ประโยชน์ของการนึกถึงความตาย
ประโยชน์ของการนึกถึงความตาย ทำให้เป็นคนไม่ประมาท เพราะรู้ตัวว่าจะตายได้ แสวงหาความดีใส่ตัว โดยรู้ตัวว่า
ชาตินี้จน เพราะชาติก่อนให้ทานไว้น้อย ถ้าชาติหน้าไม่อยากจนอีก ก็พยายามให้ทานเสมอๆ ตามกำลังทรัพย์ที่พอจะให้ได้ และอย่าให้จนหมดตัว จะเกินพอดี ต้องให้พอเหมาะพอดี ไม่เดือดร้อนภายหลังนั่นแหละจึงจะควร
รู้ตัวว่ามีโรคมาก ป่วยไข้ไม่สบายเสมอๆ
ของหายบ่อยๆ
รูปร่างสวยน้อยไป
คนในบังคับบัญชาดื้อด้าน
อารมณ์ความจำเสื่อม
ถ้าต้องการให้สิ่งบกพร่องเหล่านี้ สมบูรณ์ในชาติหน้า จะได้พยายามรักษาศีล 5 ให้บริสุทธิ์ครบถ้วน แล้วก็จะได้รับอานิสงส์ มีอายุยืน มีรูปสวย ไม่มีโรคภัยรบกวน ไม่มีภัยจากโจรรบกวนสมบัติ คนในบังคับบัญชาอยู่ในโอวาทเป็นอันดี ไม่มีใครดื้อด้าน มีวาจาศักดิ์สิทธิ์ พูดอะไรเป็นจริง มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ และก็ตั้งใจรักษาศีลให้บริสุทธิ์
ถ้าเห็นว่ามีปัญญาน้อย ไม่ใคร่ทันเพื่อน ก็พยายามเจริญสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน พอมีฌาน มีฌานเล็กน้อย ในชาติต่อไปก็จะเป็นคนมีปัญญาเลิศ
เห็นทุกข์
ถ้าเห็นว่าความเกิดเป็นโทษ เป็นทุกข์ เพราะการเกิดไม่ว่าจะเกิดเป็นอะไร มีตระกูลสูงส่งประการใดก็ตาม ต้องประสบกับความทุกข์อย่างมหันต์ และหลีกเลี่ยงไม่ได้
ถ้าไม่ต้องการพบความเกิดอีก ก็เร่งรัดเจริญสมถะให้ได้ฌานต้น แล้วเจริญวิปัสสนาญาณให้จบกิจพระศาสนา ซึ่งเป็นของไม่หนักเลย สำหรับท่านที่นึกถึงความตายเป็นปกติ หรือที่เรียกว่า เจริญมรณานุสสติกรรมฐาน คือ นึกถึงความตายเป็นอารมณ์
วันหนึ่ง พระองค์ ตรัสถามพระอานนท์ว่า
“อานันทะ ดูก่อนอานนท์ เธอนึกถึง ความตายวันละกี่ครั้ง?”
พระอานนท์ กราบทูลตอบว่า
“ข้าพระพุทธเจ้านึกถึงความตายวันละ 7 ครั้ง พระเจ้าข้า”
พระองค์ตรัสว่า
“ยังห่างมาก อานนท์ ตถาคตนึกถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออก”
เตรียมพร้อม
การนึกถึงความตายเป็นปกติ เป็นของดี แม้แต่พระพุทธเจ้ายังเฝ้าคิดถึงความตาย เพราะผู้ที่คิดถึงความตาย รู้ตัวว่าจะตายแล้ว ย่อมไม่สั่งสมความชั่ว คอยปลีกตัวออกจากความชั่ว และมีอารมณ์ไม่หวั่นไหวในเมื่อความตายมาถึงแล้ว เพราะคิดรู้อยู่เสมอแล้วว่าเราต้องตายแน่
ความตายนี้ หานิมิตเครื่องหมายไม่ได้
กำหนดการเกิด หมอบอกได้
แต่กำหนดเวลาตาย ไม่มีใครกำหนดได้แน่นอน สำหรับปุถุชนคนธรรมดา
สำหรับพระอริยเจ้า หรือท่านที่ชำนาญใน อานาปานุสสติกรรมฐานท่านสามารถบอกเวลาตายที่แน่นอนของท่านได้ วิชชาสาม เป็นอย่างน้อย ถ้ามีความรู้พิเศษต่ำกว่านั้น ท่านก็กำหนดเวลาตายไม่ได้เหมือนกัน
ท่านเปรียบเทียบชีวิตไว้คล้ายกับคนขีดเส้นบนผิวน้ำ ขีดพอปรากฏว่ามีเส้น แล้วในทันที เส้นที่ขีดนั้นก็พลันสูญไป
ชีวิตของสัตว์ที่เกิดมาก็เช่นเดียวกัน ความตายรออยู่แค่ปลายจมูก ถ้าสิ้นลมปราณเมื่อไร ก็สิ้นสภาวะเมื่อนั้น เอาความยั่งยืนไม่ได้เลย
วิธีหนีทุกข์
ท่านเจริญ มรณานุสสติกรรมฐาน เมื่อท่านคิดถึงความตายเป็นปกติ จนเห็นความตายเป็นปกติธรรมดา เตรียมพร้อมเพื่อรับสถานการณ์คือ ให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา พอสมควรแก่ความต้องการแล้ว
ถ้าคิดให้ไกลไปอีกสักนิดว่า
ความตายเป็นของมีแน่ เราไม่หนักใจแล้ว ความเกิดต่อไปก็มีแน่ จะเกิดเป็นอะไรก็ตาม เต็มไปด้วยความทุกข์ หนีทุกข์ไม่พ้น เราไม่ต้องการความเกิด อันเป็นเหยื่อของวัฏฏะอีก
แม้แต่ร่างกายอันเป็นที่หวงแหน ยิ่งจะต้องพังสลายไป เรายังไม่มีเยื่อใย และก็สมบัติอะไรในโลก ที่เราต้องการ
สิ่งที่พอใจที่สุดก็คือ พระนิพพาน ทำใจให้ว่างจากความเกิด ความเกาะในชาติภพ ปรารภพระนิพพานเป็นปกติ
อย่างนี้ ท่านมีหวังสิ้นชาติสิ้นภพ ประสบผลอย่างยอด คือถึงพระนิพพานในชาติปัจจุบันแน่นอน สวัสดี*
คัดลอกจากหนังสือ ธัมมวิโมกข์ ปีที่ 34 ฉบับที่ 383 กุมภาพันธ์ 2556
หน้า 25-27
#แอดมิน