นเป็นภิกษุ นี่ด้วยอำนาจพุทธานุภาพ และบุคคลผู้บวชเคยถวายผ้าไตรจีวรไว้ในพระพุทธศาสนามาก่อน
ตอนหนึ่งของพระธรรมเทศนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโกนาคมตรัสว่า “ตอนที่เราเกิดเป็นพรหมน่ะไม่ใช่นั่งหลับตาปี๋เพราะเรามีสังคหวัตถุ๔และมีพรหมวิหาร๔เราทรงแบบนี้ได้เป็นปกติแบบสบายๆ (นี่แหละอารมณ์เป็นฌานไม่ใช่ต้องนั่งหลับตาปี๋จึงจะเป็นฌาน) พวกเราทำหนักมาในด้าน “ทาน“ ใจก็คิดเสมอในการให้ทาน ก็เป็นฌานในจาคานุสติกรรมฐาน จิตทรงอารมณ์แบบนี้จนชินก็เป็นอารมณ์ฌาน (ฌาน ก็คือ อาการชิน ทำจนชิน) ตายแล้วก็ไปเป็นพรหมได้”
ตอนนี้หลวงพ่อเน้นว่า “พวกเราเดินตามปฏิปทาเดิมของเราคือ “ทางสายกลาง“ อย่าเปลี่ยนทางเดิม “การเครียด“ ไม่ใช่ทางของพวกเรา จะทำให้ช้าลง เพราะเป็นอัตตกิลมถานุโยค แทนที่จะก้าวไปหน้ากลับไปไม่ถึง”
ขณะนั้นองค์สมเด็จพระทรงธรรม เสด็จมาโปรดอีกว่า “ชาตินี้พวกเราควรจะพอกันเสียทีเกิดทุกชาติก็ตายทุกชาติเคยเป็นใหญ่เคยเป็นกษัตริย์นี่ทรัพย์สินมากมายเอาติดมาไม่ได้เลย“ แล้วพระพุทธองค์ก็ทรงเน้นสรุปว่า…
๑. ให้นึกถึงมรณัสสติกรรมฐานไว้ เพราะเป็นสมถะ และตัดสักกายทิฏฐิไปด้วย เพราะคิดถึงความเสื่อมคือความตายเป็นปกติ
๒. มีอนุสติครบ เคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์
๓. ทรงศีลบริสุทธิ์
๔. นึกถึงพระนิพพานเป็นอารมณ์
พระพุทธองค์ตรัสว่า “พวกเราทำ ๔ ข้อนี้ให้ได้ ไปนิพพานหมด ไม่ต้องทำอะไรมากมายไปกว่านี้ เพราะเราทำทุกอย่างมาเต็มหมดแล้ว”
ในคราวนั้นเมื่อองค์สมเด็จพระทรงธรรมพระพุทธโกนาคมทรงเทศน์จบ หัวหน้าคือ กษัตริย์ท่านปรารถนาพระโพธิญาณ เข้าขอรับคำพยากรณ์จากพระพุทธองค์ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสพยากรณ์ว่า…
จะบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า “สมเด็จพระอุตตรสมณโคดม” แต่ในสมัยสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่า สมเด็จพระสมณโคดม ก็จะลาจากพุทธภูมิเสียก่อน เพราะจะช่วยทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา เป็นการสืบต่ออายุพระพุทธศานา โดยเฉพาะเวลานั้นมีคนกลุ่มหนึ่งขอติดตามหัวหน้าคือกษัตริย์ คนกลุ่มนั้นจึงยังไม่ไปนิพพาน”