Blog

by admin admin ไม่มีความเห็น

ทำไมต้องเจริญกรรมฐาน หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

ทำไมต้องเจริญกรรมฐาน
ธรรมโอวาทหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง

คนถึงแม้ว่าจะทำบุญหนัก แต่ว่าเวลาจะตาย 
บังเอิญจิตไปนึกถึงอกุศลเข้าอย่างใดอย่างหนึ่ง 
อกุศลก็จะพาลงไปอบายภูมิก่อน ฉะนั้นจึงมีความจำเป็น
จะต้องเจริญสมาธิ คำว่าสมาธินี่แปลว่าการตั้งใจ 

… อย่างที่ท่านทั้งหลายทำบุญกันนี่ก็จะบอกว่า 
อุ้ย…หลวงพ่อมาทีไร ฉันก็ถวายสังฆทานทุกที 
การถวายสังฆทานแต่ละครั้งมีสิทธิไปเกิดบนสวรรค์ชั้นที่ ๕ 
เรียกว่า นิมมานรดี หรือถ้าจะไม่ไปก็ได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ดี 
บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท เราอาจจะเผลอได้ 
ตามบาลีว่า “เอกะ จะรัง จิตตัง” จิตดวงเดียวเที่ยวไป 

จิตน่ะมันรับอารมณ์เดียว เวลาที่เรารัก คนที่เรารัก 
สัตว์ที่เรารัก เขาจะทำเลวขนาดไหนก็ตาม เราก็ยังรัก 
ถึงเวลาโกรธขึ้นมา ทำดีขนาดไหน มันก็เกลียดใช่ไหม 
ไม่นึกถึงความดีของเขา ก็รวมความว่าจิตมันรับอารมณ์เฉพาะ 
ฉะนั้น ถ้าหากว่าถ้าจิตออกจากร่าง 
ถ้าบังเอิญไปพบอกุศลเข้าก็ไปอบายภูมิได้ 

ฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงสอนให้ฝึกจิตให้มีอารมณ์ทรงตัว 
อันดับแรก ก็กำหนดรู้จับลมหายใจเข้าออก 
หายใจเข้านึกว่าพุท หายใจออกนึกว่าโธ 
แต่ว่าคำภาวนานี่ไม่จำกัดนะ จะนึกพุทโธก็ได้ 
นะมะ พะธะ ก็ได้ หรืออะไรก็ได้ 
นึกถึงพระพุทธเจ้าแล้วก็ภาวนา
เป็นเครื่องโยงใจให้จิตมีงาน 
จิตมีงานในด้านบุญละบาป 

ขณะใดที่จิตรู้ลมหายใจเข้าออก 
จิตไม่คิดถึงเรื่องอื่น เวลานั้นจิตเป็นสมาธิ 
จิตว่างจากกิเลส ขณะใดจิตรู้คำภาวนาอยู่ 
อารมณ์อื่นไม่เข้ามาแทรก 
เวลานั้นจิตว่างจากกิเลส มีความดี

ฉะนั้นขอบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย 
ให้ถือว่าการเจริญสมาธิมีความจำเป็น 
ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า 
จงอย่านึกถึงความชั่วที่ผ่านมาแล้ว 
อะไรก็ตามที่มันเป็นบาปอย่านึกถึงมัน 
คิดอย่างเดียวด้านของความดี

by admin admin ไม่มีความเห็น

ตอน 41


สวัสดีครับ…เวลาผ่านไปไวมากครับผมว่ามันน้อยไปนะกับ2วันที่เราอยู่ร่วมกันแต่2วันนี้มีค่าและมีความสำคัญกับชีวิตผมอีกทั้งท่านที่มาก็คงคิดเหมือนผมครับ…

รุ่นนี้เป็น9ทัพรุ่นที่ได้หลากหลายอารมณ์ความรู้สึก ทั้งหัวเราะ ร้องไห้ เสียน้ำตา ดีใจ ตื้นตัน พวกเรากลับบ้านกันครับ บ้านที่พ่อเรารออยู่ บ้านที่อบอุ่น บ้านที่มีเราไปอยู่ได้ตลอดกาล พ่อรักพวกท่านครับ พ่อต้องการให้พวกท่านไปอยู่ด้วยกัน ผมก็รักพวกท่านครับ และเชื่อว่าทุกท่านรู้สึกไม่ต่างจากผม เราทุกคนจะรักษาความดีและตามท่านไปครับ

สงคราม9ทัพและช้างเผือกนี้ผมแปลกใจสงสัยหลายครั้งว่าทำไมผู้ที่มาร่วมทริปถึงได้มโนมยิทธิกันทุกคน ความสงสัยนี้มีทุกครั้งครับ ล่าสุดช้างเผือก2ก็ไปกันได้ทุกคน 9ทัพรุ่น3นี่หนักสุดเพราะมากันมาก รุ่นนี้มามากที่สุดตั้งแต่จัดทัพมา มีทีมงานและครูฝึกที่มาช่วยกันเยอะ มาด้วยกำลังใจที่เต็มเปี่ยม มาด้วยความรักที่มีต่อท่านพ่อ ทุกคนที่มาช่วยผมเค้ารักท่านพ่อ เค้ามาด้วยใจครับ เค้ามาเพื่อช่วยให้ผมเหนื่อยน้อยลง ขอบคุณทุกคนครับ ที่สำคัญที่สุดกราบขอบพระคุณอ.ชนะและอ.วิที่ท่านเมตตาสงเคราะห์ช่วยเหลือทุกสิ่งทุกอย่างกับพวกเราทุกคน ท่านไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่าให้ลูกหลานพ่อกลับบ้านครับ ที่ขาดไม่ได้อีกท่านคือพี่อ้อ ทุกครั้งที่เราออกรบพี่อ้อตื่นเต้นและกังวลตลอดเกรงว่าพวกเราจะไม่อิ่มพี่อ้อบอกผมทุกครั้งครับไม่รู้เป็นอะไรรักน้องบอลจังเลย ผมก็รักพี่อ้อครับ พี่โอ๋ประธานรุ่นของทัพ3แต่ทำหน้าทีเป็นประธาน9ทัพทุกรุ่นเสียมากกว่า ขอบคุณพี่โอ๋ครับที่คอยดูแลทุกอย่างแทนผม ครูส้ม..ส้มนี่กำลังใจเต็มเปี่ยมมาไกลครับเดินทางมาไกลมากเพื่อมาช่วยพ่อช่วยผม ทุกครั้งที่ส้มมาหรือกลับผมต้องขอกอดเธอทุกครั้ง ไม่ต้องสงสัยครับทำไมต้องกอด เพราะผมไม่สามารถหาคำขอบคุณไหนในโลกนี้มาตอบแทนกำลังใจและน้ำใจเธอได้ดีไปกว่าการกอดเธอครับ 

ศึกครั้งนี้วันแรกไปกันไม่ได้ร่วม20คน ผมหนักใจจริงๆครับกดดัน เพราะอะไรก็เพราะต้องแต่ออกรบมาไม่มีใครที่ไปไม่ได้ซักคนเดียวครั้งนี้มากันมากอีกทั้งหลากหลายรูปแบบ ไม่รู้จักมโนมยิทธิก็มา ไม่รู้จักหลวงพ่อก็มา บางท่านมาลองดูก็มา ผิดวัตถุประสงค์ที่มาฝึกการฝึกของเรานั้น ผมต้องการผู้ที่ต้องการมาฝึกจริงๆไม่ใช่มาลองดู มาเพราะอยากรู้ว่าจะเป็นยังไง มาเพราะอยากรู้ว่าผมเก่งอย่างที่เล่าไว้มั้ย ผมไม่เก่งอะไรหรอกครับพระท่านช่วย พระท่านสงเคราะห์จริงๆ หลวงพ่อท่านช่วย ผมเคยบอกหลายครั้งแล้วว่าหากจะมาลองอย่ามา ไม่รักหลวงพ่ออย่ามา เพราะท่านจะไม่ได้รับความสนใจจากผม แต่ถ้าท่านน้อมรับคำสอนหลวงพ่อรับรองได้ครับผมเกินร้อยกับท่าน ยอมรับว่าหนักใจครับที่ไม่ได้เกือบ20คน ในนี้มีผู้ที่ยังอยากเกิดอยู่และไม่ต้องการเข้านิพพานชาตินี้มี2ท่าน ส่วนที่เหลือที่ไปไม่ได้ก็มีประเภท ปรามาสพระ วางอารมณ์ผิด ฟุ้งซ่าน ด่าผม เออที่ว่าด่านี่ไม่ได้ด่าชาตินี้ครับ 

ก็ตามเก็บกันครับมีฝึกรอบสองสามสี่ เอากันจนได้นั่นแหละ ไม่ได้ด้วยตัวเองก็ต้องได้ด้วยวิธีพิเศษ คราวนี้ผมเน้นให้เค้าได้ด้วยตัวเองครับ ล่อกันยันตี4 มาตอนเช้าเหลือแค่5ท่านที่ยังไม่ได้ก็ต่อกันจนไปกันครบหมด คืนวันเสาร์นี่หลังจากเราทำสังฆทานกันเสร็จ ก็ฝึกญาน8ต่อ ช่วงฝึกญาน8นี่คนที่ยังไม่ได้ก็งงๆครับพวกได้แล้วบางคนวางอารมณ์ไม่ถูกก็จะไม่เห็น ช่วงนี้มีคนที่คิดปรามาสอยู่ผมเลยจัดโชว์ชุดพิเศษเพื่อลดแรงปรามาสครับไอ้พวกนี้ถ้าไม่เห็นกะตาจะไม่เชื่อ ผมจะให้เค้าเห็นว่าการไปแบบดึงจิตไปเต็มกำลังข้างบนทำยังไง น้องตัวอย่างท่านนี้แหมผมพาไปหาท่านพ่อท่านแม่ 

น้องเค้าเห็นชัดครับร้องไห้เสียงดังดีใจ ปีติ เออดีแหกปากเสียงดังลั่นศูนย์จากนั้นพากลับลงมา แหมระทึกกันหมดอีตอนจะกลับไม่ยอมกลับ คนเดียวไม่พอครับไอ้คนที่คิดปรามาสมันอาจยังไม่เชื่อ ผมขออาสาสมัครอีกคน พาไปเห็นชัดเจนแจ่มใส เออทีนี้เริ่มเชื่อ พอพวกเค้าใจเริ่มโน้มเข้ามาเริ่มเชื่อ เริ่มมีศรัทธา ผมจัดให้เค้าไปฝึกกับส้ม คืนนั้นไปกันได้ร่วม10คน เห็นมั้ยครับใจท่านยังไม่ศรัทธาในคำสอนพระพุทธเจ้ายังลังเลสงสัย แต่เป็นเรื่องปกติครับลูกพ่อเป็นแบบนี้หมด มันต้องเห็นอะไรแบบนี้มันถึงจะเชื่อ แต่แบบนี้บ่อยๆไม่ดีครับมันเหนื่อย ผมเหนื่อยมากจริงๆ 

วันอาทิตย์เริ่มเป็นศพเดินได้ หมดสภาพจากวันเสาร์กลายเป็นคนละคน วันอาทิตย์นี่เราก็ทาสีกันทั้งวันครับไม่มีการฝึกส่วนผมกับส้มก็เก็บคนที่ยังไปไม่ได้ เอาไปจนหมดจากนั้นช่วงเย็นผมนำลาพุทธภูมิพร้อมกับนำแผ่นดวงบรรจุใต้ฐานสมเด็จองค์ปฐม ช่วงลาพุทธภูมินี่ขอบอกว่าขลังจริงๆครับทุกท่านได้มโนมยิทธิกันหมดก็ให้ไปลาพระข้างบนผมนำกล่าวลาจบห้องห่มร้องไห้กันเป็นแถว ใจเบาครับสบายขึ้นมากจากนั้นก็ต่อด้วยการชารทแบต แหมช่วงนี้พลาดไม่ได้ชอบกันจังก็จัดเต็มครับอัดกันแบบเต็มที่มีหลายเวอร์ชั่น แน่ะเดี๋ยวนี้มีให้เลือก จบจากชารทแบตก็เก็บกวาดครับจากนั้นเข้ากราบลาและรับคำแนะนำจากอ.ชนะและอ.วิ

แหมมีความสุขครับผมเหนื่อยกายมากแต่สุขใจครับใจผมสุขจริงๆที่พวกท่านมาแล้วได้รับสิ่งดีๆกลับไป ผมรักพวกท่านครับ…..

ขอเชิญชาว 9 ทัพรุ่น3เล่าประสบการณ์ได้เลยครับเริ่มจากให้ประธานรุ่น 3 ก่อนครับ….

