สุขจากศีล
พระพุทธเจ้าบอกว่า พวกเรารักษาศีลดีมีความสุข ถ้าไม่รักษาศีลมันมีความทุกข์ คุณก็ลองคิดดูว่าศีล 5 นี่ ท่านบอก
1.อย่าทำร้ายซึ่งกันและกัน อย่าคิดประหัตประหารเขา ถ้าเดินๆตรงหน้าเข้าไป เราชกหน้าเพื่อนเข้าเปรี้ยง เขาทำอย่างไร เขายกมือไหว้หรอ เขาก็ล่อเราปังเข้าให้ เราก็หงายท้องไป ใช่ไหม นี่การประหัตประหารซึ่งกันและกัน ผลมันเป็นความทุกข์ นอกจากว่าเราจะต้องถูกประหารตอบ เราก็มีศัตรู แล้วคนที่เราทำร้ายเขา เขาไม่ใช่คนเดียว เขามีพ่อแม่พี่น้อง มีพวกพ้อง มีญาติ แล้วในกลุ่มคนทั้งหมดนั่นแหละ ที่เขาเป็นพวกกัน เขาก็เกลียดเรา ใช่ไหม เมื่อคนเกลียดเรามาก เราไปไหนก็มีความทุกข์มาก ต้องระวังระไวมาก หลับก็ไม่เป็นสุข ตื่นก็ไม่เป็นสุข เพราะเกรงว่าเขาจะมาทำร้ายเรา
เป็นอันว่าศีลข้อที่หนึ่ง เราก็เห็นได้ว่า พระพุทธเจ้าทรงให้มีความเมตตา มีความรักซึ่งกันและกัน อย่าคิดประหัตประหารซึ่งกันและกัน ถ้าคนทั้งหมดรักกัน มันจะมีอันตรายไหม มีไหม ทำไมมี คนรักกันทั้งหมดมีอันตราย หมากัด นี่เราต้องเป็นเพื่อนกับหมาอีก เป็นได้ไหม เออ…ถ้าเราลองไม่เป็นเพื่อนกับหมา ซวยทุกคนนะ เป็นเพื่อนกับหมา ทำอย่างไร หาขนมให้มันกิน ใช่ไหม แต่คนที่เอาขนมให้สุนัขกิน เขาแปลว่าคนที่มีจิตเมตตา กรุณา สองประการ ถ้าเรามีเมตตากรุณาอยู่สองอย่างคุมใจ อันตรายที่จะพึงบังเกิดก็ยาก ถ้าใครเขาคิดจะกลั่นแกล้ง ไอ้ผลร้ายน่ะจะตกกับเขาเอง
นี่ข้อที่สอง พระพุทธเจ้าบอกว่า อย่าลักขโมยทรัพย์สินซึ่งกันและกัน อย่าคดโกงกัน ไอ้การคดโกงซึ่งกันและกันนี่ ก็เป็นปจััยอันหนึ่งให้เกิดศัตรู ใช่ไหม ถ้าเราไม่ลัก ไม่ขโมยเขา นอกจากการลักขโมย พระพุทธเจ้าบอกให้บริจาคทาน การสงเคราะห์แทน แทนที่จะขโมยเราเป็นผู้ให้ แล้วก็ให้ตามฐานะ การลักขโมย การคดโกงทรัพย์สินของบุุคลอื่น มันสร้างศัตรู แต่การให้นี่เป็นการสร้างความรัก ถูกไหม ถูกหรอ เดี๋ยวคืนสตางค์ให้ฉันพันบาท ถ้าคุณให้ฉันพันบาท ฉันรักคุณหนึ่งพัน ใช่ไหม (หัวเราะ) ให้สิบบาท รักสิบบาท
แล้วก็ข้อที่สาม คนรักเรารักอยู่ เราก็ไม่อยากให้ใครมายื้อแย่ง นี่ถ้าเราไปแย่งความรักคนอื่น ก็เป็นปัจจัยให้เกิดศัตรู ใช่ไหม ตอนนี้พระพุทธเจ้าให้ทรงสันโดษ ให้ยินดีเฉพาะคู่ครองที่เรามีอยู่ อย่างนี้เราไปที่ไหนก็เป็นที่รักของทุกคน
ข้อที่สี่ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงกล่าวว่า จงอย่าพูดโกหกกับชาวบ้านเขา อย่าพูดคำหยาบ อย่าส่อเสียดยุยงส่งเสริมให้เขาแตกร้าวกัน อย่าใช้วาจาสำรากเป็นเครื่องสะเทือนใจ วาจาทั้งหมดนี้มันเป็นวาจาที่ไม่ดี เราเองก็ไม่ชอบ ใช่ไหม ในเมืื่อเราไม่ชอบ คนอื่นเขาก็ไม่ชอบ ถ้าเว้นเสียได้ ใช้แต่วาจาสัตย์ เป็นความจริง ใช้แต่วาจาที่อ่อนหวาน แทนที่เราจะยุให้เขาแตกกัน เราก็สร้างความสามัคคีให้เขาเกิดความรักกัน วาจาใดที่กล่าวไปให้เป็นประโยชน์ อย่างนี้เราก็เป็นที่รักของทุกคน ถูกไหมนี่ ถูกหรอ ถูกแล้วอย่าไปโกหกชาวบ้านเขานะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อย่าโกหกเมีย ไอ้พวกผู้ชายนี่ เห็นเป็นหนุ่มโสดเมียเผลอยู่เสมอ ฮึ! เมียเผลอเมื่อไหร่ โสดทุกที จริงไหม ไอ้อ้วน ถูกไหม นี่อย่างนี้พอกลับมาบ้าน เมียด่าก็หาว่าเมียไม่ดี ใช่ไหม จำไว้นะ เคยโกหกเมียไว้เปล่า พูดไม่ออกสิ(หัวเราะ) อาตมาตั้งแต่เกิดมา ไม่เคยโกหกเมียเลย เพราะไม่มีกับเขา (หัวเราะ) อีนี้ฉันเบ่งได้ เป็นอันว่าเมียฉันไม่เคยด่าฉันสักที เพราะฉันไม่มีนะ ถ้ามีน่ากลัวถูกด่ามากเหมือนกันนะ อาจจะถูกด่ามากกว่าคุณ (หัวเราะ) อาตมารู้ตัวเลยเลี่ยงไป
