Author: admin

by admin admin ไม่มีความเห็น

ทำสมาธิไม่ได้ดี โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ

ผู้ถาม หลวงพ่อขอรับ ผมทำสมาธิทุกวัน ๆ ละ หนึ่ง ชั่วโมง มาเป็นเวลา ๒๐ ปีแล้วครับ มันไม่ไปเหนือไปไม่ไปใต้เลย 

ไม่ทราบว่าติดขัดอะไร หรือมีกรรมเวรประเภทไหมมาปิดบัง ขอบารมีหลวงพ่อ ช่วยแก้ไขหน่อยเถิดขอรับ? 

หลวงพ่อ สมาธินี่ถ้าทำเฉย ๆ ก็ไม่ไปไหนนะ มันก็อยู่แค่ ฌาน ถึงฌานหรือเปล่าก็ไม่รู้ น่ากลัวจะไม่ถึงฌาน น่ากลัว ตะเกียกตะกายอยู่ข้างฌาน 

มันขึ้นฌานไม่ไหว ไต่บันไดแกร๊ก ๆ แต่ความจริงถ้าเรื่องสมาธิจริง ๆ นะ ถ้าหากว่าได้จริง ๆ ก็อยู่แค่ฌาน ๔ ฌาน ๔ แล้วก็ไม่ไปไหนละ ก็ทรงตัวบ้าง

เดินหน้าบ้าง ถอยหลังบ้าง ไปข้างหน้า ๑ ก้าว ถอยหลัง ๕ ก้าว ทีนี้ผลการปฏิบัติจริง ๆ เขาไม่ได้มุ่งสมาธิ ต้องหวังตัด สังโยชน์ ถ้าจะบอกว่า 

วิปัสสนาญาณก็จะมากเกินไป ความจริงถ้ามุ่งตัดสังโยชน์ ก็ต้องดูอารมณ์ใจตัวตัด ไม่ใช่ดูสมาธิ 

อันดับแรก ความโลภ อยากได้ทรัพย์สินของบุคคลอื่นมีในเราหรือเปล่า เบาลงไปไหม ประการที่ ๒ ความโกรธ เบาไหม ประการที่ ๓ ความหลง เบาลงไหม สิ่งที่มีความสำคัญคือ 

1. ลืมความตายหรือเปล่า 
2. เคารพพระไตรสรณคมน์จริงจังไหม 
3. มีศีล ๕ บริสุทธิ์ไหม 
4. หวังพระนิพพานจริงจังหรือเปล่า…? 

เขาดูตรงนี้นะ มุ่งเอาสมาธิกลุ้มใจตาย มันไม่มีการทรงตัว เวลาใดร่างกายดีไม่มีอารมณ์กลุ้ม สมาธิก็ทรงตัวใช่ไหม… ร่างกายอ่อนเพลียหน่อย สมาธิก็ทรุดตัว เอาแต่สมาธิไปไม่รอด 

ผู้ถาม เมื่อภาวนาไปไม่ได้ อย่างนี้จะมีโอกาสบรรลุธรรมเบื้องสูงหรือเปล่าครับ? 

หลวงพ่อ ทะลุธรรมแน่ จุดหมายปลายทางเขาคือสังโยชน์

ผู้ถาม ทีนี้ถ้าหากว่าไม่ได้อะไรเลย แต่ถ้าตั้งใจว่าตายเมื่อไหร่ไปนิพพานเมื่อนั้น พอจะไปได้ไหมครับ… หลวงพ่อ? 

หลวงพ่อ พอเห็นทาง…แต่ไม่เข้าทาง 

ผู้ถาม ๒๐ ปีแล้วนะครับ

หลวงพ่อ ๑๐๐ ปีก็ไม่ได้ ถ้าเข้าทางจริงต้องคิดว่า ๑.ชีวิตนี้จะต้องตาย ตัวสักกายทิฏฐินะ ๒.วิจิกิจฉา ไม่สงสัยในคุณของพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์ ๓.มีศีล ๕ บริสุทธิ์ และก็ ๔.มีจิตมุ่งเฉพาะพระนิพพาน อันนี้ถึงจะได้ อันนี้ถึงจะเข้าทางหรือเข้าเขตเลย 

ที่มา:http://www.larnbuddhism.com/grammathan/toppanha2.html

by admin admin ไม่มีความเห็น

ชีวิตมีแต่อุปสรรค…โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ

หลวงพ่อคะ ลูกได้ทำบุญทำทานทำกุศลไว้มาก แต่ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดชีวิตมีแต่อุปสรรค มีแต่ปัญหาถูกคนนินทาบ้าง ถูกคนว่าร้ายบ้าง แสดงว่าบุญกุศลที่ทำในชาตินี้ไม่ให้ผลดีใช่ไหมเจ้าคะ…? 



นั้นแหละให้ผลดีมาก เป็นมหากุศล ก็ทำถูกแล้วนี่ เราเกิดมาเป็นคน เกิดมาเพื่อพบกับคำนินทาที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า

นัตถิ โลเก อนินทิโต
คนไม่ถูกนินทาไม่มีในโลก
คนที่มีบุญใหญ่ ถูกนินทาใหญ่ คนที่มีบุญเล็ก ถูกนินทาเล็ก อย่างพระพุทธเจ้าเขาไม่นินทาน่ะ เขาด่าต่อหน้าเลยนะ โดนว่าหนักกว่าเรามาก นั้นแหละคนมีบุญใหญ่ ถูกนินทาใหญ่ ด่าแหลก เห็นไหมล่ะ

เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับบุญกุศลชาตินี้ชาติหน้าหรอก มันเป็นกฎธรรมดา เราเกิดมาเพื่อถูกนินทาแน่ ก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดานะ อีกประการหนึ่งขอให้คิดว่าคนที่นินทาคนก็ดี คนด่าก็ดี เป็นลักษณะของคนบ้า เราก็ไม่ถือคนบ้าไม่ว่าคนเมาก็หมดเรื่อง ให้เขาว่าเพียงฝ่ายเดียว

อย่างที่พระพุทธเจ้าทรงตอบพราหมณ์ พระพุทธเจ้าท่านกำลังเทศน์อยู่ พราหมณ์โมโหที่ลูกศิษย์ของแกสรรเสริญพระพุทธเจ้า แกรู้ก็ไปชี้หน้าด่าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก้เลยปล่อยให้แก่เทศน์แทน ตามบาลีท่านบอกว่า ด่าแบบทาสกรรมกรด่ากัน ด่าไปด่ามาแกเหนื่อยแกก็หยุดแล้วชี้หน้า

พระสมณโคดม แกแพ้ข้าแล้ว
พระพุทธเจ้าถามว่า
ตถาคตแพ้เธอตรงไหนเล่า….? ท่านพูดแบบเรียบๆ นะพราหมณ์ตอบว่า
ข้าด่าแก แกไม่ด่าตอบนี่หว่า
พระพุทธเจ้าก็ตอบว่า

พราหมณ์ ตถาคตมีความรู้สึกว่าถ้าใครโกรธตถาคตมา ตถาคตโกรธตอบ ตถาคตเลวกว่าคนนั้นนะ
โดนน๊อคเลย อีตานั้นนั่งทรุดเลย ยกมือไหว้ กล่าวว่า วาจาของท่านเหมือนสุภาษิต เหมือนกับหงายของที่คว่ำมารับน้ำค้าง ท่านก็เลยขอบวช บวชแล้วก็ได้เป็นพระอรหันต์ 
แบบนี้ถึง 4 คนด้วยกัน ไม่ทราบว่าทำบุญอะไร ด่าพระพุทธเจ้าเป็นพระอรหัตน์ อย่าไปเอาเข้านะ นี่เพิ่งได้ 4 คน แต่อย่าไปว่าท่านนะท่านเป็นพระอรหัตน์ไปนิพพานหมดแล้ว
ไอ้นี่แหละการนินทาหลบไม่ได้ ต้องถือว่าตามคติของพระพุทธเจ้าตรัสกับพระสงฆ์ ระหว่างพระองค์เดินไปกับพระสงฆ์ เมืองลันทากับกรุงราชคฤห์ต่อกัน
ที่พราหมณ์นำคณะตามไป ท่านลุงนินทาพระพุทธเจ้าหลานสรรเสริญ พระกลับมาฉันข้าวแล้วก้ไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า และเล่าให้ฟัง พระพุทธเจ้าก็บอกว่า