27-02-2012, 10:10 AM P.207

by admin admin ไม่มีความเห็น

เครื่องรางของขลัง โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ

เครื่องรางของขลัง

ปัญหาเรื่องนี้ได้นำคำตอบของหลวงพ่อ มาเพื่อความกระจ่าง ของความหมายที่อยู่ในความรู้สึกของท่านพุทธศาสนิกชนบางท่าน ที่ยังเข้าใจไม่ครบถ้วนในความหมายของคำว่า “เครื่องรางของขลัง” ซึ่งในปัจจุบันบางท่านมีความเข้าใจไปว่า พระที่ชอบแจกเครื่องรางของขลังจะทำให้คนติดในวัตถุว่าหลงใหลงมงาย 
ปัญหานี้โดยเฉพาะนักเรียนนักศึกษา มาถามกันอยู่เสมอ ซึ่งหลวงพ่อท่านได้อธิบายว่า 
“ความมุ่งหมายในการใช้พระคล้องคอ โดยมากพวกเรามักจะเข้าใจผิดกัน ที่ท่านทำพระไว้ให้ห้อยคอ ก็หมายถึงว่า บุคคลใดที่มีใจเคารพในพระพุทธเจ้า มีใจเคารพในพระธรรม มีใจเคารพในพระอริยสงฆ์ แต่ทว่ามีกำลังใจที่จะเข้าถึงพระรัตนตรัยทั้ง ๓ ประการ ยังอ่อนอยู่ ฉะนั้นจึงได้ทำรูปเปรียบของพระพุทธเจ้าก็ดี รูปเปรียบของพระสงฆ์องค์ใดองค์หนึ่งก็ดี ที่เป็นเคารพนับถือห้อยคอไว้ ถ้าหากเรานึกถึงพระท่านไม่ออกจะได้นำพระขึ้นมาดู รูปนี้เป็นรูปองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงแนะนำให้เราปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามระบอบแห่งความดีที่เรียกกันว่า “พระธรรมวินัย”
นี่เป็นความจริง เป็นความมุ่งหมายของผู้ทำ ต้องการอย่างนี้หมายความว่า คนที่มีพระห้อยคอ ควรจะทำใจอย่างพระหรือมิฉะนั้นคนที่มีพระห้อยคอ ก็ควรจะทำตามที่พระแนะนำให้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ แต่ว่าพวกเราก็กลับมาพลิกแพลงเสีย เอาพระไปตีกับชาวบ้านเขา ไปยุให้พระตีกัน 
พระที่นำมาห้อยคอนี่ พระท่านทำขึ้นมาก็ด้วยอาศัยอำนาจของพระพุทธานุภาพนะ อำนาจของพระพุทธานุภาพนี่สามารถที่จะช่วยคนที่ไม่ถึงอายุขัยให้พ้นจากอันตรายได้ 
ที่เรียกว่า “พระเครื่อง” อันนี้ใช้ได้ แต่ถ้าหากจะเรียก เครื่องรางของขลัง อันนี้ใช้ไม่ได้ พระทุกองค์ท่านทำมาไม่ใช่ของขลัง ท่านทำมาด้วยวิชาที่เรียกว่า “พุทธศาสตร์” ไม่ใช่ “ไสยศาสตร์” พุทธศาสตร์กับไสยศาสตร์มีค่าต่างกัน พวกของขลังนี่เป็นไสยศาสตร์ เขาทำมาเพื่อทำลาย สำหรับพุทธศาสตร์เขาทำเพื่อการสงเคราะห์ เพื่อให้บุคคลที่มีพระประเภทนี้ไว้ถ้ามีจิตใจเคารพในคุณพระรัตนตรัยถ้าไม่ถึงอายุขัย ถ้าอันตรายของชีวิตถึงจะเกิดขึ้นก็สามารถปลอดภัยจากอันตรายนั้นได้
ต่อไปนี้เป็นคำตอบปัญหาของหลวงพ่อในเรื่องนี้

by admin admin ไม่มีความเห็น

ภัยร้ายแรงที่สุดในการปฏิบัติธรรม พระพุทธเจ้าองค์ปฐม

ภัยร้ายแรงที่สุดในการปฏิบัติธรรม

พระพุทธเจ้าองค์ปฐม

ขึ้นหัวข้อตอนนี้ไว้ว่า ภัยร้ายแรงที่สุดในการปฏิบัติธรรม คงเป็นอีกตอนหนึ่งที่มีคุณค่าไม่น้อยกว่าทุกตอนที่นำเสนอมาแล้ว พระพุทธพจน์อีกมากมายที่ประทับใจเป็นอย่างมากเช่นโลกนี้ไม่มีใครผิดใครถูก,อยากพ้นกฎของกรรม ก็จงเพียรทำความดีเพื่อชนะความเลว,วิธีพ้นภัยตนเอง,มื่อสิ้นความเบียดเบียนตนเองแล้ว คำว่าจักไปเบียดเบียนบุคคลอื่นนั้นย่อมไม่มี,อย่าปฏิบัติเลื่อนลอยจักไม่ได้ผล,การแนะนำอย่ากระทำตนเป็นผู้รู้ ให้ถ่อมตนเข้าไว้ว่า ที่รู้นั้นรู้ตามพระพุทธเจ้าท่านสอน,ทุกๆ คนย่อมมีบาปเก่า ๆ ท่วมทับใจอยู่ บาปเก่า ๆ เหล่านี้แหละที่จักสามารถดึงทุกท่านลงนรกได้,การเอาชนะอารมณ์ที่เป็นกิเลสนี้ นี่แหละคืองานประจำเป็นต้น พระธรรมชุดนี้ผมนำมาจากหนังสือธรรมนำไปสู่ความหลุดพ้นเล่ม ๗ มิถุนายนตอน ๓ ที่ รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน ลองอ่านดูนะครับ

อย่าเอาความเลวไปแก้ความเลว

สมเด็จองค์ปฐม ทรงมีพระเมตตา ตรัสสอน โดยให้หลักไว้ดังนี้
๑. อย่าเอาความเลวไปแก้ความเลว จงเอาความดีเข้าไปชนะความเลวของจิตตนเองไม่ใช่เอาความเลวของเราไปชนะความเลวของบุคคลอื่น เพราะนั่นไม่ใช่วิสัยของ อริยชน

๒. ที่พวกเจ้าต้องผจญอยู่กับกฎของกรรมเยี่ยงนี้ ก็เพราะเป็นผลแห่งความเลวที่พวกเจ้าได้กระทำกันมาก่อน จึงพึงสร้างความดีลบล้างอารมณ์จิตเลว ที่ยอมรับผลแห่งกฎของกรรม มัวแต่ไปโทษบุคคลอื่นเยี่ยงนี้มันก็ไม่ถูกต้อง

๓. วางอารมณ์เสียใหม่ อยากได้มรรคผลนิพพาน จักต้องเคารพกฎของกรรมให้มาก ๆ ให้จิตมีความอดทนต่อกฎของกรรมเข้าไว้ โลกนี้ไม่มีใครผิดใครถูก มีแต่กฎของกรรมแสดงอยู่ไม่เว้นตลอดกาลตลอดสมัย

๔. อยากพ้นกฎของกรรม ก็จงเพียรทำความดีเพื่อชนะความเลว อันเป็นกิเลสแห่งจิตของตนให้สิ้นซากไปเท่านั้น จึงจักพ้นได้จงหมั่นตรวจสอบสังโยชน์ดูให้ดี ๆ อย่าลืมซิว่า เวลานี้พวกเจ้าต้องการอะไร (ก็ตอบว่า ต้องการพระนิพพาน)

๕. แล้วการมีอารมณ์ไม่พอใจอยู่ในขณะนี้ จักเข้าถึงพระนิพพานได้ไหม (ตอบว่า เข้าไม่ได้)

๖. แล้วจักเกาะทุกข์เหล่านี้อยู่ทำไม ให้จิตเศร้าหมองอยู่อย่างนั้นหรือ อย่างนี้เป็นคุณหรือเป็นโทษ (ตอบว่า เป็นโทษ)

๗. เมื่อเป็นโทษก็พึงอย่าทำ ละวางอารมณ์นี้ลงไปเสีย จงเลือกเอาแต่อารมณ์ที่เป็นคุณมากระทำ จึงจักถูกต้องเพื่อมรรคผลนิพพาน

๘. เมื่อเข้าใจแล้วก็ต้องทำให้ได้ด้วย ทำได้หรือไม่ได้ก็ต้องทำ

วิธีพ้นภัยตนเอง

สมเด็จองค์ปฐม ทรงมีพระเมตตา ตรัสสอนไว้ดังนี้

๑. อยู่ที่การหมั่นตรวจสอบจิต ให้มีอารมณ์ผ่องใสอยู่ในธรรมให้เสมอ ตั้งแต่เช้าลืมตาขึ้นมาพยายามตั้งอารมณ์ให้อยู่ในพรหมวิหาร ๔ และพยายามตั้งอยู่ให้มั่นคง ตั้งแต่เช้าจนกระทั่งหลับตานอนหลับไป หากทำได้จิตจักผ่องใส เจริญอยู่ในธรรมตลอดเวลา เพราะอำนาจของพรหมวิหาร ๔ จักบังคับจิตไม่ให้เบียดเบียนตนเองเมื่อสิ้นความเบียดเบียนตนเองแล้ว คำว่าจักไปเบียดเบียนบุคคลอื่นนั้นย่อมไม่มี

๒. ภัยร้ายแรงที่สุดในการปฏิบัติธรรมเพื่อนำไปสู้ความพ้นทุกข์ ก็คือ ภัยจากอารมณ์จิตของตัวเราเองทำร้ายจิตของเราเอง ดังนั้น หากเราทรงอารมณ์ให้อยู่ในพรหมวิหาร ๔ ได้ครบทั้ง ๔ ประการได้มั่นคงตลอดเวลา จิตเราก็ผ่องใสตลอดเวลา เท่ากับสิ้นความเบียดเบียนตนเองแล้ว หรือพ้นภัยตนเองแล้วอย่างถาวร

๓. ในการปฏิบัติหากจิตมีอารมณ์คิด ก็ให้คิดใคร่ครวญอยู่ในธรรม แม้จักไม่มีคู่สนทนา ก็จงสนทนากับจิตตนเองคือ ใคร่ครวญในพระธรรมวินัย หรือใคร่ครวญในพระสูตรให้จิตตนเองฟัง และเจริญอยู่ในธรรมนั้น ๆ ทำได้เยี่ยงนี้จิตเจ้าจักผ่องใสอยู่ตลอดเวลา ศีล สมาธิ ปัญญาจักเกิดขึ้นได้ด้วยการใคร่ครวญในธรรมนั้น ๆ และจักทำให้จิตจำพระธรรมคำสั่งสอนได้ดีพอสมควร ธรรมเหล่านี้จักเป็นผลพลอยได้ ซึ่งกาลต่อไปเจ้าจักมีโอกาสนำไปสงเคราะห์บอกต่อให้แก่ผู้อื่นได้ศึกษาและเข้าใจถึงธรรมนั้น ๆ ไปด้วย

๔. แต่อย่าลืมหลักสังโยชน์ทั้ง ๑๐ ประการอย่าปฏิบัติเลื่อนลอยจักไม่ได้ผล แม้การแนะนำผู้อื่นก็เช่นกัน อย่าทิ้งหลักสังโยชน์ ๓ ประการเบื้องต้นเป็นอันขาด

๕. การแนะนำอย่ากระทำตนเป็นผู้รู้ ให้ถ่อมตนเข้าไว้ว่า ที่รู้นั้นรู้ตามพระพุทธเจ้าท่านสอน ท่านสอนให้ตัดสังโยชน์ ๓ ประการเบื้องต้น เพื่อกันอบายภูมิ ๔ ไว้ก่อน เพราะการไปละเมิดศีล ๕ เข้าข้อใดข้อหนึ่ง กรรมนั้นก็จักถึงให้ตกนรก

๖. นรกขุมแรก สัญชีพนรก๙ ล้านปีของมนุษย์เท่ากับนรกขุมนี้ ๑ วันให้เกรงกลัวบาปเข้าไว้ แต่มิใช่คิดประมาทว่าเป็นไร เราจะพยายามไม่ละเมิดศีล แต่ไม่ต้องรักษาศีลก็แล้วกัน ถ้าบุคคลใดคิดเช่นนั้น ให้ดูตัวอย่าง อานันทเศรษฐี ผู้ไม่มีทั้งกรรมดี คือ ไม่ยอมให้ทานเลย แต่ก็ไม่มีกรรมชั่ว เพราะเขาไม่ได้รักษาศีล แต่ก็ไม่ได้ละเมิดศีล ผลของการไม่ให้ทานทำให้เกิดเป็นลูกขอทานผลที่เขาไม่ได้รักษาศีล ทำให้รูปร่างเขาเหมือนปีศาจคลุกฝุ่น กฎของกรรมมันเป็นอย่างนี้

๗. และอย่าลืมว่าเรามิใช่เกิดมาแต่เพียงชาตินี้ คือปัจจุบันชาติเท่านั้น หากใช้ปัญญาพิจารณาถอยหลังไป คนแต่ละคนเกิดมาแล้วนับอสงไขยไม่ถ้วนในอดีตชาติที่ผ่านมาอย่างนับไม่ถ้วนนั้นทุกๆ คน ทำกรรมชั่วละเมิดศีล ๕ มาแล้วมากกว่าทำกรรมดีนี่เป็นสัจธรรม เพราะฉะนั้นทุกๆ คนย่อมมีบาปเก่า ๆ ท่วมทับใจอยู่ บาปเก่า ๆ เหล่านี้แหละที่จักสามารถดึงทุกท่านลงนรกได้ถ้า หากจิตไม่เข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้า คือพระโสดาบันขึ้นไปเป็นอันดับเบื้องต้น เพราะฉะนั้น จุดนี้ทุกคนจึงไม่ควรจักประมาท ให้พยายามตัดสังโยชน์ ๓ เอาไว้ให้ดี ๆ เพื่อป้องกันการไปจุติยังอบายภูมิ ๔ อย่างเด็ดขาด

๘. การพูดต้องพูดตามนี้การปฏิบัติของพวกเจ้า จักต้องกำหนดรู้อยู่ที่สังโยชน์ ๔-๕ จักได้มีการระงับอารมณ์อันเป็นเหตุให้เกิดความพอใจ และไม่พอใจนี่จักต้องมีสติกำหนดรู้ไว้มิใช่ปล่อยให้กระเจิดกระเจิงไปตามอายตนะสัมผัส เหมือนดังที่ผ่านมานั้นใช้ไม่ได้

๙. เมื่อรู้ว่าพลาดก็จงตั้งต้นใหม่ เพียรต่อสู้เรื่อยไป อย่าท้อถอยมีกำลังใจตั้งมั่นไว้เสมอว่า บุคคลใดจักเข้าถึงพระนิพพานได้ บุคคลนั้นต้องตัดสังโยชน์ทั้ง ๑๐ ประการได้ จึงจักเข้าถึงได้เราเองก็จักต้องกระทำตามนั้น จักเดินทางอื่นเพื่อเข้าถึงพระนิพพานไม่ได้เลย

๑๐. การเอาชนะอารมณ์ที่เป็นกิเลสนี้ นี่แหละคืองานประจำ คืองานสำคัญที่เราจักต้องทำให้ได้ ถ้าปราศจากการกระทำงานนี้แล้ว การเข้าถึงพระนิพพานนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ เตือนจิตตนเองไว้เยี่ยงนี้ให้ดี ๆ ปฏิปทาใดที่ครูบาอาจารย์สอนแล้ว จงหมั่นเดินตามทางนั้นด้วยกำลังใจที่ตั้งมั่นในความเพียรหนทางใดเป็นทางพ้นทุกข์ จงเดินตามทางนั้นหนทางใดที่ท่านสอนไว้ว่าเป็นทุกข์ ก็จงละอย่าเดินซึ่งทางนั้น

๑๑. ความโกรธ โลภ หลง นั้นไม่ดีทางนี้ทำให้จิตมีอารมณ์ของความทุกข์ จักต้องใช้ปัญญาพิจารณาว่า อเนกชาติแล้วนะที่เราเดินมาตามทางแห่งความทุกข์นั้น ทุกข์เพราะความโกรธ โลภ หลง ทำให้จิตต้องเสวยทุกข์จุติไปตามอารมณ์เกาะทุกข์ เพราะความโกรธ โลภ หลงนั้นๆ

๑๒. เพลานี้พวกเจ้าได้พบแล้วซึ่งธรรมพ้นทุกข์ จงเดินตามมาเพื่อจักได้พ้นจากการจุติในวัฏฏสงสารให้ได้ก่อนตาย ร่างกายนี้ต้องตายแน่ จึงไม่ควรที่จักประมาทยอมแพ้เต้นตามกิเลสอยู่ร่ำไปขณะจิตนี้แพ้แล้วก็แพ้ไป ตั้งสติกำหนดรู้ แล้วรีบตั้งใจต่อสู้กับกิเลสใหม่ อย่าปล่อยเวลาให้เสียไปโดยไร้ประโยชน์ ขอให้หมั่นเพียรจริงๆ เถิด คำว่าเกินวิสัยที่จักชนะกิเลสได้ย่อมไม่มี