นี่การดื่มสุราเมรัย มันเป็นปัจจัยความทุกข์ บางคนกลุ้มก็ไปกินเหล้าแก้กลุ้ม พอหายเมาแล้วเลยเพิ่มกลุ้ม ก็หมดสตางค์ไปอีก ดีไม่ดีพอกินเหล้าหายกลุ้ม เดินเข้าตารางไปเลย แก้กลุ้ม ใช่ไหม ไอ้เรือนจำนี่เขาตั้งไว้เลี่ยงถนนไกล ประตูก็ปิดมิดชิดดี ไอ้เราคนดีๆจะเข้า เขาบอกยังไม่ถึงเวลาครับ ใช่ไหม จะมาเยี่ยมใคร ต้องวันนั้นวันนี้ ต้องเวลาเท่านั้นเท่านี้ แต่ความจริงคนเมานี่ เขาสบาย มีอำนาจ พอเดินเข้าประตูไปเปิดอ้ากว้างต้อนรับอย่่างดี พอเข้าไปแล้วท่านผู้คุมพัศดีท่านรักมาก เกรงว่าจะหนีไปไหน ความรักท่านมีนะ เวลาจะนอนท่านก็ร้อยขาเป็นพรวน (หัวเราะ) ห้ามลุกนะ เคยเห็นไหม อ้าว! ไม่เคย ลองเข้าไปทีนะ ขอสมัครอยู่สัก 3 เดือนก็พอ เวลาจะนอนทรมานจริงๆ เวลานี้การตีตรวนน้อย สมัยของอาตมาเด็กๆ เขาตีตรวนมาก เดินเข้าไปข้างเรือนจำ เสียงโฉ่งเฉ่งคล้ายๆกับเสียงดนตรี แต่ว่าเวลานอนดีจริงๆ นอนแล้วขาก็วางข้างๆ มันเป็นราว เป็นหู โซ่ก็คล้องขา เอาเชือก ไอ้เหล็กยาวๆร้อย แหม…สบาย (หัวเราะ) นอนอย่างมีระเบียบนี่มันเป็นอย่างนี้
ในเมื่อพระพุทธเจ้าท่านบอกว่า การละเมิดศีล 5 เป็นของไม่ดี เราก็ช่วยกันคิด ใช่ปัญญาคิด ว่าที่ไม่ดีน่ะ จริงไหม ถ้าเราเห็นว่าจริง ก็อย่าละเมิดศีล 5 นี่การที่เราไม่ละเมิดศีล 5 ตั้งใจไว้ว่าจะไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต จะไม่ข่มเหงทำร้ายซึ่งกันและกัน เราจะไม่ลักขโมยใคร เราจะไม่ยื้อแย่งความรัก ไม่ละเมิดความรักของบุคคลอื่น จะไม่ใช้วาจาไม่จริง วาจาหยาบ วาจาส่อเสียด วาจาเพ้อเจ้อ จะไม่ดื่มสุราเมรัย ขณะใดที่จิตคุมตัวอยู่อย่างนี้ คิดอยู่แบบนี้ เขาเรียกว่า สีลานุสสติกรรมฐาน การเจริญสีลานุสสติกรรมฐานนะ ไม่ใช่ไปนั่งภาวนา คือตั้งใจควบคุมศีล จนกระทั่งอารมณ์จิตเป็นปกติ พอเป็นปกติก็มีอารมณ์ชิน เราไม่ละเมิดในศีล ก็เชื่อว่าเป็นผู้มีฌานในศีล มีฌานในสีลานุสสติกรรมฐาน
สำหรับความเคารพในพระพุทธเจ้า ความเคารพในพระธรรม ความเคารพในพระอริยสงฆ์ก็เหมือนกัน ที่เราภาวนาว่าพุทโธ ก็เพื่อเป็นการยับยั้งกำลังใจ ให้ฝึกให้มันทรงตัว แต่ถ้าหากว่าอารมณ์ของเราคุมอยู่เป็นปกติ ขึ้นชื่อว่าพระรัตนตรัย เราไม่ปรามาส แต่จะถามว่า เห็นพระไปกินเหล้า จะว่าอย่างไร ถ้าหากว่าเขาไปกินเหล้า ก็แสดงว่าเขาไม่ใช่พระ ใช่ไหม พระแปลว่าผู้ประเสริฐ ย่อมไม่ทำความชั่ว ถ้าทำความชั่วก็ถือว่า เขาเป็นโจรปล้นพระพุทธศาสนา อันนี้ไม่ควรสนับสนุน แล้วก็ไม่ควรยกมือไหว้ ถ้าไปสนับสนุน ก็เชื่อว่า ช่วยสนับสนุนให้เขาทำร้ายพระพุทธศาสนา ใช่ไหม อย่างนี้พระพุทธเจ้าไม่ติ คนประเภทนี้พระพุทธเจ้าไม่ถือว่าปรามาสพระรัตนตรัย
คัดลอกจากหนังสือ คำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุง 45 โดย…หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (พระมหาวีระ ถาวโร)
หน้า 87-89
#แอดมิน