พวกเธอทั้งหลาย จงอย่าสนใจในวาจาทั้งสอง คือ นินทาและสรรเริญว่าดี เราก็ไม่ดีไปตามเขาพูด เราจะดีหรือเลวอยู่ที่การประพฤติและปฏิบัติเท่านั้น
พูดสั้นๆ เท่านี้พระพวกนั้นได้บรรลุมรรคผล นี่ต้องถือตามคตินี้นะ ถ้าไปคิดว่า เกิดมาชาตินี้ถูกนินทาแล้วกลุ้มใจตายตกนรกแน่




จากหนังสือธรรมปฏิบัติ เล่มที่ 17

by admin admin ไม่มีความเห็น

การทรงฌานแบบง่ายๆ

นี่การที่ทรงให้เป็นฌานได้ง่ายๆ เขาทำกันแบบนี้ นี่เขาทำกันแบบนี้ นี่ตามแนวที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน ให้พยายามกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ต้องฝืนใจกันนิดๆ จับลมให้ครบสามฐาน เวลาหายใจเข้าลมกระทบจมูก กระทบหน้าอก กระทบศูนย์เหนือสะดือนิดหน่อย ที่ท้องน่ะ กระทบข้างในไม่ใช่ข้างนอก เวลาหายใจออกลมกระทบท้อง กระทบหน้าอก กระทบจมูกหรือว่าริมฝีปาก ถ้าคนริมฝีปากงุ้ม 
ก็กระทบจมูกไม่ชนริมฝีปาก เพราะริมฝีปากหลบลม ถ้าริมฝีปากเชิดขึ้นมา ลมกระทบริมฝีปาก เวลาหายใจ ปล่อยหายใจตามแบบสบายๆอย่าไปบังคับให้สั้นหรือยาว ให้แรงให้เบา ไม่เอาอย่างนั้น”……

………”คือทั้งนี้ก็ต้องการเป็นการควบคุมสติสัมปชัญญะเท่านั้น ไม่ใช่ไปเร่งรัดอะไรกับลม ความจริงเราเร่งรัดใจให้เป็นตัวรู้ คือรับรู้เข้าไว้ ขณะใดที่ยังรู้ลมหายใจเข้า รู้ลมหายใจออก ขณะนั้นชื่อว่ามีสมาธิ ทีนี้วิธีพูดแบบนี้มันไม่ยาก อีตอนยากมันมีอยู่ตอนหนึ่ง 
แล้วอารมณ์ใจของเรามันมีสภาพกวัดแกว่งเป็นปกติ เพราะมันคบกับนิวรณ์ คืออุธัจจกุกกุจจะมานาน ได้แก่ตัวฟุ้งซ่านรำคาญ นี่เราทำอย่างไรจะปราบนิวรณ์ตัวนี้ได้ ไอ้ตัวฟุ้งซ่านนี่ก็ได้แก่ไอ้ตัววิตกจริต หรือโมหจริตนั่นเอง วิตกแปลว่านึก มันนึกไม่หยุด โมหจริตก็โง่นึกส่งเดชไปไม่มีการฝืนใจ ทำอย่างไรอารมณ์ใจมันคบกับอารมณ์แบบนี้มาเป็นแสนๆกัป มีเป็นอสงไขยกัป แล้วเราจะมานั่งปรับปรุงใจให้มันได้ดีในชั่วระยะเวลาเล็กน้อยมันจะทำได้รึ”…….

บารมีอ่อนก็ทำให้เต็มได้
……..”พอเริ่มปั๊บ จับปั๊บให้จิตเป็นฌาน ที่ถ้าหากว่าบุญบารมีของท่านเคยได้มาในชาติก่อน มันก็เป็นของไม่ยาก นี่ถ้าหากว่าเราเป็น อาทิกัมมิกบุคคล คนผู้เริ่มต้น ความจริงบารมีนี่เราสร้างใหม่กันได้ ถ้าอ่อน มันเบาไปแล้วก็ เราก็มาสร้างใหม่ให้เข้มแข็ง มันทำได้ไม่ใช่ไม่ได้ ทำได้แล้วทำอย่างไรมันถึงจะอยู่ สมเด็จพระบรมครูท่านแนะนำไว้อย่างนี้ นี่มีหนังสือให้อ่านแล้วนะ แล้วก็มาพูดให้ฟังอีก ถ้าได้อ่านหนังสือแล้ว 
พูดให้ฟังแล้ว มาถามอีกแล้วก็ไม่บอกกันนะ รำคาญเต็มที มีหลายท่านมาถาม ถามว่าหนังสือมีอ่านไหม บอกว่ามี อ่านแล้วหรือยัง อ่านแล้ว แล้วมาถามอีก แบบนี้ไม่อยากเสียเวลาพูดด้วย กวนเวลานอน นอนพิจารณาขันธ์ ๕ เล่นโก้ๆดีกว่า คนไม่เอาถ่านไม่เอาไหนนี่ ป่วยการไม่อยากคบ”………

……..”เพราะอะไร คบไปก็เหนื่อยไม่ได้อะไรด้วยนี่ ขืนคุยด้วยก็เหนื่อย เสียเวลาพิจารณาขันธ์ ๕ สู้นอนสบายๆอยู่คนเดียวพิจารณาขันธ์ ๕ เล่นโก้ๆสบายๆใจ ปลอดโปร่งไม่แวะซ้ายไม่แวะขวา อารมณ์เป็นอัพยากฤต มีความสุขบอกไม่ถูก อัพยากฤตเขาแปลว่าอะไร เขาแปลว่าไม่เอาไหน 
ไม่เอาไหนทั้งหมดนะ ไปจุดเดียวคือพระนิพพาน อารมณ์ตั้งไว้ในส่วนแห่งพระนิพพานมันสบายบอกไม่ถูก สบายจริงๆ อย่าพูดไปเชียวนะ อย่าพูดให้มันดัง พูดเพียงแต่ว่า พอให้เขาได้ยินชัดพอแล้ว ถ้าดังชาวบ้านเขาจะเอาอิฐขว้างบ้านเอา มันรำคาญชาวบ้านเขา”………..

………..”แต่ความจริงความรู้ของพระพุทธเจ้า ไม่มีอะไรเป็นเครื่องปกปิด นอกเสียจากว่าบุคคลผู้มีจิตใจทุจริต ไม่มีความเคารพในพระพุทธเจ้า เป็นมิจฉาทิฏฐิ อย่าไปพูดกับเขา เสียเวลา ถ้าเราทำได้แล้วเราก็ทรงความดีของเราไว้ ถ้าว่าเขาไม่ชอบใจอย่าไปแค่นสอนเขา 
คำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มีการบังคับ ไม่ง้อนักปฏิบัติ ใครอยากได้ก็เชิญปฏิบัติ ใครไม่อยากได้ก็เชิญตามสบาย เพราะอะไร เพราะว่าองค์สมเด็จพระจอมไตรไม่มีค่าจ้าง เป็นอันว่าเราตั้งใจปฏิบัติตามท่าน เอากันอย่างนี้นะ เอากันตามจุดดีปฏิบัติตามแบบนี้ แต่อารมณ์มันซ่าน บังคับใจไว้ในระยะสั้นๆ กำหนดใจไว้เลยว่า”….

ฝึกนับลมเป็นคู่ๆ

…นับหนึ่งถึงสิบ นับนิ้วไปด้วย ไม่ต้องภาวนา อานาปานุสสติไม่ต้องภาวนา

…หายใจเข้า…หายใจออก นับเป็นหนึ่ง ขยับนิ้ว

…หายใจเข้า…หายใจออก นับเป็นสอง 

…หายใจเข้า…หายใจออก นับเป็นสาม

…หายใจเข้า…หายใจออก นับเป็นสี่

…พอนับไปถึงห้า หยุด แล้วกลับมานับห
นึ่งไปถึงสิบ หยุด นับหนึ่งถึงสิบห้า หยุด นับหนึ่งถึงยี่สิบ หยุด ว่าไปแบบนี้…

ลงโทษมัน ตั้งต้นใหม่

……..”ทีนี้ถ้าอารมณ์ใจของเรามันไม่คงที่ บังคับไม่อยู่ตามนั้น เอามันใหม่ นับหนึ่งถึงสิบ ตั้งใจไว้ว่าเราจะไม่ยอมให้อารมณ์ของเราไปยุ่งกับอารมณ์อย่างอื่นเป็นอันขาด นอกจากว่าจะรู้ลมหายใจเข้าออกเท่านั้น เอาแค่สิบ ถ้าในระหว่างยังไม่ถึงสิบ จิตอย่างอื่นมันแลบ 
คบอารมณ์อื่นเข้ามา ทรมานมันตั้งตันเสียใหม่ นับหนึ่งใหม่ให้มันเข้าไปถึงสิบ นับช้าๆหายใจตามสบาย หายใจเข้าหายใจออกขยับนิ้วหนึ่งนิ้ว
หายใจเข้าแล้วหายใจออกแบบสบาย หายใจนับนิ้ว ขยับนิ้วเป็นนิ้วที่สอง เอาให้ได้สิบ พอถึงสิบเลิกเลย มันจะคิดไปไหนก็ปล่อยให้มันคิดไปตามสบาย ถ้าจิตมันซ่าน”…..