ธัมมวิจยะหรือ ธัมมวิจัย

(บุคคลใดที่ใคร่ครวญพระธรรมวินัยอยู่เสมอ บุคคลนั้นจักไม่เสื่อมจากพระธรรม หรือไม่เสื่อมจากสัจธรรมบุคคลใดเห็นธรรม บุคคลนั้นเห็นเราตถาคต ความเป็นพระพุทธเจ้าอยู่ที่พระธรรม หรือจิตที่ทรงธรรม มิใช่อยู่ที่ร่างกาย ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นพระพุทธพจน์ทั้งสิ้น)

จากการศึกษาพระไตรปิฎกว่าด้วยพระธรรมวินัย แล้วนำมา ธัมมวิจยะ พอสรุปได้ดังนี้

๑. ภิกษุอาทิกัมมิกะ (ภิกษุประพฤติชั่วโดยไม่รู้ก่อนที่จะบัญญัติศีล) เป็นผู้ทำให้เกิดศีล ๒๒๗ เพราะเหตุใด ต้นเหตุทั้งหมดเกิดจากอารมณ์โลภ โกรธ หลง และโลกธรรม ๘

๒. โลกธรรม ๘ กับศีล เกี่ยวข้องกันอย่างไร

๓. โลกธรรม ๘ กับอารมณ์ ๓ คือ โลภ – โกรธ – หลง ก็เกี่ยวเนื่องกันหมด

๔. ธรรมหรือกรรมทั้งหลาย ล้วนมาแต่เหตุทั้งสิ้น

๕. กฎของกรรมนั้นเที่ยงเสมอ และให้ผลไม่ผิดตัวด้วย

๖. พระองค์สอนหรือแสดงธรรมไปในทางเดียวกัน เกี่ยวเนื่องกัน เดินไปในทางเดียวกัน ไม่ขัดแย้งกันเลย ถ้าผู้รับฟัง ฟังแล้วเข้าใจ

๗. ที่เกิดการขัดแย้งกัน มีความเห็นแตกต่างกัน ( มีทิฏฐิต่างกัน) เพราะจิตของบุคคลผู้นั้นยังเจริญไม่ถึงจุดนี้ จึงเป็นเหตุให้เกิดอารมณ์พอใจ และไม่พอใจขึ้นหมายความว่ามีบารมีธรรมแค่ไหน ย่อมรู้ธรรมได้แค่นั้น เมื่อบารมีธรรมถึงแล้ว ก็จะเข้าใจ และไม่ขัดแย้งกันอีกต่อไป

๘. ในการปฏิบัติทั้งๆ ที่รู้ๆ อยู่นี่แหละ ก็ยังอดเผลอไม่ได้ เหตุจากโมหะ ความหลง หลงใหญ่ที่สุด คือ หลงคิดว่าร่างกายนี้เป็นของเราเป็นตัว สักกายทิฏฐิ (ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวเนื่องกับร่างกาย เรียกว่า สักกายทิฏฐิ) เมื่อหลงคิดว่าตัวกูเป็นของกูแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวเนื่องกับร่างกาย จึงเหมาเอาว่าเป็นของกูทั้งหมด

๙. ในการปฏิบัติสำหรับคนฉลาดมีปัญญาสูง พระองค์ทรงให้ตัดหลงใหญ่ตัวเดียวคือ สักกายทิฏฐิข้อเดียว หลงเล็กๆ ก็หลุดจากจิตหมด สามารถจบกิจในพระพุทธศาสนาได้

๑๐. กฎของกรรมคืออริยสัจตัวเดียวกันกรรมใดที่เราไม่เคยก่อไว้ทำไว้ในอดีต วิบากกรรมหรือผลของกรรมย่อมไม่เกิดกับเราในปัจจุบัน ทั้งฝ่ายดี (กุศลกรรม) และฝ่ายชั่ว (อกุศลกรรม)

๑๑. ใครหมดความหลงจึงจบกิจในพุทธศาสนาเพราะหลงเป็นเหตุ จึงทำให้เกิดอารมณ์ไม่พอใจ (ปฏิฆะหรือโทสะ) และพอใจ (ราคะหรือ โลภะ)

ที่เขียนมาทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ตัวอย่าง เพื่อให้เห็นประโยชน์อันหาประมาณมิได้ ของธัมมวิจัย ซึ่งทำให้เกิดปัญญาในทางพุทธใครทำใครได้ ใครเพียรมากพักน้อย เดินทางสายกลางก็จบเร็ว แต่ส่วนใหญ่มักเพียรน้อย พักมาก ยังหาทางสายกลางไม่พบก็จบช้า

วิญญาณธาตุเป็นอย่างไร คืออะไร

หลวงพ่อฤๅษี ท่านเมตตามาสอนเรื่องนี้ไว้ มีความสำคัญดังนี้

๑. วิญญาณธาตุ หมายถึง ระบบประสาทสัมผัสทั้ง ๖ อายตนะ ๖ หรือประตูทั้ง ๖ ของร่างกายอันมีระบบประสาทรับรู้ของตา – หู – จมูก – ลิ้น – กาย โดยมีใจหรือจิตเป็นผู้รับรู้ (สมองเป็นหนึ่งในอาการ ๓๒ ของร่างกาย เป็นศูนย์รับระบบประสาทสัมผัสของร่างกาย ซึ่งทำงานของมันอยู่เป็นปกติ เกิดดับๆ อยู่เป็นสันตติธรรมผู้ที่ไปรับรู้เรื่องของสมองก็คือจิต จะเห็นได้ชัดเจนตอนร่างกายถูกดมยาให้สลบ หรือใช้ยาสลบ ร่างกายทุกส่วนก็สลบ รวมทั้งสมองด้วย แต่จิตไม่สลบ ยังคงรู้อยู่เป็นปกติ มิได้สลบตามร่างกาย จุดนี้ผู้ปฏิบัติธรรมได้ขั้นสูงเท่านั้น จึงจะรู้และเข้าใจได้)

๒. วิญญาณธาตุตัวนี้แหละเป็นตัวสร้างอารมณ์สุข (พอใจ) สร้างอารมณ์ทุกข์ (ไม่พอใจ) ให้เกิดแก่ร่างกาย

๓. บุคคลใดเอาจิตไปเกาะอารมณ์ทั้งสองแล้วหลงคิดว่า สุข-ทุกขเวทนาของกายนี้มีในเรา เป็นของเรา (เราคือจิตไม่ใช่กาย) มีในเขา เป็นของเขา แต่พอร่างกายมันตาย อารมณ์เหล่านี้ซึ่งเกิดจากวิญญาณธาตุ ก็ตายไปพร้อมกับกาย

๔. แต่จิตไม่เคยตาย จิตเป็นอมตะ ผู้ตายคือร่างกาย พร้อมวิญญาณธาตุ อันตรายอันใหญ่ยิ่งอยู่ที่จิตไปยึดเกาะติดวิญญาณธาตุ เกาะอารมณ์สุข-ทุกข์ว่าเป็นเราเป็นของเรา เอาเวทนาของกายมาเป็นเวทนาของจิต นี่แหละคือตัว สักกายทิฎฐิ ตัวอวิชชา

๕. เพราะแยกกาย – เวทนา – จิต – ธรรม ให้ออกจากจิตไม่ได้ สักกายทิฎฐิก็ตัดไม่ได้เช่นกัน
(ขออธิบายสั้นๆ ว่า กาย – เวทนา ๒ ตัวแรก เป็นเรื่องของร่างกาย กายหรือรูปกายปกติของมันก็ เกิดดับๆ เป็นสันตติธรรม เป็นปกติของมันเวทนาอาศัยกายอยู่ เมื่อกายเกิดดับๆ เวทนาก็ย่อม เกิด – ดับๆ ตามกาย๒ ตัวนี้ต้องมีสติกำหนดรู้อยู่เสมอ หากไม่กำหนดรู้ มันก็ไม่รู้ว่ามันเป็นทุกข์ของกายไม่เกี่ยวกับจิต ต้องกำหนดรู้ตลอดเวลา)

ส่วนจิต หมายถึง เจตสิก คือ อารมณ์ของจิต ซึ่งปกติไม่เที่ยง เกิด – ดับๆ ๆ อยู่เป็นสันตติธรรมเช่นกัน สิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นเป็นทุกข์ ไม่ควรยึดว่ามันเป็นเราเป็นของเรา

ส่วนธรรมก็ เกิด – ดับ ๆ ๆ ไม่เที่ยง ใครยึดเข้าก็เป็นทุกข์ทันที แบบเดียวกันกับเจตสิก

สำหรับจิต คือ เรานั้นเป็นผู้รู้ เป็นผู้รับรู้เรื่องของธรรม ๔ ตัวนั้น คือ กาย – เวทนา – จิต – ธรรม มันเกิด – ดับๆ อยู่ตลอดเวลาคนละส่วนกับเราคือจิต ในการปฏิบัติที่ถูก จึงต้องรู้สักเพียงแต่ว่ารู้ รู้แล้ววางๆ ๆ ไม่ยึด – ไม่เกาะ – ไม่ปรุงแต่งไปตามสิ่งที่ตนรู้นั้นๆ ขอเขียนไว้สั้นๆ แค่นี้)

รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน

by admin admin ไม่มีความเห็น

ตอน 40

สวัสดีครับ…ผ่านไปอีกหนึ่งทริป..สงครามช้างเผือกครั้งที่2 ผมมาทริปนี้ด้วยความกังวลใจและรู้สึกกดดันกับสิ่งที่ผ่านๆมา ทุกทริปการฝึกทุกท่านที่มานั้นได้สัมผัสอารมณ์พระนิพพานกันหมด คราวนี้มันเลยกลายเป็นแรงกดดันตัว

เอง หลายครั้งที่ผ่านมาผมก็สงสัยครับว่ามันฟลุ๊คหรือเปล่า ช้างเผือกรุ่น2นี้ ผมหายสงสัยแล้วครับ มันไม่ใช่เรื่องฟลุ๊ค มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ผมเป็นคนขี้สงสัยครับ ก็คิดแหละครับว่าจะเป็นไปได้ยังไง บางคนอารมณ์ตั้งไม่ถูกคำ

ภาวนาไม่ได้ แม้แต่ชื่อหลวงพ่อยังไม่รู้จัก แล้วแบบนี้ผมจะมีปัญญาอะไรไปช่วยเขา ครั้งนี้มาฝึก18คน ไปไม่ได้5คน ท้อครับแต่ไม่ถอยเพราะผมบอกแล้วว่าผมจะทำทุกทางที่จะทำให้ท่านไม่เสียเวลามาฝึกกับผม แต่5คนนี่หนัก

ครับ ครั้งนี่เป็นครั้งแรกที่ผมเหนื่อยที่สุดกับการฝึกมโนมยิทธิให้ท่านทั้ง5คน 

มี3คนที่มาด้วยการแนะนำของพระคุณเจ้า ท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดโขงขาวท่านแนะนำมาแหมใส่ชุดขาวกันมาเต็มยศ ผมว่านะทุกคนเห็นผมนี่คงคิดแหละว่าไอ้เนี้ยหรอครูฝึกกรรมฐาน ท่าทางไม่น่าเลื่อมใส มันจะสอนใครได้ เออผม

ว่าเป็นตัวผมก็คิดแบบนี้แหละครับ แต่ก็ช่วยไม่ได้มากันแล้วหนิ จะกลับก็ไม่ได้แล้วเจอผมล็อคคอจับไปปฐมนิเทศน์ก่อนเลย คราวนี่มีทั้งคนใหม่คนเก่าและคนไม่รู้อิโน่อิเหน่ แหมคงจะมันส์แหละ สอนไปสอนมาผมก็ไม่รู้เขารู้เรื่อ

งกันมั้ย ก็พูดส่งเดชส่งคุณ ไปเรื่อยเปื่อย โสดาบันเป็นไงพล่ามยาวว มโนมยิทธิเป็นไงก็ว่าไปเรื่อยคับ พูดไปพล่ามมาก็จับสวดมนต์ สมาทานตามเรื่องตามราว จากนั้นยกพานครูอธิฐานแล้วลุยกันเลย

วันแรกล่อกันตอนสิบโมงครึ่งด้วยความตั้งใจว่าคราวนี้ถ้าใครไม่ได้ผมก็จะปล่อยไม่ช่วยแบบที่เคยช่วย ยอมรับตรงๆนะครับเห็นความตั้งใจของท่านที่มาฝึกผมอดไม่ได้จริงๆที่จะไม่ช่วย พวกเขามาเพื่อให้ผมสอน ผมก็สอน เพราะ

เขาไม่รู้จัก ฝึกเองไม่ได้ เขาถึงมาหาผม หากแต่ตัวผมจะคิดว่าช่างแม่งช่างมันผมทำไม่ได้จริงๆ ก็พยายามช่วยครับ ตั้งอารมณ์ จับภาพพระ เคลื่อนจิต วางเรื่องวิตกกังวล แหมเทคนิคต่างๆล่อเสียหมด ยังไปกันไม่ได้ เหนื่อยใจ

ครับ แต่เข้าใจว่าไม่มีใครอยากเป็นแบบนี้ทุกคนอยากจับภาพพระได้ แต่มันทำไม่ได้ ผมคิดอย่างเดียวว่าหากพวกเขาทำได้คงไม่มาให้ไอ้เด็กเมื่อวานซืนอย่างผมสอนเป็นแน่ อายุอานามก็มากกว่าผมหลาย ยอมมาโดนผมดุด่าว่า

กล่าว กำลังใจพวกนี้ใช้ได้ครับ ในเมื่อความดีที่พวกเขามีต้องการปฏิบัติและกำลังใจเต็ม มีหรือคนอย่างผมจะปล่อยไป ผมไม่ปล่อยครับแถมบอกอีกด้วยว่าผมจะเอาไปจนได้ 

ด้วยบารมีและความเมตตาที่พระและพ่อมีให้ผม รายละเอียดการพาไปผมไม่ขอเล่าให้เจ้าตัวหรือผู้อยู่ในเหตุการณ์มาเล่าเองจะดีกว่าผมเล่า ทริปนี้เล่นเสียผมเดินไม่เป็นจนต้องเอาเจ้าภพ กับเจ้าอุย นักรบจากทริปรุ่นหนึ่งมาช่วย

ฝึก แหมเล่นเอาน้องภพหลอนแหละครับเจอบารมีพระเข้าไปทนกระแสพระไม่ไหว สั่นอย่างกะอากาศติดลบ20องศา ผมว่านะตอนนี้น้องๆมันคงเข้าใจผมมากขึ้นว่าผมต้องโดนอะไรบ้างต้องเหนื่อยแค่ไหน

ทริปนี้หากพระท่านไม่สงเคราห์พ่อท่านไม่ช่วย รับรองครับว่าไปกันไม่ได้ ท่านพ่อช่วยลูกหลานท่านจริงๆ ไม่แปลกใจเลยครับว่าทำไม ผมดีใจกับทุกท่านด้วยที่ท่านมุ่งมั่นและเอาจริงเอาจัง พวกท่านที่มาฝึกทุกคนทำให้ผมมี

กำลังใจที่จะสอนต่อไป พวกท่านเป็นส่วนนึงในชีวิตผม พวกเราเป็นเหมือนครอบครัวเดียวกัน ทุกท่านที่มาอย่ากราบผมเลยครับผู้ที่ท่านควรกราบคือพระกับท่านพ่อ และผมต่างหากที่ต้องกราบพวกท่าน พวกท่านทำให้ผมรู้ว่า

หลวงพ่อรักลูกหลานท่าน และพวกท่านทำให้ผมเห็นความพยายาม มุ่งมั่นที่จะทำให้ตัวเองเลวน้อยลง ผมต่างหากต้องกราบความดีที่พวกท่านได้กระทำ 

ยังไงก็เชิญท่านประธานรุ่นเล่าก่อนเลยก็แล้วกันครับ….

13-02-2012, 01:43 AM  P.192

ทริปสงครามช้างเผือกครั้งที่2นี้….ผมมีเรื่องประทับใจที่สุด2เรื่องครับคือ 

1.ถวายสังฆทานและปัจจัยแด่หลวงพ่อประสิทธิ พระอรหันต์แห่งนครพิงค์ คณะเราไปเป็นคณะสุดท้ายพอดี ปัจจัยที่ท่านโอนมาเสมือนท่านและผมได้ทำบุญร่วมกัน

2.ถวายปัจจัยและสนทนาธรรมกับครูบาเทือง ก่อนหน้านี้ผมมารอบนึงแล้วครับตอนนั้นท่านไม่อยู่และทราบมาว่าพบท่านค่อนข้างยาก อีกทั้งแขกที่มาก็มากมายนัก ครานี้คณะเราก็มีโอกาสไปและจังหวะเหมาะท่านอยู่รับแขก


พอดี แหมแขกมากันมากมายครับผู้ที่มากราบท่านนั้นถวายปัจจัยเสร็จท่านก็รดน้ำมนต์แล้ท่านบอกคณะนั้นว่าท่านจะไปดูงาน ที่ว่าดูงานนี่อาทิตย์หน้ามีงานวันเกิดท่านครับท่านคงไปดูความเรียบร้อย คณะเราก็นั่งหน้าละห้อยทั้ง

ง่วง ทั้งเหนื่อยจากการกรำศึก ทีนี้ถึงคิวคณะเรา ผมกับชาวคณะร่วมถวายปัจจัย แล้วท่านมองมาทางพี่หมู พอดีว่าก่อนหน้านี้วันสองวันพี่หมูแกมาด่อมๆมองๆหาที่พาทริปมากราบ พอดีวันนั้นพี่หมูแกพบครูบาพอดี แล้ววันนี้ท่านก็

จำพี่หมูได้ ท่านมองเสื้อแล้วถามพี่หมู ว่า สงคราม9ทัพหมายถึงอะไร แหมพี่หมูนี่ก็จริงๆดันบอกท่านว่าผมเป็นครูฝึก แน่ะเอาเข้านั้นโยนมาให้กูซะงั้น จริงๆกับพระกับเจ้าผมไม่ค่อยอยากคุยด้วยเพราะผมใช้ศัพย์ไม่เก่ง อีกทั้งท่าน

ก็พูดสำเนียงเหนือฟังไม่ถนัดกะอยู่เงียบๆ แกโยนมาก็งานเข้าแล้วกูยิ่งมึนๆ งงๆ ง่วงๆ หายง่วงเลยทีนี้ ท่านก็ถามซ้ำครับว่าหมายถึงอะไร ผมตอบท่านว่าคณะเรามาปฏิบัติกรรมฐานกัน เรารบกับนิวรณ์ครับ ท่านก็บอกว่า

นิวรณ์5น่ะหรือ ผมบอกว่าใช่ครับ ท่านถามต่อว่าแล้วอีก4ล่ะ นั่นเอาแล้ว ผมขำนิดนึงครับแหมเกรงตอบเดี๋ยววงแตก ท่านถามต่อว่าแล้วรบชนะมั้ยล่ะ มันเป็นกิเลสๆหมดมั้ยล่ะ ผมก็ยิ้มครับแล้วตอบท่านไปว่า ไม่ครับแต่พวกเรา

ทำให้มันเบาบางลง นั่นเอาเข้านั่นได้เรื่องล่ะครับ ตอบแบบนี้ โดนใจท่าน คราวนี้ก็ยาววววว สนทนากันยาววววภาษาบ้านเราเรียกคุยถูกคอ เออแหมคณะเราทำชาวบ้านงงๆแหละครับ ก็เล่นซะชั่วโมงเศษ ผมหันไปมองข้างหลัง 

แม่จ้าววววคนรอคิวกราบท่านบานนนนนนั่งกันเพียบบบบ แหมท่านว่าคราวหน้าถ้ามาให้มาหาท่านด้วย ท่านถูกใจครับ ท่านว่าวัยรุ่นสมัยนี้มีน้อยที่จะเข้าหาธรรมมะแบบปฏิบัติ คนเชียงใหม่นี่ไม่เหมือนสมัยก่อน หาคนปฏิบัติมี

น้อย ยิ่งชาวบ้านนะ พูดเรื่องนิพพานนี่เค้ากลัวกัน นิพพานนี่คือต้องตายก่อนพวกนี้กลัว แสนชาติก็ไม่ได้ไป แหมคุยไปคุยมาก็เกรงใจคนอื่นแหละครับรอกันนาน ไอ้ตัวผมตอนแรกก็คิดครับว่าถวายเสร็จคงกลับเลยเพราะหลายคน

บอกท่านไม่ค่อยคุยหรอก เจอคณะเราเข้าไปยาววววเลย แหมสุขใจกันถ้วนทั่วครับ 

หากมีโอกาสทริปช้างเผือกรุ่น3 ไพร่พลมากันมากคงจะได้ไปกราบท่านและสนทนาธรรมกับท่านอีกเป็นแน่ครับ 

มาๆท่านผู้อ่านมาโมทนาบุญทั้งสังฆทานและสร้างวิหารและทานร่วมกัน

13-02-2012, 09:51 AM  P. 192

by admin admin ไม่มีความเห็น

หลวงพ่อเล่าเรื่อง…ทาน

ทาน 4 ส่วน
หลวงพ่อค่ะ แล้วที่เขาบอกว่าก่อนจะเอาเงินทำบุญทำทานต้องแบ่งเป็น 4 ส่วนก่อน หมายความว่าอย่างไรคะ…..?

ในเรื่องพระเวสสันดร การให้ทานพระพุทธเจ้าบอกว่าต้องแบ่ง 4 ส่วน คือ
1. ชำระหนี้เก่า
2. เป็นเจ้าหนี้ใหม่
3. ฝังไว้
4. ทิ้งเหว
ชำระหนี้เก่าคือ คือบิดามารดาและผู้มีพระคุณ ต้องสงเคราะห์ท่านตามกำลัง
เป็นเจ้าหนี้ใหม่ ลูกสาวลูกชายต้องสงเคราะห์ใช่ไหม
ฝังไว้ สร้างความดีในส่วนกุศล
ทิ้งเหว คือกิน
ทั้ง 4 อย่างนี้ ใช้ 4 หารไม่ได้นะ ต้องดูความเหมาะสมโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ห่วงให้มากคือทิ้งเหว ตัวนี้ถ้าน้อยเกินไปมันจะเดือดร้อนมันเบียดเบียนตัวเอง ต้องแบ่งส่วนให้เหมาะสม
การทานพระพุทธเจ้าบอกว่า อย่าให้เบียดเบียนตัวเอง ถ้าเบียดเบียนตัวเอง อัตตกิลมถานุโยค เป็นการทรมานตัว
และการให้ทานพระพุทธเจ้าให้ดูอีกว่า ควรให้หรือไม่ควรให้ ถ้าให้ในเขตของคนเลวอานิสงค์น้อย อาจจะไม่มีเลย รู้ว่าคนนี้ควรจะให้เราก็ให้ ถ้าไม่ควรให้เราก็ไม่ให้ ให้แล้วไปกินเหล้า เมายา ไปสร้างอันตรายกับคนอื่นเราไม่ให้ดีกว่า เป็นการต่อเท้าโจร
เวลาจะให้ท่านว่างกฎไว้อย่างนี้
1.ผู้ให้บริสุทธิ์
2.ผู้รับบริสุทธิ์
3. วัตถุทานบริสุทธิ์
ของดีก็ตาม ของเลวก็ตามมีอานิสงค์มาก อานิสงค์คือความดี ความชื่นใจมาก
ถ้าผู้ให้บริสุทธิ์ ผู้รับบริสุทธิ์ วัตถุทานไม่มีความบริสุทธิ์ ความดีน้อยลง 
แต่ผู้ให้บริสุทธิ์ ผู้รับไม่บริสุทธิ์ วัตถุทานไม่บริสุทธิ์ ให้บาทหนึ่งจะได้สักสตางค์หรือเปล่าก็ไม่รู้
รวมความว่าต้องบริสุทธิ์ 3 อย่าง ถ้าลดไปอย่างใด อย่างหนึ่งอานิสงส์ก็ลดตัวตัวลงมา ถ้าลดเสียหมดเลยก็ไม่มี
แต่ว่าทาน พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้อีกประเภทหนึ่งต้องครบ 3 กาลจึงจะมีอานิสงค์
อนาถบิณฑิกเศรษฐี
มีเรื่องเล่าว่าในสัมยหนึ่ง เมื่อท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีจนลงเพราะเคราะห์กรรมบางอย่างทำลายท่าน เงินที่เขากู้ไปก็โกง ไอ้คนที่อยู่ภายในบ้านมันก็ขโมยของ ทรัพย์ที่ฝังไว้ชายทะเลชายแม่น้ำ แผ่นดินก็พังทรัพย์จมไปทั้งหมด ท่านจนขนาดข้าวเป็นเม็ดแทบไม่มีกิน ต้องกินปลายข้าว
แต่ว่าท่านศรัทธาของท่านไม่ถอย ท่านนิมนต์พระพุทธเจ้าพร้อมไปด้วยพระสงฆ์ไปฉันภัตตาหารที่บ้าน ท่านก็เอาปลายข้าวละเอียดเรียกว่าข้าวปลายเกวียนต้ม แล้วก็เอาผักดวงเปรี้ยวๆเค็มๆ ทำมาถวาย พระพุทธเจ้า พุทธเจ้าก็ฉันแบบนี้เหมือนกัน
เวลาที่พุทธเจ้าฉันอยู่ท่านก็นั่งใกล้ๆ กราบทูลพระพุทธเจ้าว่าเวลานี้ทานของข้าพระพุทธเจ้าเศร้าหมอง พระพุทธเจ้าข้า พระพุทธเจ้าถามว่า เธอมีเจตนายังไง ก่อนจะให้เธอมีความรู้สึกยังไง ท่านจึงได้บอกว่า ก่อนจะให้เต็มใจพร้อมเสอม เตรียมใจก่อนแล้ว

ของเลวก็มีอานิสงส์


พระพุทธเจ้าก็ถามว่า ในขณะที่ให้เธอมีความรู้สึกยังไงท่านก็บอกว่า ในขณะที่ให้ท่านก็ปลื้มใจ พระพุทธเจ้าข้า พระพุทธเจ้าก็ถามว่า เมื่อให้แล้วเป็นยังไง ท่านก็บอกว่า ให้แล้วก็เกิดความเลื่อมใส ดีใจว่าให้แล้ว พระพุทธจึงได้ตรัสว่า ดูก่อนเศรษฐี ลูขัง วา ปณีตัง แปลว่า ดี
ท่านตรัสว่า ถ้าคนให้มีเจตนาพร้อมเพรียงทั้ง 3 กาลคือ
1. ก่อนจะให้ตั้งใจว่าจะให้
2. ขณะที่ให้ก็ดีใจ
3. เมื่อให้แล้วเกิดความเลื่อมใส
อย่างนี้ของดีก็ตามของเลวก็ตาม ย่อมมีสงส์เลิศมีอานิสงส์
ถ้าหากว่าเราไม่รู้จะเลือกยังไง องค์นี้จะเป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์หรือเปล่า หรือเป็นพระโปเก พระเชียงกง ถ้าเราไม่รู้ ก็ถวายเป็นสังฆทานเลย เพราะสังฆทานมีอานิสงส์ มาก รองจากวิหารทาน
หลวงพ่อคะ กุศลชนิดใดที่มีอานิสงส์มากกว่าวิหารทานบ้างครับ…..? 
สัพพทานัง ธัมมทานัง ชินาติ การให้เป็นทานชนะการให้ทั้งปวง
ธรรมทานนี่สูงสุดใช่ไหมครับ…..?
พระพุทธเจ้าท่านบอกที่สุด ชนะทั้งหมดไงล่ะ แต่ว่าธรรมทานเฉยๆ เกิดไปชาติหน้าก็อด อดจริงๆนะ เพราะมีตัวอย่างมาแล้ว
ขาดทานบารมี
ในสมัยพระพุทธเจ้าเอง มีคนๆหนึ่งเกิดความเลื่อมใสในพระพุทธเจ้าศาสนาก็ขอบวช ตอนเช้าไปบิณฑบาต พระใหม่ก็ต้องเดินท้ายแถว พอเขาใส่บาตร พอจะถึงองค์ท้ายข้าวหมด คือเขาไม่มีเจตนาให้ไม่ทั่วนะ แต่เขาไม่เห็นองค์ท้าย เขาเทใส่บาตรรององค์ท้ายหมด
รุ่งขึ้นมาท่านอุปัชฌาย์ก็บอก เอ้า……วันนี้คุณเดินหน้า เดินหน้าสุด ส่วนชาวบ้านก็นึก เมื่อวานเราใส่หม้ามันไม่หลัง วันนี้เราใส่หลังมาก่อนดีกว่า แก้ตัวใหม่ แต่อุปัชฌาย์ท่าน รู้กฎของกรรม ถ้าบอกเฉยๆๆกลัวจะไม่เชื่อ
รุ่งขึ้นอีกวัน อุปัชฌาย์บอก คุณ…..วันนี้ยืนกลาง ถ้าชาวบ้านใส่หน้าใส่หลังก็ถึงแน่ พอวันที่สาม ชาวบ้านบอกวันก่อใส่ต้นไม่ถึงท้าย วันที่สองใส่ท้ายไม่ถึงต้น วันนี้แบ่งเป็นสองพวกเลย พอถึงตรงกลางเจ๊งอีแล้ว
พอวันนี้ที่สี่ อุปัชฌาย์ เอาใหม่ วันนี้คุณรองฉันชาวบ้านก็ใส่ทางหน้ามา ไม่เห็นองค์อีกที่สองอีก เลยมาใส่องค์ที่สาม
วันต่อมาอุปัชฌาย์ต้องเอามือจับบาตร จึงได้ข้าว เพราะอาศัยอดข้าว เพราะท่านอดแบบนี้ ท่านเลยได้เป็นอรหันต์ พระพุทะเจ้าทรงบอกว่า ท่านผู้นี้เมื่อเกิดไม่นิยมการให้ทานวัตถุ นิยมแต่ธรรมทาน หมายความว่านิยม แต่ ปรมัตถธรรม อย่างเดียว มี ศีล สมาธิ ปัญญา ทานไม่มี
นี่เห็นไหม เกือบจะพังอยุ่แล้ว แต่นี่พูดถึงเรื่องทานนะ ศีลก็ต้องรักษาเป็นเขตไป ถ้าทำลายศีลเป็นฌานสมาบัติ เป็นสีลานุสสติกรรมฐาน บุญก็สูงกว่านั้นอีก
ถ้าหากว่าทำจิตให้เกิดปัญญา ตัดกิเลสได้ ก็สูงกว่านั้นอีก ถ้า ตัดกิเลสซึ่งเรียกว่าสังโยชน์ 3 ข้อ เป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี ตัดกิเลสในสังโยชน์ได้ 5 ข้อ เป็นพระอนาคามี ตัดได้ 10 ข้อเป็นอรหันต์
ธรรมปฏิบัติเล่มแปด โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน(พระมหาวีระ ถาวโร ) วัดจันทาราม จ. อุทัยธานี