……..”หรือเอาอย่างนี้ก็ได้ เคยปฏิบัติมา แหม….ไอ้คำว่าเคยปฏิบัติมานี่ เขาจะหาว่าอวดตัว เอาอย่างนี้ดีกว่า ตามนักปฏิบัติท่านที่ปฏิบัติได้ดีแล้ว”…….

……..”วันไหนปรากฏว่าอารมณ์มันซ่านเต็มที ท่านจะนั่งก็ได้ นอนก็ได้ ยืนก็ได้ เดินก็ได้ ทำปฏิบัติแค่นับหนึ่งถึงสิบแล้วท่านเลิกเลย ถ้าอยากจะเดินก็เดินพาเหรดแบบสบาย หรือไม่อย่างนั้นก็อ่านหนังสือบ้าง คุยไปบ้างอะไรบ้าง พอมีอารมณ์ว่าง จิตสงัดมาจับใหม่ นับหนึ่งถึงสิบ ถ้ายังสบายอยู่ขึ้นต้นหนึ่งถึงสิบอีก ถ้ายังสบายอยู่ขึ้นต้นหนึ่งถึงสิบอีก ถ้าสิบหลังๆนี่ ถ้าอารมณ์มันซ่านตอนไหน เลิกได้ แต่สิบต้นจะไม่ยอมเลิก ถ้าสิบต้นคุมไม่อยู่ต้องขึ้นต้นใหม่ คุมให้อยู่ให้ได้ ทำแบบนี้ทุกวัน”…….

……..”แล้วก็ไม่ต้องไปนั่งเป๋งที่ไหน ไปยืนโคนต้นไม้ ก็ตามใจทุกอย่าง เรื่องกายไม่ต้องห่วง ห่วงตรงใจ ถ้ายิ่งเดินไปเดินมาแล้วก็นับหนึ่งถึงสิบได้ แหม…เก๋เลย ถ้าจิตทรงสมาธิได้ในระหว่างเดิน ที่เราเรียกกันว่าจงกรม คำว่าจงกรมนี่เขาแปลว่าเดิน ไม่ใช่เดินกลมๆ เดินยาวๆก็ได้ มันแปลว่าเดินเฉยๆ จะเดินท่าไหนก็ได้ แต่ไม่ต้องไปยกๆย่างๆ เดินแบบธรรมดาๆ เพราะเราต้องการสติสัมปชัญญะเข้าไปควบคุม นี่ลองทำแบบนี้ดูบรรดาท่านพุทธบริษัท ภายในระยะ ๑๐ วันจะรู้สึกว่าไอ้การนับหนึ่งถึงสิบนี่มันเด็กเล็กๆนั่นเอง ดีไม่ดีร้อยสองร้อย สามร้อยห้าร้อย นี่มันยังสบายอยู่นี่ นี่เป็นวิธีอันหนึ่งที่ฝึกอานาปานุสสติให้เข้าถึงฌาน”……

ใช้เวลาน้อยๆแต่มีคุณภาพ

…….”แล้วก็มีวิธีง่ายๆอีกวิธีหนึ่ง ง่ายกว่านั้น หากินแบบเข้าฌานในแบบสบาย แบบนี้พยายามทำไปเถอะ แบบหลังนี่แบบต้นก็เหมือนกันทำไว้ ไม่ต้องไปนั่งตั้งเวลาสองชั่วโมง สามชั่วโมง ดีไม่ดีจะดันเตลิดเปิดเปิงไป นี่เราไม่เชื่อใครก็ได้ แต่ว่าจงเชื่อพระพุทธเจ้า เพราะว่าธรรมะนี่เป็นของพระพุทธเจ้าท่าน แบบที่พระโบราณาจารย์ปฏิบัติกันได้ดีชั้นยอดที่เคยพบมาแล้ว สาวกขององค์พระประทีปแก้วประเภทนี้ท่านเคยแนะนำ
แล้วตอนกลางวันยังไม่นอน แล้วก็บอกว่าทำแบบกระจุ๋มกระจิ๋มนี่ จับเอาแต่แค่ตรงดี พอมันเริ่มไม่ดีก็เลิก ทีนี้มีวิธีหนึ่ง ถ้าหากว่าไม่ดีถ้าภาวนาไป หรือว่าจับลมหายใจเข้าออกไป บางวันมันคุมไม่อยู่จริงๆ อย่าว่าแต่หนึ่งถึงสิบเลย เป็นหนึ่งถึงสามยังไม่ไหว อันนี้มันมีเหมือนกัน แล้วกำลังอารมณ์ของใจนี่จะไปบังคับให้มันทรงตัวโดยเฉพาะไม่ได้ ทำอย่างไรล่ะถ้าคุมไม่ไหว”……..

………”พระพุทธเจ้าท่านบอกว่ามีวิธีหนึ่ง คือปล่อยมันเลย คุมไม่ได้นี่ปล่อยทำตนเหมือนกับฝึกม้าพยศ ไอ้ม้าที่มันพยศนี่ เราจะฝึกให้มันเดินท่าไหน วิ่งท่าไหน มันไม่เอาด้วย มันมีกำลัง มันดื้อแพ่งอยู่ตลอดเวลา แล้วแถมดื้อเอาการเสียด้วย จะลงแส้หวดอย่างไรก็ตามมันไม่กลัว มัยฝืนอยู่ตลอดเวลา พระพุทธเจ้าตรัสว่า ถ้าอาการของอารมณ์จิตเป็นอย่างนี้ องค์สมเด็จพระมหามุนีทรงแนะนำว่าจงทำแบบนี้ คือปล่อยมัน มันอยากจะคิดอะไรเชิญมันคิดตามสบาย เมื่อมันคิดเตลิดเปิดเปิงไปแล้วคอยคุมมันไว้ประเดี๋ยวเดียวไม่เกิน ๒๐ นาทีเป็นอย่างช้า มันก็ขี้เกียจคิด พอขี้เกียจคิดปั๊บ จิตมันสลด จับอารมณ์ทันที ตอนนี้แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท
จิตจะตั้งอารมณ์ดิ่งเป็นฌาน มีความสุขนานแสนนาน บางทีชั่วโมงสองชั่วโมงมันยังไม่คลายเลย มันนั่งสบาย ไม่ใช่ฝืนนั่ง มันสบายมีอารมณ์ดิ่งเป็นฌานจริงๆ ท่านมีอุปมาเหมือนกับฝึกม้าพยศ ในเมื่อมันพยศไม่เข้าเส้นทาง เราก็ปล่อยให้มันวิ่งไป กอดคอเข้าไว้ วิ่งไป วิ่งไป พอมันหมดแรง ทีนี้เราจะจูงมันไปทางไหนล่ะ มันหมดแรงจะสู้แล้วนี่ มันก็ไปได้ตามทาง ตามใจเราชอบ ข้อนี้อุปมาฉันใดอารมณ์ใจก็เหมือนกัน นี่ฟังกันไว้แล้วก็จำกันไว้ด้วย แล้วก็ปฏิบัติด้วยซิ ถ้าทำแบบนี้เรื่องฌานสมาบัติมันกล้วยจริงๆ กล้วยตากแช่น้ำผึ้ง ไม่ใช่กล้วยดิบ”…..

เวลาตอนนอน

………”แต่อีกวิธีหนึ่ง ถ้าเราทรงอารมณ์ไว้ได้พอสมควร การหากินในการทรงฌานง่ายๆแค่ ปฐมฌาน ท่านบอกว่า เวลานอน จับลมหายใจเข้าออกจนกว่าจะหลับ ถ้ามันฟุ้งซ่านไม่หลับก็เลิกเสีย อย่าไปฝืน ถ้าจิตมันมีอารมณ์เรียบ จับลมหายใจประเดี๋ยวเดียวมันก็หลับ อีตอนที่มันจะหลับนี่อย่าไปฝืนมัน มันจะหลับเร็วเท่าไหร่ก็ช่าง อย่าไปคิดว่านี่ยังนับหนึ่งไม่ถึงสิบ หลับไม่ได้ อย่า…อย่าไปโง่แบบนั้น อย่าลืมว่าถ้าเราภาวนาก็ดี พิจารณาก็ดี กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกอยู่ ถ้าจิตเข้าไม่ถึงปฐมฌานมันหลับไม่ได้ ถ้าจิตเข้าถึงปฐมฌานมันก็หลับ ท่านบอกว่า แล้วขณะที่หลับนั้นจิตเข้าถึงปฐมฌาน”……

……..”ก็เป็นอันว่าในขณะที่หลับอยู่ ท่านถือว่าทรงอยู่ในฌานตลอดเวลา ถ้าตายเวลานั้นเกิดเป็นพรหมทันที เห็นไหม นี่มันเป็นของดี หรือการพ้นตื่นขึ้นมาแล้ว สังเกตดู เมื่อจิตมันเริ่มภาวนาเองหรือเปล่า ถ้ายังต้องเตือนให้มันภาวนาเมื่อตื่นมาเต็มที่แล้ว นั่นแสดงว่าขณะที่หลับ หลับด้วยอำนาจปฐมฌานหยาบ ทีนี้พอตื่นขึ้นมาแล้วเต็มที่มันภาวนาเอง ขณะที่หลับลงไปใจเข้าถึงปฐมฌานอย่างกลาง ทีนี้ถ้าตื่นขึ้นมาแล้ว 
ถ้าจิตพอครึ่งหลับครึ่งตื่นมันรู้สึกว่า มันพิจารณาหรือภาวนาเอง นี่แสดงว่าที่หลับ จิตเข้าถึงปฐมฌานละเอียด นี่ความจริงถ้าทรงได้แค่ปฐมฌานก็เก๋ไม่น้อย แล้วเราสามารถพิจารณาวิปัสสนาญาณ จิตมีกำลังตัดกิเลสเป็นพระอริยเจ้าได้ แต่ยัง ถ้าปฏิบัติในสายกรรมฐานสี่สิบ เขาบอกยังเด็กเกินไป ต้องทำให้ได้ฌานสี่ นี่หลับอยู่ก็ดี ตื่นอยู่ก็ดี รักษาอารมณ์ให้สบาย นั่ง นอน เดินก็ได้ กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกอย่างเดียว กันอารมณ์ฟุ้งซ่านไม่ต้องภาวนา จนกระทั่งไม่รู้สึกว่าเราหายใจ แต่ร่างกับใจภายในมีอาการโพลง 
มีความสว่างมากเหมือนกับเห็นแสงอาทิตย์ หรือว่ากระแสไฟฟ้าสักพันแรงเทียน มีจิตใจดิ่งสงบ หูไม่ได้ยินเสียงภายนอก ไม่รู้ว่าตนหายใจ อาการอย่างนี้เป็นอาการของฌานสี่ แล้วการได้ฌานแล้วเข้าถึงฌานระดับไหนหรือว่าทรงได้ตั้งแต่ระดับเล็กน้อย ฝึกตั้งเวลาเข้าไว้ ที่เราตั้งไว้ว่าสิบ ยี่สิบ สามสิบ นี่เป็นการฝึกทรงสมาธิ ทีนี้พอเราเข้าถึงฌานใดฌานหนึ่ง มันจะทรงตัวทันที นี่เป็นความดีที่บอกไม่ถูก”…….

……….”บรรดาท่านพุทธบริษัท พอจิตเข้าถึงฌานสี่แล้ว แล้วอย่าไปนึกว่าไม่หายใจจะตายล่ะ ความจริงแล้วร่างกายมันหายใจ แต่ว่าจิตมันแยกจากกายไม่ยอมรับรู้เรื่องของประสาท ใครจะเอาพลุมาจุดดังๆใกล้ๆก็ฟังไม่ได้ยิน นี่เป็นอาการของฌานสี่ ฌานองค์นี้มีความสำคัญมาก และถ้าหากทรงฌานให้ได้ ทีนี้ถ้าเราจะไปปฏิบัติกรรมฐานกองไหน อย่างกสิณสิบ
แหมมันกล้วยจริงๆ เจ็ดวันกอง เจ็ดวันกอง เจ็ดสิบวันได้สิบกอง แล้วหัดเข้าฌานสลับฌาน ออกฌาน เดี๋ยวเดียว รวมความว่าภายในภรรษาเดียวสามเดือน เราก็สามารถทรงอภิญญาสมาบัติได้ นี่ถ้าเล่นอภิญญากัน หรือว่าถ้าเราจะเล่นวิชชาสาม ก็จับกสิณส่วนใดส่วนหนึ่ง คือเตโชกสิณ กสิณไฟ โอทาตกสิณ กสิณสีขาว อาโลกสิณ กสิณแสงสว่าง ถ้าเราได้ฌานสี่จากอานาปาฯแล้ว จับปั๊บเดียวสองสามวัน ทรงฌานในกสิณทันที และอีตอนนี้เราก็เล่นทิพจักขุญาณได้แบบสบายๆ”………………………………

จาก หนังสือคำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุง
โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง

by admin admin ไม่มีความเห็น

วิปัสนาญาณ โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง

วิปัสสนาญาณ หลวงพ่อพระราชพรหมยาน


บุคคลที่ทำลายพระศาสนา
เป็นนิสัย ไม่ควรมีในหมู่พุทธศาสนิกชน เพราะเป็นการดูแคลนพระพุทธศาสนาเกินไป พูดกันตรง ๆ ก็ว่า ไม่มีความเชื่อถือจริง และไม่ใช่นักปฏิบัติจริงปฏิบัติตามเขา พอได้ชื่อว่าฉันก็ปฏิบัติวิปัสสนาคนประเภทนี้แหละที่ทำให้พระพุทธศาสนาเสื่อมโทรม เพราะทำไปไม่นานก็เลิกแล้วก็เอาความไม่จริงไม่จังของตนเองนี่แหละไปโฆษณา บอกว่าฉันปฏิบัตินานแล้วไม่เห็นมีอะไรปรากฏ เป็นการทำลายพระศาสนาโดยตรง ฉะนั้นนักปฏิบัติแล้วควรตั้งใจจริงเพื่อมรรคผล ถ้ารู้ตัวว่าจะไม่เอาจริงก็อย่าเข้ามายุ่งทำให้ศาสนาเสื่อมทรามเลย ต่อไปนี้จะพูดถึงนักปฏิบัติที่เอาจริง


ก่อนพิจารณาวิปัสสนา
ทุกครั้งที่จะเจริญวิปัสสนาท่านให้เข้าฌานตามกำลังสมาธิที่ได้เสียก่อนเข้าฌานให้ถึงที่สุดของสมาธิถ้าเป็นฌานที่ ๔ ได้ยิ่งดี ถ้าได้สมาธิ ๆ ไม่ถึงฌาน ๔ ก็ให้เข้าฌานจนเต็มกำลังสมาธิที่ได้เมื่ออยู่ในฌานจนจิตสงัดดีแล้วค่อยๆคลายสมาธิมาหยุดอยู่ที่อุปจารฌาน แล้วพิจารณาวิปัสสนาญาณทีละขั้นอย่าละโมบโลภมาก ทำทีละขั้น ๆ นั้นจะเกิดเป็นอารมณ์ ประจำใจไม่หวั่นไหวเป็นเอกัคคตารมณ์ เป็นอารมณ์ที่ไม่กำเริบแล้ว จึงค่อยเลื่อนไปฌาน ต่อไปเป็น ลำดับทุกฌานปฏิบัติอย่างเดียวกันทำอย่างนี้จะได้รับผลแน่นอน ผลที่ได้ต้องมีการทดสอบจากอารมณ์จริงเสมอ อย่านึกคิดเอาเองว่าได้เมื่อยังไม่ผ่านการกระทบจริงต้องผ่านการกระทบจริงก่อน ไม่กำเริบแล้วเป็นอันใช้ได้