by admin admin ไม่มีความเห็น

พิธีสะเดาะเคราะห์ หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง

คำว่า เคราะห์กรรม เป็นวิธีเรียกของพรหมณ์ ทางพระพุทธศาสนาเรียกว่า กฏของกรรม 
คณาจารย์ต่างๆ เรียกไม่เหมือนกันแต่ผลมันเหมือนกัน นั่นคือ ความทุกข์ 
ถ้าอยากทราบว่า ความทุกข์มาจากไหน ก็จะเล่าให้ฟัง

ประการแรก การป่วยไข้ไม่สบายทางร่างกาย มาจากกรรมปาณาติบาต การฆ่าสัตว์ตัดชีวิต

ประการที่ ๒ ความทุกข์เกิดจากไฟไหม้บ้าง ขโมยปล้น ขโมยจี้ ลมพัดให้บ้านพัง น้ำท่วม 
มาจากโทษอทินนาทาน การลักขโมยของเขาจากชาติก่อน

ประการที่ ๓ เคราะห์กรรมที่ทำให้คนใต้บังคับบัญชาดื้อด้าน ว่ายากสอนยากไม่เชื่อฟัง 
มาจากโทษกาเมสุมิจฉาจาร เจ้าชู้จัดในชาติก่อน

ประการที่ ๔ เราพูดดีแต่คนอื่นไม่ชอบฟัง ไม่เชื่อฟัง มาจากโทษมุสาวาทจากชาติก่อน

ประการที่ ๕ การเป็นโรคปวดหัวบ่อยๆ หรือโรคประสาทก็ดี เป็นบ้าก็ดี 
เป็นโทษมาจากกฏของกรรม คือ ดื่มสุราเมรัย ในชาติก่อน อันนี้เป็นหลักหยาบๆ หลักใหญ่นะ

อย่างคนตาบอด ในสมัยชาติก่อน เขาทำบุญเห็นแล้ว แกล้งทำเป็นไม่เห็น 

อย่างคนหูหนวก เขาทำบุญสุนทาน เขาฟังเทศน์ฟังธรรมกันแกล้งส่งเสียงกลบ
เขาฟังเทศน์ฟังธรรม เขาคุยกันด้วยความเคารพในธรรม เราแกล้งส่งเสียงกลบ 
เกิดเป็นคนหูหนวก ๕๐๐ ชาติอย่างนี้เป็นต้น

ก็รวมความว่า ขึ้นชื่อว่า เคราะห์กรรม คือ กฏของกรรมเก่าของเราในชาติก่อน 
คนทุกคนที่เกิดมานี้ที่ไม่มีกรรมเก่า ที่กรรมไม่ดี ไม่มีนะ ไม่เคยทำบาปนี้ไม่มี…

ทีนี้คำว่า สะเดาะเคราะห์ หมายความว่า ทำให้เคราะห์หมด 
คำว่า สะเดาะเคราะห์ไม่มีศัพย์ในทางพระพุทธศาสนา เป็นศัพย์ของคณาจารย์ต่างๆ 
ในทางพระพุทธศาสนาไม่มี ในเมื่อไม่มี ทำไมวัดท่าซุงจีงบอกว่า สะเดาะเคราะห์ 
ก็เลยบอกว่าพูดตามเขา ทีนี้การทำคราวนี้ไม่ใช่สะเดาะเคราะห์ เป็นการสร้างความดี 
ความโชคดีให้เกิดขึ้น คือ หมายความว่าทำบุญให้มีกำลังสูง

คำว่า เคราะห์ คือ บาป เราล้างไม่ได้ แต่ถ้าหากว่าทำความดีให้มีกำลังสูงกว่า 
คำว่า เคราะห์จะเปรียบเทียบให้ฟัง เหมือนกับคนยืนอยู่กลางแดดจัดๆ 
เวลานี้อยู่ในร่มมันก็ร้อน ถ้ายืนกลางแดดมันก็ร้อน ถ้าทำบุญน้อยๆ ก็เหมือนกับมีร่มเล็กๆ 
ไปกางบังอยู่มันก็เย็นไปหน่อยหนึ่ง ทำบุญที่มีอานิสงส์มากๆ ก็เหมือนกับมีคนเอาน้ำไปราดให้ 
ก็มีความเย็น ถ้าทำ บุญที่มีกำลังสูงใหญ่อย่างเราเจริญกรรมฐาน เหมือนกับเราแช่ในอ่างน้ำ 
ถึงเราจะอยู่กลางแจ้ง กลางแดด ความร้อนมันก็น้อยไป 
ข้อนี้ฉันใด การสะเดาะเคราะห์ก็เหมือนกัน การสะเดาะเคราะห์ไม่ได้ทำให้หมดไป

ตัวอย่าง : ในสมัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระชนม์อยู่ 
ในครั้งหนึ่งองค์สมเด็จพระบรมครูทางเทศน์เรื่อง กายคตานุสสติกรรมฐาน 
กับ อสุภกรรมฐาน สองอย่าง 
คำว่า กายคตานุสสติกรรมฐาน หมายถึงการพิจารณาร่างกายของตนเอง …
อสุภกรรมฐาน ให้เห็นว่าร่างกายทุกคนเต็มไปด้วยความสกปรกโสโครกทั้งหมด
พระ ๖๐ องค์เศษๆ ฟังแล้วพิจารณาตามเกิดความสลดใจเห็นว่าร่างกายของคน
มีความสกปรกมาก มีความเบื่อหน่าย หลังจากเทศน์จบองค์สมเด็จพระจอมไตร 
ทรงบอกว่า นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป ฉันจะเข้าไปอยู่ในถ้ำ ๑๕ วัน 
ขณะที่อยู่ในถ้ำ ๑๕ วันห้ามมิให้คนอื่นเข้าพบ นอกจากพระที่ส่งอาหาร

บรรดาพระ ๖๐ องค์เศษๆ เหล่านั้น เมื่อฟังเทศน์จบก็พิจารณาร่างกายว่ามันสกปรก 
มีความรังเกียจร่างกายมาก ท่านเปรียบเทียบบอกว่า เหมือนหนุ่มสาวที่อาบน้ำใหม่ๆ แต่งตัวสวยๆ 
แล้วมีคนเอางูเน่ามาคล้องคอ หรือเอาสุนัขเน่ามาแบกที่บ่าหรือใส่ที่บ่า มีความรังเกียจขนาดนั้น 
ในที่สุดก็ฆ่าตัวตายเองบ้าง จ้างคนอื่นฆ่าบ้าง พอครบ ๑๕ วันพระพุทธเจ้าก็ออกจากถ้ำ 
ก็มีพระถามว่า การที่พระองค์ทรงเทศน์ กายคตานุสสติ อสุภกรรมฐาน ทั้งสองอย่าง
ทรงทราบหรือไม่ว่าพระ ๖๐ องค์เศษๆ จะฆ่าตัวตาย หรือจ้างคนอื่นฆ่าตัวตาย 
พระพุทธเจ้าบอกว่าทราบ ในเมื่อทรงทราบพระก็ถามว่า ทำไมจึงเทศน์ทั้งที่ทราบว่าเขาจะฆ่าตัวตาย 
พระพุทธเจ้าท่านก็บอกว่า ขึ้นชื่อ กฏของกรรม ไม่มีใครหนีพ้น จะเทศน์อย่างนั้นหรือไม่เทศน์ก็ตาม 
เขาก็ต้องฆ่าตัวตาย หรือจ้างคนอื่นฆ่าตัวตาย เพราะกฏของกรรมเดิม 
กรรมเดิมที่พระพวกนี้เคยเป็นพรานฆ่าเนื้อ ฆ่าสัตว์มาก่อน มันติดตามมาทัน เขาต้องตายแบบนั้น

ฉะนั้นก่อนจะตาย ตถาคตจึงเทศน์กายคตานุสสติกรรมฐาน อสุภกรรมฐานสองอย่างรวมกัน
ให้เขาพิจารณาเบื่อในร่างกาย ในเมื่อเขาตาย เขาไปนิพพานไม่ดีกว่าหรือ

ทีนี้การทำคราวนี้ ก็เช่นเดียวกัน ไม่ใช่ทำลายให้เคราะห์หมดไป การทำลายเคราะห์ คือ บาป 
ทำลายไม่ได้โยม แต่ว่าเราทำบุญให้มีกำลังสูงขึ้น อย่างญาติพุทธบริษัทที่มานั่งที่นี่ทุกคน 
ไม่ใช่มีแต่เคราะห์ โชคก็มี คือชาติก่อนมีทั้งความดีมีทั้งความชั่ว มีทั้งบุญและบาป 
ขณะใดที่มีการป่วยไข้ไม่สบาย นั่นคือผลของบาปเข้าสนอง 
แต่ว่าทุกคนมีทรัพย์สินอยู่ได้เพราะผลของทาน ทานการให้ในชาติก่อน ทำให้คนมีทรัพย์สิน 
แต่การมีทรัพย์สินทำไมจึงไม่เสมอกัน อย่างทานที่มีกำลังสูงสุดในด้านวัตถุก็คือ วิหารทาน 
เป็นทานที่มีกำลังสูงมาก ทานที่รองลงมาก็คือ สังฆทาน สังฆทานนี่โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า คนที่เคยถวายสังฆทานแล้วครั้งหนึ่งในชีวิต 
ตายแล้วเกิดกี่ชาติก็ตาม ถ้ายังไม่เข้าพระนิพพานเพียงใด จะไม่พบกับความยากจนเข็ญใจ 
จะเป็นเศรษฐี มหาเศรษฐีทุกชาติ ทีนี้คนที่เขาเป็นเศรษฐมหาเศรษฐีเพราะว่า 
เขาเคยถวายสังฆทานในกาลก่อน อันนี้เป็นผลอันหนึ่งที่เราจะทำ เพื่อเป็นการหลีกเร้นกฏของกรรม 
คือ บาป บาปถึงแม้มันจะกลั่นแกล้งขนาดไหนก็ตาม แต่เรามีกำลังบุญสูง คือคล้ายๆ กับสุนัขไล่กัด 
ถ้าเราวิ่งเร็วมันก็กัดไม่ทัน ถึงกัดทันก็กัดไม่ถนัด

ประการที่สอง ต่อนี้ไปจะให้ญาติโยมทั้งหลายรับศีล การสมาทานศีลมีอานิสงส์ ๓ อย่างคือ

๑. สีเลนะ สุคะติง ยันติ คนที่มีศีลอยู่แล้ว เวลามีชีวิตอยู่ก็มีความเป็นปกติสุข 
ตายจากความเป็นคนก็ไปเกิดเป็นเทวดา เป็นนางฟ้ามีความสุข

๒. สีเลนะ โภคะสัมปะทา ในขณะที่มีชีวิตอยู่เรามีศีลบริสุทธิ์ ทรัพย์สินก็ไม่เปลือง
ก็มีการเป็นอยู่ดีในการครองทรัพย์สิน ตายไปก็ร่ำรวยมาก

๓. สีเลนะ นิพพุติง ยันติ คนที่รักษาศีลได้ดี จะไปนิพพานได้โดยง่าย

นี่คืออานิสงส์ของศีล หลังจากนั้นไปจะให้ญาติโยมพุทธบริษัท เจริญวิปัสสนา คือเจริญกรรมฐาน 
ใช้กำลังพุทธานุสติกรรมฐานเป็นกำลัง นี่เป็นบุญใหญ่ที่สุดในพระพุทธศาสนา 
บุญในพระพุทธศาสนามี ๓ ชั้น คือ ทาน ศีล ภาวนา ภาวนานี่เป็นบุญใหญ่ที่สุด
จะให้ญาติโยมภาวนาว่า พุทโธ เป็นการนึกถึงพระพุทธเจ้า เวลาหายใจเข้านึกว่า พุท เวลาหายใจออกนึกว่า โธ 
ใช้เวลา ๑๐ นาที จงอย่านึกว่าแค่ ๑๐ นาที จะมีบุญน้อย ความจริงไม่ใช่น้อย มีกำลังมากเหลือเกิน 
การนึกถึงพระพุทธเจ้าอย่าง มัฏฐกุลฑลีเทพบุตร หรือ สุปติฏฐิตเทพบุตร ซึ่งเขาไม่เคยนับถือพระพุทธเจ้า 
เขานึกถึงท่านอยากให้ท่านมารักษาโรคให้หาย เพียงเท่านี้ไม่ได้เคารพอย่างเรา 
เขาตายจากความเป็นคน ไปเกิดเป็นเทวดาบน สวรรค์ชั้นดาวดึงส์เทวโลก 
แต่นี่เรา เจริญพระกรรมฐาน นึกถึงพระพุทธเจ้าด้วยอารมณ์ของความเคารพจริงๆ 
อานิสงส์มากไปกว่านั้น ปรารถนานิพพานในชาตินี้ยังได้