ธรรมเครื่องบำรุงวิปัสสนาญาณ
นักเจริญวิปัสสนาญาณที่หวังผลจริง ไม่ใช่นักวิปัสสนาทำเพื่อโฆษณาตัวเองแล้วท่านว่าต้องเป็นผู้ปรับปรุงบารมี ๑๐ ให้ครบถ้วนด้วย ถ้าบารมี ๑๐ ยังไม่ครบถ้วนเพียงใด ผลในการเจริญวิปัสสนาญาณจะไม่มีผลสมบูรณ์ บารมี ๑๐ นั้นมีดังต่อไปนี้ 
๑. ทาน คือการให้ ต้องมีอารมณ์ใคร่ต่อการให้ทานเป็นปกติ ให้เพื่อสงเคราะห์ ไม่ให้เพื่อผลตอบแทน ให้ไม่เลือกเพศ วัย ฐานะ และความสมบูรณ์เต็มใจในการให้ทาน เป็นปกติ ไม่มีอารมณ์ไหวหวั่นในการให้ทาน 
๒. ศีล รักษาศีล ๕ เป็นปกติ ศีลไม่บกพร่อง และรักษาแบบอุกฤษฏ์ คือไม่ทำศีล ให้ขาดหรือด่างพร้อยเอง ไม่ยุคนอื่นให้ละเมิดศีล ไม่ดีใจเมื่อคนอื่นละเมิดศีลไม่ดีใจเมื่อ คนอื่นละเมิดศีล 
๓. เนกขัมมะ การถือบวช คือถือพรหมจรรย์ ถ้าเป็นนักบวช ก็ต้องถือสิกขาบท อย่างเคร่งครัดถ้าเป็นฆราวาสต้องเคร่งครัดในการระงับอารมณ์ทีเป็นที่เป็นทางของนิวรณ์ ๕ คือทรงฌานเป็นปกติอย่างต่ำก็ก็

ปฐมฌาน 
๔. ปัญญา มีความคิดรู้เท่าทันสภาวะของกฎธรรมดา เห็นอนิจจัง ทุกขังอนัตตา เป็นปกติ 
๕. วิริยะ มีความเพียรเป็นปกติไม่ท้อถอยในการปฏิบัติเพื่อมรรคผล 
๖. ขันติ อดทนต่อความยากลำบาก ในการฝืนใจระงับอารมณ์ที่ไม่ถูกใจอดกลั้น ไม่หวั่นไหว จนมีอารมณ์อดกลั้นเป็นปกติ ไม่หนักใจเมื่อต้องอดทน 
๗. สัจจะ มีความจริงใจไม่ละทิ้งกิจการงานในการปฏิบัติความดีเพื่อมรรคผล 
๘. อธิษฐาน ความตั้งใจ ความตั้งใจใด ๆ ที่ตั้งใจไว้ เช่นสมัยที่สมเด็จพระผู้มี พระภาคเจ้าพระองค์เข้าไปนั่งที่โคนต้นโพธิ์ พระองค์ทรงอธิษฐานว่า ถ้าเราไม่ได้สำเร็จ พระโพธิญาณเพียงใดเราจะไม่ยอมลุกจากที่นี้แม้เนื้อและเลือดจะเหือดแห้งไปหรือชีวิต จะตักษัยคือสิ้นลมปราณก็ตามทีพระองค์ทรงอธิษฐานเอาชีวิตเข้าแลกแล้วพระองค์ก็ทรงบรรลุในคืนนั้น การปฏิบัติต้องมีความมั่นใจอย่างนี้ ถ้าลงเอาชีวิตเป็นเดิมพันแล้วสำเร็จ ทุกราย และไม่ยากเสียด้วย ใช้เวลาก็ไม่นาน 
๙. เมตตา มีความเมตตาปรานีไม่เลือก คน สัตว์ ฐานะ ชาติ ตระกูลมีอารมณ์เป็น เมตตาตลอดวันคืนเป็นปกติ ไม่ใช่บางวันดีบางวันร้ายอย่างนี้ไม่มีหวัง 
๑๐. อุเบกขา ความวางเฉยต่ออารมณ์ที่ถูกใจ และอารมณ์ที่ขัดใจอารมณ์ที่ถูกใจรับแล้วก็ทราบว่าไม่ช้าอาการอย่างนี้ก็หมดไปไม่มีอะไรน่ายึดถือพบอารมณ์ที่ขัดใจก็ปลงตกว่า เรื่องอย่างนี้มันธรรมดาของโลกแท้ๆ เฉยได้ทั้งสองอย่าง 
บารมี ๑๐ นี้ มีความสำคัญมากถ้า นักปฏิบัติบกพร่องในบารมี๑๐ นี้ แม้อย่างเดียว วิปัสสนาญาณก็มีผลสมบูรณ์ไม่ได้ที่ว่าเจริญกันมา ๑๐ปี ๒๐ ปี ไม่ได้อะไรนั้น ก็เพราะเป็น ผู้บกพร่องในบารมี ๑๐ นี่เอง ถ้าบารมี ๑๐ ครบถ้วนแล้วผลการปฏิบัติเขานับวันสำเร็จกันไม่ใช่นับเดือนนับปีฉะนั้นท่านนักปฏิบัติเพื่อมรรคผลต้องสนใจปฏิบัติในบารมี ๑๐ นี้ ไม่ให้บกพร่องเป็นกรณีพิเศษ


วิปัสสนาญาณสามนัย
วิปัสสนาญาณที่พิจารณากันมานั้น ท่านสอนไว้เป็นสามนัย คือ 
๑. พิจารณาตารมแบบวิปัสสนาญาณ ๙ ตามนัยวิสุทธิมรรคที่ท่านพระพุทธโฆษาจารย์ รจนาไว้ 
๒. พิจารณาตามนัยอริยสัจ ๔ 
๓. พิจารณาขันธ์ ๕ ตามในพระไตรปิฎก ที่มีมาในขันธวรรค 
ทั้งสามนัยนี้ ความจริงก็มีอรรถ คือความหมายเป็นอันเดียวกันโดยท่านให้เห็นว่าขันธ์ ๕ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาเหมือนกันท่านแยกไว้เพื่อเหมาะแก่อารมณ์ของแต่ละท่าน เพราะบางท่านชอบค่อยทำไปตามลำดับตามนัยวิปัสสนาญาณ ๙ เพราะเป็นการค่อยปลด ค่อย เปลื้องตามลำดับทีละน้อยไม่หนักอกหนักใจ บางท่านก็ชอบพิจารณาแบบรวม ๆ ใน ขันธ์ ๕เพราะเป็นการสะดวกเหมาะแก่อารมณ์ บางท่านที่ชอบพิจารณาตามแบบอริยสัจนี้พระพุทธเจ้าทรงค้นพบเอง และนำมาสอนปัญจวัคคีย์เป็นครั้งแรก ท่านเหล่านั้นได้มรรคผลเป็นปฐม ก็เพราะได้ฟังอริยสัจ แต่ทว่าทั้งสามนี้ก็มีความหมายอย่างเดียวกันคือให้เห็น อนัตตาในขันธ์ ๕ เหมือนกัน ท่านกล่าวไว้ในวิสุทธิมรรคและในขันธวรรคในพระไตรปิฎก ว่าผู้ใดเห็นขันธ์ ๕ ผู้นั้นก็เห็นอริยสัจผู้ใดเห็นอริยสัจก็ชื่อว่าเห็นขันธ์ ๕
เอาสังโยชน์ ๑๐ เป็นเครื่องวัดอารมณ์
นักปฏิบัติเพื่อมรรคผล ที่ท่านปฏิบัติกันมาและได้รับผลเป็นมรรคผลนั้นท่านคอยเอาสังโยชน์เข้าวัดอารมณ์เป็นปกติ เทียบเคียงจิตกับสังโยชน์ว่าเราตัดอะไรได้เพียงใด แล้วจะรู้ผลปฏิบัติตามอารมณ์ที่ละนั้นเอง ไม่ใช่คิดเอาเองว่าเราเป็นพระโสดา สกิทาคา อนาคา อรหัตตามแบบคิดแบบเข้าใจเอาเอง