หลังจากนั้นจะมีพระเจริญพระอภิธรรม สวดอภิธรรมมาติกา คำว่า มาติกา 
เขาสวดสำหรับคนตาย และพวกเราตายแล้วหรือยัง แต่ความจริงเขาไม่ได้สวดเพื่อคนตาย 
คนตายไม่ได้ฟัง เขาสวดให้คนที่ยังไม่ตายฟัง เพราะบทมาติกานี่อานิสงส์มาก
เพียงแค่รับฟังอย่างไม่รู้เรื่อง อย่างค้างคาว ๕๐๐ ตัว ฟังสวดอภิธรรมเพียงแค่เพลิดเพลิน 
ไม่ทราบผู้สวดเป็นพระ ไม่ทราบว่าธรรมที่สวดเป็นธรรมะ เพลินไป 
ผลที่สุดเท้าก็หลุดจากที่เกาะหล่นลงมาตายทั้ง ๕๐๐ ตัว 
หลังจากตายจากความเป็นค้างคาวแล้วไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เทวโลก 
ในเมื่อพระพุทะเจ้าองค์นี้มาตรัส เขาเกิดเป็นลูกชาวประมง ในที่สุดเขาก็ฟังอภิธรรม 
เพียงแค่จบเดียวโดยย่อ ก็บรรลุพระอรหันต์ทั้งหมด นี่แค่สัตว์เดรัจฉานนะเขาไม่รู้เรื่อง
ยังมีอานิสงส์อย่างนี้ ฟังแล้วชาติเดียวเกิดเป็นเทวดาและหลังจากนั้นมาก็เป็นพระอรหันต์

ท่านทั้งหลายฟังแล้วด้วยความเคารพ รู้ว่าท่านผู้สวดเป็นพระ คำสวดเป็นธรรมะ
ที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนและฟังด้วยความตั้งใจจริงอย่างนี้ ถ้าปรารถนิพพานชาตินี้ยังได้ 
ถ้าไม่ได้จริงๆ ก็ไปเกิดเป็นเทวดานางฟ้าหรือพรหม เวลานั้นก็เจอะพระศรีอาริยเมตตรัย 
ฟังเทศน์จากพระศรีอาริย์จบเดียวก็ป็นพระอรหันต์ นี่เป็นของไม่ยาก ง่ายๆ นะ 
ตั้งใจให้ดีนะหลังจากนั้นพิธีสะเดาะเคราะห์จะเกิดขึ้นนั่นคือว่าจะให้ พระบังสกุลตาย

ตอนที่ พระบังกุลตาย ขอบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ให้ตั้งใจคิดว่า 
เวลานี้ขอผลของความชั่วทั้งหมดบาปกรรมที่ทำมาแล้วจาก… (การละเมิดศีล ๕)…
ที่ทำให้จิตใจเรามีความทุกข์ มีความเร่าร้อน ให้มันสลายตัวไป พร้อมกับคำบังสกุลตายของพระ 

หลังจากนั้นพระจะ บังสกุลเป็น ตอนนั้นบรรดาพุทธบริษัท ก็ตั้งใจคิดว่า 
เวลานี้เราเกิดใหม่พร้อมความดี คือ 

๑. ศีลที่เราสมาทานแล้ว 

๒. สังฆทานที่เราทำแล้วมีอานิสงส์ใหญ่ 

๓. การภาวนาซึ่งเราทำแล้ว 

๔. วันนี้บวชเณร ๘๕ องค์ บวชชีพราหมณ์ ๖๐ องค์เศษๆ คนทั้งหมดที่บวช
เป็นนักเรียนโรงเรียนสุธรรมยานเถระวิทยา เป็นนักเรียนที่ได้สมาบัติ คือได้ฌานโลกีย์ทั้งหมด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมาบัติขั้นอภิญญา เขาสามารถไปเที่ยวสวรรค์ นรกได้ 
เพราะโรงเรียนนี้มีกฏบังคับ เด็กที่เข้าโรงเรียนนี้ ต้องเจริญกรรมฐานก่อน 
ต้องสอบกันก่อนว่าเที่ยวสวรรค์นรกได้หรือเปล่า ระลึกชาติได้หรือเปล่า 
ถ้าทำไม่ได้เข้าโรงเรียนนี้ไม่ได้ เมื่อเข้ามาได้แล้วก็มีการซักซ้อมทุกอาทิตย์ 
เป็นอันว่าเณรและชีพวกนี้เป็นผู้ทรงฌาน เป็นผู้ปฏิบัติตนเพื่อพระโสดาปัตติมรรค 
ทำบุญมีอานิสงส์มาก

ฉะนั้นบรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้าต้องการทำบุญให้มากขึ้น 
เวลาเลิกแล้วก็เอาสตางค์มาใส่ขัน ตั้งใจบวชเณรบวชชี 
มากก็ได้น้อยก็ได้ ๕ สตางค์ก็ได้ ๑๐ สตางค์ก็ได้ สลึงก็ได้ 
บาทก็ได้ ตามชอบใจ ตามที่จะพึงทำได้ ให้ตั้งใจคิดว่า 
เวลานี้เราบวชเณรบวชชี

สำหรับการบวชเณรนี่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ถ้าเป็นพ่อแม่ของเณร 
ถ้าลูกบวชหนึ่งองค์ เขาจะมีอานิสงส์เกิดเป็นเทวดานางฟ้า หรือเป็นพรหม
ได้คนละ ๑๕ กัป ลูกชายได้ ๓๐ กัป ญาติโยมที่ไม่ใช่พ่อแม่ของเณร
จะได้อานิสงส์คนละ ๔ กัป ทีนี้มัน ๘๕ องค์นี่ เอา ๔ คูณ ๘๕ เข้าได้เท่าไหร่ 
ก็รวมความว่าก็ได้ ๓๐๐ กัปกว่า ถ้าเราตายจากชาตินี้เป็นเทวดาหรือพรหม
ก็สามารถเป็นเทวดาหรือพรหม อยู่ได้ถึง ๓๔๐ กัป 
ในเมื่อท่านทั้งหลายมีบุญขนาดนี้ก็อยู่ไม่ถึง ๓๐๐ กัป ไปนิพพานแน่ 
ก็เป็นอันว่ามีความดีใหญ่ 

(จากหนังสือสมบัติพ่อให้หน้า ๒๔๓ -๒๔๘)

by admin admin ไม่มีความเห็น

ตายจากสุนัขไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

“..ตอนที่อาตมาและคณะเดินทางไปประเทศนิวซีแลนด์เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๕๒๙ ได้ไปที่ทะเลสาบโรโตรัว
ในทะเลสาบแห่งนี้ เวลานี้มีปลาอยู่ตัวหนึ่งรูปร่างคล้ายปลาตะโก้หรือปลาแดง ตัวยาว ๑ โยชน์ 
กำเนิดของปลาตัวนี้จริงๆ ในสมัยนั้นเป็นปลายสมัยพระพุทธเจ้าสมเด็จพระพุทธกัสสป
เวลานั้นมีสุนัขตัวหนึ่ง พวกเมารีทั้งหมดไม่ชอบฆ่าสัตว์ ชอบเลี้ยงสัตว์ ชอบให้ทาน 
โปรดสัตว์มากและมีฝูงปลาอยู่ ชอบเลี้ยงปลาด้วย พอลงไปใกล้แม่นํ้าปลาจะวิ่งเข้ามาหาเลย สุนัขตัวนี้ก็ชอบไปดูปลาด้วย เวลาให้อาหารปลามันก็มองดู เวลาเขาเปิดอาหารปลาไว้ 
มันอยากไปดูปลามั่ง มันก็คาบอาหารโปรยและก็มองดูปลา


หลังจากตายจากสุนัขชาตินั้นแล้ว อาศัยมีเมตตาจิตก็ไปเสวยสุขอยู่บนแดนสวรรค์
ชั้นดาวดึงสเทวโลกชั่วคราว และอาศัยความมีเมตตาจิตจึงขออธิษฐานมาเกิดเป็นปลายักษ์
ยาว ๑ โยชน์เพื่อเลี้ยงปลาตัวเล็กๆ เพราะเห็นปลาตัวเล็กๆ เป็นเหยื่อของปลาตัวใหญ่ หาอาหารได้ยาก 
ก็เอาตะไคร่นํ้าหรืออาหารที่ตัวเหลือกิน พ่นออกมาเลี้ยงปลาตัวเล็ก เวลานี้ก็ทำแบบนี้อยู่ ยามปกติไม่ไปไหนก็พลิกตัวไปพลิกตัวมา ขยับได้นิดหน่อย  ความจริงเขาก็มีความเป็นอยู่คล้ายเป็นทิพย์ ถึงแม้มีเศษอาหารสักนิดหนึ่งหรือเห็นตะไคร่นํ้าก็ตาม กินนิดเดียวก็อิ่ม ตะไคร่ที่ติดอยู่ข้างตัวก็เป็นอาหารของปลาเล็กๆ เมื่อปลาเล็กเข้าไปอยู่ใกล้ ปลาใหญ่ที่เป็นศัตรูจะไม่กล้าเข้าไปอยู่ใกล้ ไม่กล้าเข้าไปทำอันตรายบรรดาปลาทั้งหลายเหล่านั้น
รวมความว่าประวัติของปลาตัวใหญ่ยาว ๑ โยชน์มาจากสุนัขตัวเล็ก
ถามเขาว่า “จะอยู่อีกกี่ปี” เขายืนยันว่าเขาจะอยู่อีก ๒๙ ปีก็จะตายจากความเป็นปลาขึ้นไปอยู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ตามเดิม จากนั้นเขาตั้งใจรอพระศรีอาริย์ แต่ถ้ามาช้าเกินไปเขาจะไปก่อน เวลานี้เทวดาล้อมเขาเต็ม เทวดาไม่ต้องดำนํ้าหรอก


การที่ท่านเล่าเรื่องนี้ให้มิใช่ประสงค์จะให้ทะนงตัว แต่ให้จำไว้ว่าการเกิดชาติใดชาติหนึ่งก็ตาม มันเป็นอนิจจังหาความเที่ยงไม่ได้ จะเห็นว่าความเที่ยงแท้แน่นอนไม่มี ใครมีปัญญาก็เอาไปคิดเป็นวิปัสสนาญาณ..”
จาก หนังสือ ตายแล้วไม่สูญ…แล้วไปไหน


เรื่อง…หมาของหลวงพ่อ
มีหมาอยู่ตัวหนึ่งทำท่าแหยๆ เรียก ไอ้ตี๋ๆ ทำท่าเหมือนตี๋ แต่อย่าไปโกงเชียวนะ พ่อสู้ไม่ว่าใคร ตัวเล็กแต่คอยวิ่งส่งวิ่งรับ ที่แรกเรานึกสงสาร ไอ้ตัวนี้จะสู้ใครเขาได้ ที่ไหนได้พวกไปแหย่หน่อยเดียวฟัดดะ ปกติท่าทางเรียบร้อย วันหนึ่งแม่ศรีเขามาบอกชื่อ ตัวนั้นชื่อนั้นๆ ตัวนี้ชื่อนี้ พอเรียก พระยา หน่อย หูรี่วิ่งเข้ามา แม่ศรีเขาบอกเดียวนั้นก็เรียกเดียวนั้นเลยหูรี่แสดงออกชัด ดีอกดีใจ เป็นชื่อเก่าเขา
มีตัวหนึ่งตัวเล็กที่สุด ป่วยตั้งแต่เกิดตั้งหลายเดือน มันไม่ยอมหายกับเขาเสียที เราก็หนักใจว่ามันจะตาย ท่านย่ามาบอก
“ไปเรียกมัน ชูศรี ซิ “
หูรี่วิ่งมาหาเลยคำแรกเท่านั้นนะมันรู้จักชื่อ เราระยำไม่รู้จักชื่อหมา มันแปลกจริงๆ น่าอัศจรรย์ ทำท่าหาย ทำท่าดีใจ
“เพราะฉนั้นเห็นสุนัขจะดูถูกไม่ได้ว่าเป็นหมานะเจ้าคะ”
สุนัข นี้เขาไม่ได้แปลว่าหมา เขาแปลว่า เล็บงาม ถ้าหมายตามศัพท์คือ สา สุนัขนี่ไม่แน่บางตัวเป็นพระโพธิสัตว์
มีอีกตัวตอนนี้มันแก่ ไม่ใช่ป่วย เดินจะไม่ไหว ชื่อ โคล่า 
เมื่อวานนอนดูอยู่ พระท่านมาถามว่า 
“รู้จักโคล่าไหม ?”
ถาม “ทำไมครับ? “
ท่านบอกว่า 
“เธอเห็นมันแปลกอะไรบ้างไหม”
บอก “เห็นครับ “
เพราะว่าเจ้านี่เวลาแม่มันอยู่มันกินมูมมาม กินเสร็จแล้วก็ออกไปเกะกะโวยวาย เจ้าแม่มันเป็นสุนัขเรียบร้อย เวลาเขาให้กินยังไม่กิน นั่งเรียบร้อย พอแม่มันตายวันนั้นทำเหมือนแม่มันเลย เหมือนหมดทุกอย่างจนกะทั่งถึงวันนี้นะ 
แล้วตอนก่อนนี้ขึ้นไปรับแขก แม่มันขึ้นไปเป็นเพื่อนพอแม่มันตายแล้ว 
ก็เจอะโคล่าอยู่ข้างล่าง บอก 
“โคล่า ตอนนี้แม่ตายแล้วนะ หลวงพ่อไม่มีเพื่อน ไปอยู่เป็นเพื่อน “
พอรุ่งขึ้นก็ไปถึงที่ 
พอต่อมา บอก 
“โคล่า กินข้าวถ้าหากอิ่มบ้างไม่อิ่มบ้าง ไปขอป้าเขานะ”
ถึงเวลากินก็เข้าไปไม่ต้องนำ ทุกอย่างบอกคราวเดียว ถ้าทำผิดปั๊บเขาก็ทำแบบขออภัย สั่งงานสั่งคราวเดียวจำตลอดชีวิต
เวลาใกล้เพลสั่งไว้ว่า
” เวลาหลวงพ่อหลับหรือเผลอมาเรียกด้วยนะ”
พอ ๔ โมงมาเรียก
ตอนหลังบอกมันยาวเกินไป ๑๕ นาทีเพลค่อยมาเรียกนะ อีก ๑๕ นาทีเพลมาเรียกจริงๆ เตือน
พระท่านก็เลยมาบอกว่า 
“เจ้าโคล่าเป็นพระโพธิสัตว์”
แล้วท่านยังบอกต่อว่า คนสงเคราะห์เลี้ยงพระโพธิสัตว์มีอานิสงส์มาก
“แล้วทำไมถึงมาเกิดเป็นสุนัขละคะ…?”
ลงมาช่วย สุนัขหรือแมว ถ้าพระเลี้ยงตายแล้วไปสวรรค์ทุกตัว ได้เปรียบมาก 
“อย่างนั้นสุนัขที่แสนรู้ต้องมีเบื้องหลังแน่นอน”
สุนัขแสนรู้นี่ถ้าไม่ได้เกิดเป็นเทวดาก็คนแน่ เพราะตัวเมตตาเข้าถึง ทานบารมีเก่าเขามี
เมตตาบารมี บารมีเริ่มเข้าสนองพวกนี้ได้เปรียบเราเยอะ คนนี่ไม่แน่นอน จะไปอบายภูมิก็ได้ ไปสวรรค์ก็ได้ 
ไปพรหมก็ได้ มีคนสงเคราะห์ไม่ลงต่ำแน่
จากหนังสือ ธรรมปฏิบัติ เล่ม ๑๐ หน้า ๒๗-๒๙