สังโยชน์ ๑๐
สังโยชน์ แปลว่า กิเลสเครื่องร้อยรัดจิตใจให้จมอยู่ในวัฏฏะมี ๑๐อย่างคือ 
๑. สักกายทิฏฐิ มีความเห็นว่า ขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขารวิญญาณนี้ เป็นเรา เป็นของเรา เรามีในขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ มีในเรา 
๒. วิจิกิจฉา สงสัยในผลการปฏิบัติว่าจะไม่ได้ผลจริงตามที่ฟังมา 
๓. สีลัพพตปรามาส ถือศีลไม่จริงไม่จัง สักแต่ถือตาม ๆเขาไปอย่างนั้นเอง สามข้อ นี้ ถ้าตัดได้เด็ดขาด ท่านว่าได้บรรลุเป็นพระโสดากับพระสกิทาคามี 
๔. กามราคะ ความกำหนัดยินดีในกามคุณ ๕ คือ รูป เสียง กลิ่น รสและอาการ ถูกต้องสัมผัส 
๕. ปฏิฆะ ความกระทบกระทั่งใจ ทำให้ไม่พอใจ อันนี้เป็นโทสะแบบเบาๆ ข้อ (๑) ถึง (๕) นี้ ถ้าละได้เด็ดขาด ท่านว่าบรรลุเป็นอนาคามี 
๖. รูปราคะ พอใจในรูปธรรม คือความพอใจในวัตถุ หรือ รูปฌาน 
๗ รูปราคะ พอใจในอรูป คือเรื่องราวที่กล่าวถึง หรือในอรูปฌาน 
๘. อุทธัจจะ อารมณ์ฟุ้งซ่าน คิดนอกลู่นอกทาง 
๙. มานะ ความถือตนโดยความรู้สึกว่า เราดีกว่าเขา เราเลวกว่าเขาเราเสมอเขา
๑๐.อวิชชา ความโง่ คือหลงพอใจในกามคุณ ๕ และกำหนัดยินดีในกามคุณ ๕ที่ ท่านเรียกว่า อุปาทาน เป็นคุณธรรมฝ่ายทราม ที่ท่านเรียกว่า อวิชชา 
สังโยชน์ทั้ง ๑๐ ข้อนี้ถ้าท่านพิจารณาวิปัสสนาญาณแล้ว จิตค่อย ๆ ปลดอารมณ์ที่ยึดถือได้ครบ ๑๐ อย่างโดยไม่กำเริบอีกแล้ว ท่านว่าท่านผู้นั้นบรรลุอรหัตผลเครื่องวัด อารมณ์ที่พระพุทธเจ้าตรัสจำกัดไว้อย่างนี้ขอนักปฏิบัติจงศึกษาไว้แล้วพิจารณาไปตามแบบ ท่านสอนเอาอารมณ์มาเปรียบกับสังโยชน์ ๑๐ทางที่ดีควรคิดเอาชนะกิเลสคราวละข้อ เอาชนะ ให้เด็ดขาด แล้วค่อยเลื่อนเข้าไปทีละข้อข้อต้น ๆ ถ้าเอาชนะไม่ได้ ก็อย่าเพิ่งเลื่อนเข้าไปหา ข้ออื่น ทำอย่างนี้ได้ผลเร็วเพราะข้อต้นหมอบแล้ว ข้อต่อไปไม่ยากเลย จะชนะหรือไม่ชนะ ก็ข้อต้นนี้แหละเพราะเป็นของใหม่และมีกำลังครบถ้วนที่จะต่อต้านเรา ถ้าด่านหน้าแตกด่านต่อไปง่ายเกินคิด ขอให้ข้อคิดไว้เพียงเท่านี้ต่อไปจะนำเอาวิปัสสนาญาณสามนัยมากล่าว ไว้พอเป็นแนวปฏิบัติพิจารณา


วิปัสสนาญาณ ๙
๑. อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ พิจารณาเห็นความเกิดและความดับ
๒. ภังคานุปัสสนาญาณ พิจารณาเห็นความดับ
๓.ภยตูปัฎฐานญาณ พิจารณาเห็นสังขารเป็นของน่ากลัว
๔.อาทีนวานุปัสสนาญาณ พิจารณาเห็นโทษของสังขาร
๕.นิพพิทานุปัสสนาญาณ พิจารณาสังขารเห็นเป็นของน่าเบื่อหน่าย
๖. มุญจิตุกามยตาญาณ พิจารณาเพื่อใคร่จะให้พ้นจากสังขารไปเสีย
๗. ปฏิสังขานุปัสสนาญาณ พิจารณาหาทางที่จะให้พ้นจากสังขาร
๘. สังขารุเปกขาญาณ พิจารณาเห็นว่า ควรวางเฉยในสังขาร
๙. สัจจานุโลมิกญาณ พิจารณาอนุโลมในญาณทั้ง ๘ นั้นเพื่อกำหนดรู้ในอริยสัจ
ญาณทั้ง ๙ นี้ญาณที่มีกิจทำเฉพาะอยู่ตั้งแต่ญาณที่ ๑ ถึง ญาณที่ ๘ เท่านั้น ส่วนญาณ ที่ ๙ นั้นเป็นชื่อของญาณบอกให้รู้ว่า เมื่อฝึกพิจารณามาครบ ๘ ญาณแล้ว ต่อไปให้พิจารณาญาณทั้ง๘ นั้น โดยอนุโลมและปฏิโลม คือพิจารณาตามลำดับไปตั้งแต่ญาณที่ ๑ ถึงญาณที่ ๘แล้วพิจารณาตั้งแต่ญาณที่ ๘ ย้อนมาหาญาณที่ ๑จนกว่าจะเกิดอารมณ์เป็นเอกัคคตารมณ์ทุก ๆ ญาณและจนจิตเข้าสู่โคตรภูญาณคือจิตมีอารมณ์ยอมรับนับถือกฎธรรมดา เห็นเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นเนื่องด้วยตนหรือคนอื่นเป็นของธรรมดาไปหมด สิ่งกระทบเคยทุกข์เดือดร้อนก็ไม่มีความทุกข์ ความเร่าร้อนไม่ว่าอารมณ์ใดๆ ทั้งที่เป็นเหตุของความรัก ความโลภความโกรธ ความผูกพัน ยอมรับนับถือกฎธรรมดาว่ามันต้องเป็นอย่างนี้ อาการอย่างนี้เป็นเรื่องธรรมดาแท้ ท่านว่าครอบงำความเกิด ความดับ ความตายได้เป็นต้นคำว่าครอบงำหมายถึงความไม่สะทกสะท้านหวั่นไหว ใครจะตายหรือเราจะตายไม่หนักใจเพราะรู้อยู่แล้วว่าจะต้องตาย ใครทำให้โกรธในระยะแรกอาจหวั่นไหวนิดหนึ่งแล้วก็รู้สึกว่านี่มันเป็นของธรรมดาโกรธทำไม แล้วอารมณ์โกรธก็หายไปนอกจากระงับความหวั่นไหวที่เคยเกิดเคยหวั่นไหวได้แล้วจิตยังมีความรักในพระนิพพานยิ่งกว่าสิ่งใดสามารถจะสละวัตถุภายนอกทุกอย่างเพื่อพระนิพพานได้ทุกขณะมีความนึกคิดถึงพระนิพพานเป็นปกติคล้ายกับชายหนุ่มหญิงสาวเพิ่งแรกรักกัน จะนั่ง นอน ยืนเดินทำกิจการงานอยู่ก็ตามจิตก็ยังอดที่จะคิดถึงคนรักอยู่ด้วยไม่ได้บางรายเผลอถึงกับเรียกชื่อคนรัก ขึ้นมาเฉย ๆ ทั้ง ๆที่ไม่ได้คิดว่าจะเรียกทั้งนี้เพราะจิตมีความผูกพันมาก คนรักมีอารมณ์ ผูกพันฉันใดท่านที่มีอารมณ์เข้าสู่โคตรภูญาณก็มีความใฝ่ฝันถึงพระนิพพานเช่นเดียวกันหลังจากเข้าสู่โคตรภูญาณเต็มขั้นแล้ว จิตก็ตัดสังโยชน์ ๓ เด็ดขาด เป็นสมุจเฉทปหานคือตัดได้เด็ดขาดไม่กำเริบอีก ท่านเรียกว่าได้อริยมรรคต้นคือเป็นพระโสดาบันต่อไปนี้ จะได้ อธิบายในวิปัสสนาญาณ ๙ เป็นลำดับไปเป็นข้อ ๆ


๑. อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ
ญาณนี้ท่านสอนให้พิจารณาความเกิดและความดับของสังขาร คำว่าสังขาร หมายถึง สิ่งที่เป็นร่างทั้งหมด ทั้งที่มีวิญาณและวัตถุท่านให้พยายามพิจารณาใคร่ครวญเสมอ ๆ ว่า สังขารนี้มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้นแล้วต่อไปก็แตกสลายทำลายไปหมด ไม่มีสังขารประเภทใดเหลืออยู่เลยพยายามหาเหตุผลในคำสอนนี้ให้เห็นชัด ดูตัวอย่างคน ที่เกิดแล้วตายของที่มีขึ้นแล้วแตกทำลาย ดูแล้วคิดทบทวนมาหาตน และคนที่รักและไม่รักของที่มีชีวิตและไม่มีคิดว่านี่ไม่ช้าก็ต้องตายทำลายอย่างนี้และพร้อมเสมอที่จะไม่หวั่นไหว ในเมื่อสิ่งเหล่านั้นเป็นอย่างนั้นพิจารณาทบทวนอย่างนี้จนอารมณ์เห็นเป็นปกติ ได้อะไรมา เห็นอะไรก็ตามแม้แต่เห็นเด็กเกิดใหม่ อารมณ์ใจก็คิดว่านี่ไม่ช้ามันก็พัง ไม่ช้ามันก็ทำลายแม้แต่ร่างกายเรา ไม่ช้ามันก็สิ้นลมปราณอะไรที่ไหนที่เราคิดว่ามันจะยั่งยืนถาวรตลอดกาล ไม่มีรักษาอารมณ์ให้เป็นอย่างนี้จนอารมณ์ไม่กำเริบแล้วจึงค่อยย้ายไปพิจารณาญาณ ที่สอง จงอย่าลืมว่าก่อนพิจารณาทุกครั้งต้องเข้าฌานก่อน แล้วถอยจากฌานมาหยุดอยู่เพียงอุปจารฌานแล้วพิจารณาวิปัสสนาญาณ จึงจะเห็นเหตุเห็นผลง่าย ถ้าท่านไม่อาศัยฌานแล้ววิปัสสนาญาณก็มีผลเป็นวิปัสสนึกเท่านั้นเอง ไม่มีอะไรดีไปกว่า นั่งนึกนอนนึกแล้วในที่สุดก็เลิกนึก และหาทางโฆษณาว่าฉันทำมาแล้วหลายปีไม่เห็นได้ อะไรเลยจงจำระเบียบไว้ให้ดี และปฏิบัติตามระเบียบให้เคร่งครัด วิปัสสนาไม่ใช่ต้ม ข้าวต้มจะได้สุกง่าย ๆ ตามใจนึก


๒.ภังคานุปัสสนาญาณ
ญาณนี้ท่านสอนให้พิจารณาถึงความดับ ญาณต้นท่านให้เห็นความเกิดและความดับสิ้นเมื่อปลายมือ แต่ญาณนี้ท่านให้พิจารณาเห็นความดับที่ดับเป็นปกติทุกวัน ทุกเวลา คือพิจารณาให้เห็นสรรพสิ่งทั้งหมดที่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า คนสัตว์ ต้นไม้ ภูเขา บ้านเรือนโรง ของใช้ทุกอย่าง ให้ค้นหาความดับที่ค่อย ๆ ดับตามความเป็นจริง ที่สิ่งเหล่านั้นค่อย ๆ เก่าลง คนค่อย ๆ ใหญ่ขึ้นจากความเป็นเด็ก และค่อยๆ ละความเป็นหนุ่มสาวถึงความเป็นคนแก่ ของใช้ที่ไม่มีชีวิตเปลี่ยนสภาพจากเป็นของใหม่ค่อยๆ เก่าลง ต้นไม้เปลี่ยนจากเป็นต้นไม้ที่เต็มไปด้วยกิ่งใบที่ไสวกลายเป็นต้นไม้ที่ค่อยๆ ร่วงโรย ความสลายตัวที่ค่อยเก่าลง เป็น อาการของความสลายตัวทีละน้อยค่อยๆ คืบคลานเข้าไปหาความสลายใหญ่คือความดับสิ้นในที่สุด ค่อยพิจารณาให้เห็นชัดเจนแจ่มใส จนอารมณ์จิตเป็นเอกัคคตารมณ์ คือมีความชินจิตว่าไม่มีอะไรมันทรงตัว ไม่มีอะไรยั่งยืน มันค่อยๆ ทำลายตัวเองอย่างนี้ทั้งสิ้น แม้แต่อารมณ์ใจก็เช่นเดียวกัน อารมณ์ที่พอใจและอารมณ์ที่ไม่ชอบใจก็มีสภาพไม่คงที่มีสภาพค่อย ๆสลายตัวลงไปทุกขณะเป็นธรรมดา
รวมความว่าความเกิดขึ้นนี้เป็นสภาพที่จำต้องเดินไปหาความดับในที่สุด แต่กว่าจะถึงที่สุดก็ค่อยๆ เคลื่อนดับ ดับทีละเล็กละน้อยทุกเวลาทุกขณะ มิได้หยุดยั้งความดับเลยแม้แต่เสี้ยวของวินาที ปกติเป็นอย่างนี้จิตหายความหวั่นไหวเพราะเข้าใจและคิดอยู่ รู้อยู่อย่างนั้นเป็นปกติ

๓. ภยตูปัฏฐานญาณ
ญาณนี้ท่านให้พิจารณาเห็นสังขารเป็นของน่ากลัวท่านหมายถึงให้กลัวเพราะสังขารมีสภาพพังทลายเป็นปกติอยู่เป็นธรรมดาอย่างนี้จะเอาเป็นที่พักที่พึ่งมิได้เลย สังขารเมื่อมีสภาพต้องเสื่อมไปเพราะวันเวลาล่วงไปก็ดี เสื่อมเพราะเป็นรังของโรคมีโรคภัยนานา ชนิดที่คอยเบียดเบียน เสียดแทงจนหาความปกติสุขมิได้ โรคอื่นยังไม่มีโรคหิวก็รบกวน ตลอดวัน กินเท่าไรก็ไม่อิ่มไม่พอ กินแล้วกินอีก กินในบ้านก็แล้วกินนอกบ้านก็แล้ว อาหาร ราคาถูกก็แล้ว ราคาแพงก็แล้ว มันก็ไม่หายหิวถึงเวลามันก็เสียดแทงหิวโหยเป็นปกติของ มันฉะนั้นโรคที่สำคัญที่สุดพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า โรคนั้น คือโรคหิวดังพระบาลี ว่า ชิฆจฺฉาปรมา โรคา แปลว่า ความหิวเป็นโรคอย่างยิ่ง โรคภัยต่างๆ มีขึ้นได้ก็เพราะอาศัยสังขาร ความหิวจะมีได้ก็เพราะอาศัยสังขาร ความแก่ ความทุกข์อันเกิดจากภยันตรายจะมีได้ ก็เพราะอาศัยสังขาร เพราะมีสังขารจึงมีทุกข์ในที่สุดก็ถึงความแตกดับ ก็เพราะสังขารเป็นมูลเหตุ สังขารจึงเป็นสิ่งน่ากลัวมาก ควรจะหาทางหลีกเร้นสังขารต่อไป
๔.อาทีนวานุปัสสนาญาณญาณนี้ท่านให้พิจารณาให้เห็นโทษของสังขาร ความเจริญญาณนี้น่าจะจัดรวมกับญาณที่ ๓ เพราะอาการที่ทำลายนั้น เป็นอาการของสิ่งที่เป็นโทษอยู่แล้ว ฉะนั้นข้อนี้จึง ไม่ต้องอธิบายโปรดถือคำอธิบายของญาณที่ ๓ เป็นเครื่องพิจ