เรื่อง…หมาของหลวงพ่อกลายเป็นเทวดา
เมื่อกลับมาจากสถานที่รับแขก เวลา ๓ โมงเย็น ๓ โมงเย็นก็เลิกรับแขก เพราะร่างกายมันทนไม่ไหว มันเป็นโรคหลายอย่าง เมื่อกลับมาถึงแล้วเขาก็รายงานบอกว่า เจ้าขุน ป่วยหนัก คำว่า เจ้าขุน นี่เป็นสุนัขตัวหนึ่งเป็นหมายเลข ๑๓ นั่นก็หมายความว่า เป็นสุนัขตัวที่ ๑๓ ที่เรียกว่า เจ้าขุน ก็เพราะว่าในสมัยหนึ่ง ขนมันหลุดหมด มันเป็นโรคเรื้อน ก็เลยเรียก เจ้าขุน ๆ หมายความว่า ขนไม่มี ก็เหมือนขุนช้าง ขุนช้างตามหนังเสือเขาเขียนนะ แต่ขุนช้างจริง ๆ เขาสวย ก็เลยเรียกเจ้าขุน ๆ แทนขุนช้าง 
ต่อมาก็ติดสงสารหมา หายามา ก็บังเอิญ โยมสมัคร บอกว่า มียาขนานหนึ่ง คนที่เป็นโรคชันนะตุ โรคอะไรก็ไม่ทราบ ที่มันเกิดบนหัวน่ะ เกิดขึ้นแล้วก็ผมหลุดหมด หัวเป็นแผลเป็น เขาใช้ เปลือกแค เปลือกต้นแคนี่นะ ฟังให้ดีนะถากมาแล้วก็เอาไป แช่น้ำซาวข้าว น้ำซาวข้าวนะ ไม่ใช่น้ำข้าวที่สุกแล้ว แช่สัก ๕-๗ วัน แล้วก็ทาผมขึ้นเต็มศีรษะ หนาปึ้บ นี่หัวคน ก็ลองมาทาเข้าขุน ปรากฏว่า ไม่นาน ไม่กี่วันนัก ขนสวยสดงดงามมาก เป็นหมาที่มีขนสวย แต่ว่าเจ้าขุนนี่มีปกติอยู่อย่างหนึ่ง เป็นหมาที่มีความจงรักภักดี แต่ว่าไม่ค่อยจะยอมให้จับ ไม่ค่อยเข้าหาใคร เวลาเรียก เวลาเขาเข้ามาใกล้ ๆ ปล่อยเขาเข้ามาเอง เขาเข้ามา ลูบคลำได้ ถ้าเรียกชื่อเมื่อไร ถอยหลังเมื่อนั้น ออกไปไกล แต่ถ้าเวลาไหนพบเขาเข้า ถ้าเวลากลางวัน หรือกลางคืนก็ตาม เห็นหมาตัวอื่นนอน ก็เลยบอกว่า ขุน อยู่ยามนะ ขุนมันเก่ง ขุนอยู่ยามนะ เจ้าขุนจะไม่ยอมหลับ จะจ้องในสถานที่ต่าง ๆ ถ้าสงสัยขึ้นมาก็ส่งเสียงเห่า หมาทุกตัวที่นอนอยู่ก็ลุกขึ้นพร้อมกัน ไปตามเสียงเห่า
เป็นอันว่า เจ้าขุนมีความจงรักภักดี แต่ว่ามันไม่ค่อยยอมให้จับ ทีนี้เมื่อกลับมา เมื่อวันวานนี้ วันที่ ๕ ปรากฏว่า พรนุช คืนคงดี บอกว่า เจ้าขุนปล่อยหนัก ให้ กุ๊กกิ๊ก ไปให้น้ำเกลือ คำว่า กุ๊กกิ๊ก เป็นเด็กนักเรียนสตรี นักเรียนประจำ เด็กนักเรียนประจำนี่มี สัตว์แพทย์เดชา ท่านสอนให้นักเรียนหญิงที่มีความสนใจในสัตว์ รู้จักวิธีรักษาสัตว์ ที่เรียกว่า สัตวบาล ให้มีความรู้ สำหรับยาที่จะใช้จะใช้ยา อะไรก็ปรึกษาสัตวแพทย์ การฉีดยาเข้ากล้าม เข้าเส้น การให้ยานี่ เธอเข้าใจดี บางทีเจ้าสุนัขตัวไหนมันป่วย อยู่ไกล ก็เดินหากัน จนกระทั่งครึ่งวันค่อนวันก็หา เธอมีเมตตาดีมาก เด็กดี ๆ ประเภทนี้ควรจะให้ทุนการศึกษา ทั้งในขั้นต้น คือ ขั้นมัธยม และมหาวิทยาลัย ถ้าเธอสามารถสอบได้ ถ้าเธอเข้าไปสอบกับเขาได้ ก็จะให้ทุน เพราะว่ามีเมตตาดี
ก็ปรากฏว่า พอไปเยี่ยมสุนัข มันมีหลายฝูง อาตมาก็ไม่สบาย เดินก็จะล้ม ก็มี พระครูปลัดอนันต์ กับพระน้อย ควบคุมไป เกรงว่าจะล้ม พอเดินเข้าไปเยี่ยมฝูงเจ้ามณี ก็ปรากฏว่า มีข่าวเขาบอกว่า เจ้าขุนตายเสียแล้ว เมื่อวันวานนี้ พอเดินขากลับมา จะขึ้นบันได อาคารแม่ใหญ่ ก็เห็นผู้ชายคนหนึ่งลอยอยู่ข้างหน้า ก็ถามว่า ขุน ใช่ไหม เขาก็บอกว่า ใช่ครับ บอก เออ…ขุน เอ็งก็มีความดีอยู่มาก มีความจงรักภักดีต่อหลวงพ่อ และอีกประการหนึ่ง รักษาของสงฆ์ มันก็เป็นบุญใหญ่ ผลบุญใดที่พ่อทำแล้ว ตั้งแต่ต้นจนกระทั่งปัจจุบัน ขอเธอจงโมทนา รับผลเช่นเดียวกับพ่อ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เธอยกมือไหว้แล้วก็หายไป อาตมาก็เดินกลับ
ต่อมาวันนี้ ที่พูดนี่เป็นเวลา ๖ โมงเย็น ๆ ๖ โมงครึ่ง เมื่อเวลาประมาณ ๖ โมง หลังจากฉันยาเสร็จ อาบน้ำแล้ว อาเจียนแล้ว ก็พักผ่อนนอนคนเดียว ภาวนาไปตามเรื่อง ก็ภาวนาตามคาถาที่ชอบใจ ชอบใจบทไหน ภาวนาบทนั้น จิตเป็นสุข 
ทำอารมณ์ให้เป็นสุขตามที่พระพุทธเจ้าแนะนำ พอสักประเดี๋ยวเดียว จิตก็หลบแว้บ ปรากฏว่า มีผู้ชายใส่ชฎา สวยมากยืนอยู่ไกล อยู่ระหว่างวิมาน เป็นเทวดา มีวิมานเป็นทองคำ เสาเป็นทองคำ แต่หลังคาเป็นแก้ว แต่สำหรับเทวดา สวยงามมาก ชฎาที่เห็นใส่มันสวยกว่าชฎาลิเกเรามาก มีเพชรแพรวพราวเป็นระยับ ตัวก็เพชรแพรวพราว แต่ว่าอยู่ไกล เมื่ออยู่ไกลก็มีความรู้สึกว่า 
เอ๊…นี่มันเจ้าขุนนี่หว่า ถามว่า นั่นเทวดาเจ้าขุนใช่ไหม เขาบอกว่า ใช่ขอรับ บอก เมื่อเธอเป็นสุนัข เธอก็ยังกลัวไม่กล้าจะเข้าใกล้ วันดีคืนดีเธอเข้ามาหา แต่วันปกติถ้าเรียกมา เธอจะไม่ยอมเข้าใกล้ จะวิ่งหนีออกไกล เวลานี้เป็นเทวดา ทำไมจึงอยู่ไกล เธอก็ตอบว่า ผมเป็นเทวดา ผมยังกลัวครับ ก็บอกว่า เธอจะกลัวทำไม ให้เข้ามาใกล้ ๆ วิมานเธอก็ลอยเข้ามาใกล้ ก็ถามว่า เวลานี้เธออยู่ที่ไหน เธอก็บอกว่า อยู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ถามว่า มีความสุขดีไหม ก็บอกว่า มีความสุขมาก ก็ถามว่า ในสมันที่มีชีวิตอยู่ทำไมจึงกลัวหลวงพ่อ เธอก็บอกว่า ไม่ทราบว่ามันเป็นอะไรครับ ผมก็รักหลวงพ่อ แต่ว่ากลัว เรียกเมื่อไร่ หนีเมื่อนั้น ถ้าไม่เรียกก็ย่องเข้ามาหา ๒-๓ วันเข้ามาหาที ลูบคลำได้ แต่ว่า ถ้าเป็นการอยู่ยาม เป็นหน้าที่ของเขา เขาอยู่ยามดีจริง ๆ คืนทั้งคืนไม่ยอมหลับก็มี นอกจากว่ามีสุนัขตัวอื่นไปเปลี่ยน
สุนัขที่นี่มันมีทั้งหมดจริง ๆ นับทั้งที่ตายไปแล้ว และยังไม่ตายมี ๒๐๐ กว่า แต่เหลือจริง ๆ ก็ประมาณ ๑๐๐ เศษ ทั้งนี้เพราะอะไร พ่อแม่ต้นมันยังไม่ตาย เจ้านิลเป็นพ่อใหญ่ แม่นาค เป็นแม่ใหญ่ ยังอยู่ทั้งคู่ แต่แค่ ๗-๘ ปี เท่านี้แหละ บรรดาท่านผู้ฟัง มันผลิตลูกออกมา ต่างคนต่างช่วยกันผลิต พ่อแม่ใหญ่ก็ผลิตลูก ไอ้ลูกมันก็ผลิตลูกไอ้หลานก็ผลิตลูก ผลิตกันออกมาถึงป่านนี้ตั้ง ๒๐๐ เศษ ลองคิดดูแล้วก็ต้องไม่ยอมให้สุนัขที่อื่นเข้ามาปน เพราะเกรงว่า เจ้าพวกนี้ถ้าไม่ใช่พวกเดียวกัน มันจะกัด ต้องอยู่ในขอบเขต ค่ายา ค่ารักษาโรค ปีละมาก ๆ ค่าอาหารก็ปีละมาก ๆ แต่ว่าสุนัขชุดนี้มันมีบุญ มีคนสงเคราะห์ ให้สตางค์ค่าอาหาร ค่ายารักษาโรคอยู่เสมอ จนกระทั่งมีทุนฝาก เอาดอกเบี้ยมาเป็นค่าอาหาร ค่ายารักษาโรค ก็ขอโมทนา ท่านด้วยนะ
คนหลายท่านที่ต่างคนต่างทำบุญมา สมัยที่ท่านยังมีรายได้ดีคนละไม่น้อยนะ อย่างน้อย ๆ คนละ ๓,๐๐๐ -๔,๐๐๐ ถึง ๑๐,๐๐๐-๓๐,๐๐๐ ก็มี บางราย (มีอยู่ ๒ ราย) ๕๐,๐๐๐ ก็เลยฝากเอาเงินดอกเบี้ยมาใช้เป็นค่าอาหาร ค่ายารักษาโรค และยามที่โรคระบาดมันเกิดขึ้นก็ต้องพาสุนัขวิ่งไปหาหมอ นั่งรถไปหาหมอกันเกือบทุกวัน เวลานี้เด็กศึกษาสัตวบาลได้ ก็เบาตัวไป และเอาคำแนะนำเรื่องยาจากหมอ
นี่ก็เป็นอันว่า วันนี้มันก็เหลือเวลาอีก ๑๑ นาที ก็มานั่งคุยกันถึงกรณีพิเศษว่า สุนัขที่พระเลี้ยงหรืออยู่กับพระนี่ มันตายแล้วเป็นเทวดาได้ แต่ความจริงก็มีเจ้าขุนตัวเดียวแหละ ที่เป็นเทวดาแล้วอยู่ไกล เห็นภาพยืนสง่างามมาก ชฎาก็สวยงามมาก แต่ยืนอยู่ไกล แต่ทุกตัวที่ตายไปแล้ว เห็นเมื่อไรเข้าอยู่ใกล้ ๆ เขาจะรายงานว่า เวลานี้ไปอยู่ที่นั่น อยู่ที่นี่ 
ถ้าพูดอย่างนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัทผู้อ่าน และผู้ฟังอาจจะสงสัยว่า ทำไมยกย่องว่า หมาเป็นเทวดา หมาเป็นนางฟ้า แล้วคนล่ะ ก็ต้องขอตอบว่า ก็ตามใจท่านสิ ท่านก็มีความรู้กันอยู่แล้ว ตามที่องค์สมเด็จพระประทีปแก้วสอนว่า ทำบุญแบบไหนไปเกิดเป็นพรหม ทำบุญแบบไหนไปนิพพาน ทำบาปแบบไหนไปเกิดเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน
ที่มา หนังสืออ่านเล่นเล่ม15

by admin admin ไม่มีความเห็น

ตอน 39

สวัสดีครับ…วันนี้ขออธิบายความศัพย์เฉพาะกันสักนิด…เดี๋ยวนี้วัยรุ่นอ่านเยอะเรื่องฌานนี่จบยากเพราะยิ่งอ่านจะยิ่งงงเอางี้วันนี้จะเอาให้หายงง

จริงๆอารมณ์ฌานนี่ก็ไม่มีอะไร มันเป็นของง่ายๆหากเข้าใจนะแต่ไปพูดให้มันยาก ฌานคือการทรงอารมณ์อยู่ การทรงอารมณ์อยู่เรียกว่าการเพ่ง คือการตั้งใจไว้ นั่นคือปฐมฌาน ปฐมฌานเนี้ยมันมี วิตก กับ วิจาร ไอ้วิตกเนี้ยมันก็คือการนึก เรานึกว่าเราจะภาวนา พุทโธ หรือ นะมะพะทะ ส่วนวิจารนี่คือใคร่ครวญ ขณะเราภาวนาเราก็ใคร่ครวญว่าเออนี่เราท่องครบมั้ย พุทโธ ตลอดมั้ย เราว่าพุทโธนี่เราว่าอยู่หรือเปล่า อะไรแบบนี้ เค้าเรียกวิจาร 

พอถึงทุติยฌานคำภาวนาที่เราว่านั้นมันจะหายไป มันหยุดภาวนา คือว่าอยู่คำภาวนามันหายไปเฉยๆ มันหายไปเอง อีแบบนี้เรียกว่าตัดวิตกกับวิจาร จริงๆต้องไม่ใช่เราเลิกภาวนานะ ต้องให้มันเลิกเอง ทีนี้เมื้อมันเลิกเองจิตจะเป็นสมาธิดีขึ้น มีความชุ่มชื่น แต่เมื่อมันหายนี่นะพวกที่นั่งสมาธิใหม่ๆพอคำภาวนาหายก็คิดว่าเออนี่กูลืมภาวนาแล้วหรือ เลยกลับไปท่องคำภาวนาใหม่ อีแบบนี้เสร็จเลยมันกลับไปปฐมฌานอีก เวรกำ เพราะเข้าใจผิดไงมันถึงไม่ไปถึงฌาน3ซักที

ทีนี้พอมาถึงฌานที่3 ไอ้ความชุ่มชื่นใจมันหายไป มีอาการคล้ายๆตัวตึงๆเป่งๆ ความจิตตัวมันเหมือนเดิมนั่นแหละแต่จิตมันตั้งมั่นมาก หูได้ยินเสียงภายนอกน้อยลง ลมหายใจเบาอารมณ์มันทรง สบายๆ ใครจะทำอะไรกระโดดอยู่ข้างๆ เราจะไม่รำคาญ เรานอนอยู่เขากระโดด เราเฉยจริงๆเรารู้นะว่าใครทำอะไรแต่เราเฉยไม่รำคาญ 

พอเข้าฌาน4กายกับจิตมันแยกกันเด็ดขาด ความจริงกายกับใจมันเริ่มแยกกันตั้งแต่ฌาน1แล้ว คือปกติได้ยินเสียงอะไรรบกวนเราจะรำคาญ ทีนี้ฌาน1เราได้ยินเสียงแต่ไม่รำคาญ แสดงว่าจิตมันเริ่มแยกกับกายนิดหน่อย พอฌาน2จิตแยกกับกายมากขึ้นอีกหน่อยแต่จิตยังอยู่ในตัวยังรับรู้เรื่องของประสาท ฌาน3 พอจิตมันทรงตัวมากขึ้นแต่ยังรับรู้ประสาทสัมผัส พอเข้า4จิตมันแยกกับกายเลย ไม่ยอมรับรู้เรื่องของประสาททั้งหมดไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น เสียงระเบิดดังใกล้ๆยังไม่ได้ยิน แต่ต้องเป็นฌาน4ละเอียดนะ เวลาเค้าจะถอดกายในท่านว่านี่แหละต้องออกด้วยฌาน4ละเอียดออกฌานอื่นไม่ได้ พอเข้าใจกันมั้ยลองไปทำกันดูครับ

วันนี้ขอจบแต่เพียงเท่านี้ครับ…ราตรีสวัสดิ์

07-02-2012, 11:00 PM P.185

by admin admin ไม่มีความเห็น

หลวงพ่อเล่าเรื่องท่านปู่โกมารภัจจ์

เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ในตอนนั้นก็มีท่านผู้หนึ่งที่เราได้ยินชื่อกันอยู่เสมอ คือ ท่านหมอโกมารภัจจ์ ซึ่งเป็นหมอสำคัญขององค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์ คอยรักษาโรค และก็เป็นหมอที่มีความรู้เป็นพิเศษจริง การไปศึกษาของท่านนั้นปรากฏว่า ไปศึกษาวิชาเวชศาสตร์ มีความฉลาดสามารถมากยิ่งกว่าลูกศิษย์ใดๆ จากสำนักตักศิลา

ท่านโกมารภัจจ์ ประวัติก็มีอยู่ว่า เป็นลูกพิเศษของพระเจ้ากรุงราชคฤห์ คำว่า “เป็นลูกพิเศษ” นี่ก็หมายความว่า อาจจะเป็นลูกจากเมียพิเศษที่เจ้าย่องไปเจ้าชู้นอกเขตพระราชฐาน ผู้หญิงคนนั้นก็เลยมีลูกขึ้นมา 2 คน คนแรกชื่อว่า โกมารภัจจ์เป็นลูกคนหัวปี คนที่สองมีนามว่า สิริมา เป็นคนสวยที่สุดในสมัยนั้น

เมื่อเกิดขึ้นมาแล้ว เจ้าก็ไม่ได้รับว่าเป็นลูกโดยตรง แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธในด้านจิตใจ คือ คอยสงเคราะห์ตลอดเวลา แต่เป็นการสงเคราะห์แบบลับๆ ฉะนั้น ชื่อของท่านโกมารภัจจ์ก็ดี สิริมาก็ดี ไม่ได้ชื่อเป็นเจ้า แต่ว่าเขาให้ฐานะดีมากและก็เป็นคนใกล้กับพระราชฐานอยู่ตลอดเวลา เพราะเจ้ารู้ว่าเป็นลูก แต่ยอมรับไม่ได้ ประกาศเปิดเผยไม่ได้ แต่ก็เลี้ยงอย่างลูกสงเคราะห์อย่างลูกเหมือนกัน

เมื่ออายุได้ 16 ปี ก็ส่งไปสู่เมืองตักศิลา ท่านตั้งหน้าตั้งใจศึกษาวิชาเวชศาสตร์อย่างเดียว เมื่อเวลาเรียนจบก็ลาอาจารย์กลับบ้าน อาจารย์อยากจะทดลองความสามารถ จึงได้บอกให้ท่านโกมารภัจจ์จัดกระจาดเข้าสองลูกทำเป็นหาบใส่สาแหรกหาบไป และมีมีด 1 เล่ม มีเสียม 1 เล่ม มีค้อน 1 อัน บอกว่า 

“เจ้าจงเดินไปได้สี่ทิศๆ ละ 1 โยชน์ ดูผักหญ้า ต้นไม้ พืชพันธุ์ธัญญาหาร ดิน ทราย แม้แต่แร่ต่างๆ ดูว่าถ้าสิ่งไหนมันไม่เป็นยาละก็ตัดมาให้ครูดูหรือขุดมาให้ครูดู”

ท่านโกมารภัจจ์ใช้เวลาแบบนี้ประมาณเดือนเศษ พอเดินไปหนึ่งโยชน์ กว่าจะถึงหนึ่งโยชน์ก็ต้องเดินดูไปตลอดทุกอย่างตามทิศทางที่อาจารย์บอก เมื่อไปครบได้ทุกทิศทุกทางด้านละหนึ่งโยชน์ ก็ปรากฏว่ากลับมาหาบเปล่า หาอะไรที่เป็นยาไม่ได้เลย พอมาถึงก็รายงานอาจารย์บอกว่า

“ไม่มีละ สิ่งที่ไม่เป็นยานะ เป็นดิน เป็นทราย เป็นหิน เป็นกรวด เป็นต้นไม้ เป็นต้นหญ้า ไม่ว่าอะไรทั้งหมด มันเป็นยาทั้งหมด”

ปรากฏว่าท่านอาจารย์ก็ชมเชยบอกว่า “ดีแล้ว ถ้าอย่างนั้นกลับบ้านได้ ถ้ายังหาว่าทุกสิ่งทุกอย่างหรืออย่างใดอย่างหนึ่งในโลกนี้ไม่เป็นยาละก็กลับบ้านไม่ได้ ถือว่ายังเรียนไม่จบ” แล้วท่านก็ลากลับ

ตอนกลับก็เดินมาในระหว่างทางไม่ทันถึงกรุงราชคฤห์มหานคร เวลาตอนเย็นวันหนึ่งมันใกล้ค่ำ ท่านพักอยู่โคนต้นไม้ใกล้บ้านเศรษฐี พอดีท่านมหาเศรษฐีเดินออกไปพบเข้าถามว่า “ไปไหนมา”

ท่านก็บอกว่า “ไปเรียนวิชาเวชศาสตร์ คือ วิชาหมอที่เมืองตักศิลา”

ก็บังเอิญภรรยาของท่านเศรษฐีเป็นโรคปวดศรีษะมา 3 ปี ทำงานไม่ได้ ใช้สมองไม่ได้ ท่านมหาเศรษฐีถามว่า “จะรักษาหายไหม เห็นว่าเป็นหมอ”

ท่านก็บอกว่า “ต้องดูอาการก่อน” พอเข้าไปดูอาการก็บอกว่า “จะทดลองดูเพราะว่า เพิ่งเรียนหมอมาใหม่ๆ ยังไม่มั่นใจว่าจะรักษาหายหรือไม่หาย แต่ว่ายาไม่ได้มีติดมือมาเลย”

ท่านมหาเศรษฐีก็ถามว่า “ต้องการอะไรบ้าง” ท่านถามว่า “มีเนยใสไหม” ท่านมหาเศรษฐีก็บอกว่ามี และก็ถามท่านมหาเศรษฐีว่า “ไอ้หญ้าประเภทนี้มีไหม”

อาตมาก็ลืมชื่อหญ้าเสียแล้ว ท่านก็บอกว่ามี (ถ้าบอกชื่อก็หาไม่ได้ เพราะไม่รู้จักกัน) ให้เอาของทั้งสองอย่างคือ เอาหญ้ามาโขลกเข้าแล้วเอาเนยใสเข้าไปละลายแล้วคั้นเอาน้ำออกมากรองให้ดีแล้วก็หยอดเข้าไปในจมูกของภรรยาท่านมหาเศรษฐี พอหยอดเข้าไปเท่านั้นก็ปรากฏว่า ภรรยาของท่านมหาเศรษฐีมีทั้งน้ำมูกมีทั้งเสลดออกมาทั้งทางจมูกทางปากออกมาอย่างมาก ในที่สุดในขณะเดียวกันก็ปรากฏว่าหายปวดทันที

ท่านมหาเศรษฐีก็จัดรางวัลเป็นการใหญ่ ท่านโกมารภัจจ์ท่านก็รับ เวลาจะกลับท่านก็มอบคืน ท่านไม่บอกว่าคืน“มอบของทั้งหลายเหล่านี้ไว้เพื่อได้สงเคราะห์คนจนต่อไป”

นี่เป็นประวัติตอนต้น แล้วท่านก็เดินทางต่อไป

ต่อมาท่านโกมารภัจจ์ก็ได้เป็นหมอประจำพระองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจะทรงประชวรด้วยเรื่องอะไรก็ตาม ท่านโกมารภัจจ์ประกอบยาแค่เม็ดเดียว เสวยครั้งเดียวหายทันที

นี่จะเห็นว่า แม้องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาเป็นพระอรหันต์และเป็นยอดอรหันต์ เป็นจอมอรหันต์ ก็ยังป่วยไข้ไม่สบาย ก็ยังแก่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นท่านทั้งหลายก็อย่าคิดว่าพระอรหันต์ไม่ป่วย

ต่อมาในกาลครั้งหนึ่ง เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถูกพระเทวทัตกลิ้งหินลงมามีความปรารถนาจะให้ทับสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าให้ตาย จากยอดเขาคิชฌกูฎ (พระพุทธเจ้านั่งอยู่เชิงเขา เทวทัตขึ้นไปยอดเขาก็กลิ้งหินให้ทับ) แต่เป็นการบังเอิญที่มีหินก้อนใหญ่มหึมาก้อนหนึ่งปรากฏโผล่ขึ้นมากันหินที่พระเทวทัตกลิ้งมาแตกกระจัดกระจาย เศษหินถูกพระบาทของสมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาที่นิ้วพระบาทห้อพระโลหิต

เมื่อองค์พระธรรมสามิสรมีอาการอย่างนั้น ท่านโกมารภัจจ์ก็ประกอบยาถวายปิดลงไปที่ห้อพระโลหิตแล้วเอาผ้าผูกไว้ พอเสร็จแล้วก็ลาสมเด็จพระจอมไตรไปภายนอกกำแพงวัง คุยกับเพื่อนเพลินไป โอกาสนั้นประตูเมืองเขาปิด 6 โมงเย็น ท่านเลยเข้าประตูเมืองไม่ได้ก็ร้อนใจคิดว่า โอหนอ ยาที่ถวายองค์สมเด็จพระจอมไตรเป็นยาแรง เวลานี้แผลก็คงหายแล้ว อีกประการหนึ่งเมื่อแผลหายยาที่ยังอยู่ที่นิ้วพระบาทขององค์สมเด็จพระจอมไตรจะทำให้พระองค์ทรงมีความลำบาก เพราะยามีความร้อน

ตอนนั้นเองเวลาเดียวกัน สมเด็จพระชินวรทรงทราบวาระจิตของท่านโกมารภัจจ์ว่ามีความลำบากใจ คิดว่ายาจะเป็นโทษแก่เรา จึงได้เรียกพระอานนท์เข้ามาตรัสว่า “อานันทะ ดูก่อนอานนท์ เธอจงแก้ผ้ามัดนิ้วฉันออกไปแล้วจงเอายาออก”

เมื่อแก้ผ้าออกแล้ว พระอานนท์ก็เอาน้ำที่สะอาดมาล้างให้

ตอนวันรุ่งขึ้น ท่านโกมารภัจจ์เข้าเมืองได้ก็รีบมาเฝ้าสมเด็จพระจอมไตรถามว่า “ยามีอันตรายแก่พระองค์ไหม”

พระพุทธเจ้าก็เลยบอกว่า “ไม่มี เวลานี้ฉันให้พระอานนท์แก้ออกมาแล้ว”

ท่านถามว่า “แก้เวลาไหน”

พระพุทธเจ้าก็ตอบว่า “แก้เวลาเมื่อเธอลำบากใจคิดว่ายาจะมีอันตรายกับฉัน”

นี่เป็นตอนหนึ่ง ต่อมาเมื่อองค์สมเด็จภควันต์บรมศาสดาป่วยเป็นอะไร ท่านโกมารภัจจ์ก็รักษาหายทันทีทันใด

คัดมาจาก หนังสือ “พ่อสอนลูก” คำสอนของพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดจันทาราม (ท่าซุง) อุทัยธานี

Top