๕. นิพพิทานุปัสสนาญาณ
ญาณนี้ท่านให้พิจารณาให้มีความเบื่อหน่ายจากสังขาร เพราะสังขารเกิดแล้วดับในที่สุดนี้ประการหนึ่ง สังขารมีความดับเป็นปกติทุกวันเวลา หรือจะว่าทุกลมหายใจเข้า ออกก็ไม่ผิด นี้ประการหนึ่ง สังขารเป็นภัยเพราะมีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียนเป็นปกติ และ ทำลายในที่สุดประการหนึ่งสังขารเต็มไปด้วยความทุกข์และโทษประการหนึ่ง ฉะนั้นสังขารนี้เป็นสภาพที่น่าเบื่อหน่าย ไม่เป็นของน่ารัก น่าปรารถนาเลย ญาณนี้ควรเอาอสุภสัญญาความเห็นว่าไม่สวยไม่งามมาร่วมพิจารณาด้วย เอามรณานุสสติธาตุ ๔ มาร่วมพิจารณาด้วยจะเห็นเหตุเห็นผลชัดเจน เกิดความเบื่อหน่ายได้โดยฉับพลัน เพราะกรรมฐานที่กล่าวแล้วนั้นเราพิจารณาในรูปสมถะอยู่แล้ว และเห็นเหตุผลอยู่แล้วเอามาร่วมด้วยจะได้ผลรวดเร็ว และชัดเจนแจ่มใสมากเกิดความเบื่อหน่ายในสังขารอย่างชนิดที่ไม่มีวันที่จะเห็นว่าน่ารัก ได้เลย

๖. มุญจิตุกัมมยตาญาณ
ญาณนี้ท่านให้พิจารณาเพื่อใคร่ให้พ้นจากสังขาร ทั้งนี้เพราะอาศัยที่เห็นแล้วจากญาณต้น ๆ ว่า เกิดแล้วก็ดับ มีความดับเป็นปกติเป็นเรือนร่างที่เต็มไปด้วยความทุกข์ เพราะโรคภัยไข้เจ็บจนเกิดความเบื่อหน่ายเพราะหาความเที่ยง ความแน่นอนไม่ได้ ท่านให้พยายามหาทางพ้นต่อไปด้วยการพยายามหาเหตุที่สังขารจะพึงเกิดขึ้น เพราะถ้าไม่มีสังขารแล้ว ความทุกข์ความเบื่อหน่ายทั้งหลายเหล่านี้จะมีไม่ได้เลยการที่หาทางเบื่อหน่าย ท่านให้แสวงหาเหตุของความเกิดดังต่อไปนี้ 
๑. ชรา ความแก่ มรณะ ความตาย เป็นต้น มีขึ้นได้เพราะชาติ คือความเกิด 
๒. ชาติ ความเกิดมีได้เพราะ ภพ คือความเป็นอยู่ 
๓. ภพ คือภาวะความเป็นอยู่ มีขึ้นได้ เพราะอาศัย อุปาทาน ความยึดมั่น 
๔. อุปาทาน ความยึดมั่นมีขึ้นได้ เพราะอาศัย ตัณหา คือความทะยานอยากคือ อยากมี อยากเป็น อยากปฏิเสธ 
๕. ตัณหา มีได้ เพราะอาศัย เวทนา คือ อารมณ์ที่รู้สึกสุข ทุกข์และเฉยๆ 
๖. เวทนา มีขึ้นได้ เพราะอาศัย ผัสสะ คือ การกระทบกระทั่ง 
๗. ผัสสะ มีขึ้นได้ เพราะอาศัย อายตนะ ๖ คือ ตาเห็นรูป หูฟังเสียงจมูกสูดกลิ่น ลิ้นลิ้มรส กายถูกต้องสัมผัส และอารมณ์ที่เป็นอารมณ์ชอบใจและไม่ชอบใจที่เรียกว่า ธัมมารมณ์ คืออารมณ์ที่เกิดแก่ใจ 
๘. อายตนะ ๖ มีขึ้นได้เพราะอาศัย นามและรูป คือ ขันธ์ ๕สิ่งที่เห็นได้ด้วยตา คือ ร่างกายเรียกว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นนามท่านรวมเรียกทั้งรูปทั้ง นามว่า นามรูป 
๙. นามรูป มีขึ้นได้เพราะอาศัย วิญญาณปฏิสนธิ คือ เข้ามาเกิด วิญญาณในที่นี้ท่านหมายเอาจิต ไม่ได้หมายเอาวิญญาณในขันธ์ ๕ 
๑๐. วิญญาณ มีขึ้นได้เพราะ มีสังขาร 
๑๑. สังขาร มีได้เพราะอาศัย อวิชชา คือ ความโง่เขลาหลงงมงาย มีความรักความพอใจในโลกวิสัยเป็นเหตุ 
รวมความแล้วความทุกข์ทรมานที่ปรากฏขึ้น จนต้องหาทางพ้นนี้ อาศัยอวิชชา ความโง่เป็นสมุฏฐานฉะนั้น การที่จะหลีกเร้นจากสังขารได้ก็ต้องตัดอวิชชาความโง่ออกด้วยการพิจารณาสังขารให้เห็นเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ได้แน่นอนจึงจะพ้นสังขารนี้ได้
๗.ปฏิสังขานุปัสสนาญาณ
พิจารณาหาทางที่จะให้สังขารพ้น ญาณนี้ไม่เห็นทางอธิบายชัด เพราะมีอาการ ซ้อนๆ กันอยู่ ควรเอา ปฏิจจสมุปบาท นั่นแหละเป็นเครื่องพิจารณา

๘. สังขารุเปกขาญาณ
ท่านสอนให้วางเฉย ในเมื่อสังขารภายในคือ ร่างกายของตนเองและสังขารภายนอกคือร่างกายของคน และ สัตว์ ตลอดจนของใช้ที่ไม่มีและมีวิญญาณที่ต้องได้รับเคราะห์กรรม มีทุกข์ มีอันตราย โดยตัดใจปลงได้ว่าธรรมดาต้องเป็นอย่างนี้ ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ มีจิต สบายเป็นปกติไม่มีความหวั่นไหว เสียใจ น้อยใจเกิดขึ้น

๙. สัจจานุโลมิกญาณ
พิจารณาญาณทั้งหมดย้อนไปย้อนมาให้เห็นอริยสัจ คือเห็นว่า สังขารที่เป็นแดนของความทุกข์ เพราะอาศัยตัณหา จึงมีทุกข์หนักอย่างนี้ พิจารณาเห็นว่าสังขารมีทุกข์ประจำ เป็นปกติ ไม่เคยว่างเว้นจากความทุกข์เลย อย่างนี้เรียกว่าเห็นทุกขสัจจะเป็นอริยสัจที่ ๑
พิจารณาเห็นว่าทุกข์ทั้งหมดที่ได้รับเป็นประจำไม่ว่างเว้นนี้ เกิดมีขึ้นได้เพราะอาศัย ตัณหาความทะยานอยาก ๓ ประการ คือ อยากมีในสิ่งที่ไม่เคยมี อยากเป็นในสิ่งที่ ไม่เคยเป็นอยากปฏิเสธ ในเมื่อความสลายตัวเกิดขึ้น ไม่อยากให้สลายตัว เจ้าความอยาก ทั้ง ๓นี้แหละเป็นผู้สร้างความทุกข์ขึ้นมา ทุกข์นี้จะสิ้นไปได้ก็เพราะเข้าถึงจุดของความดับ คือนิโรธเสียได้

จุดดับนั้นท่านวางมาตรฐานไว้ ๓ ประการ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ที่ท่านเรียกว่ามรรค ๘ ย่อมรรค ๘ ลงเหลือ ๓ คือ ศีล สมาธิ ปัญญานี้ เพราะอาศัยศีลบริบูรณ์ สมาธิเป็นฌาน ปัญญารู้เท่าทันสภาวะความเป็นจริง หมดความเมาในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสและดับอารมณ์พอใจไม่พอใจ เสียได้ ตัดอารมณ์ใจในโลกวิสัยได้ ตัดความกำหนัดยินดีเสียได้ด้วยปัญญาวิปัสสนาญาณ ชื่อว่าเห็นในอริยสัจ ๔ ทำอย่างนี้ คิดอย่างนี้ให้คล่องจนจิต ครอบงำความรัก ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความเมาในชีวิตเสียได้ชื่อว่าท่านได้ วิปัสสนาญาณ ๙ และอริยสัจ ๔ แต่อย่าคิดว่าเราดีแล้วต้องฝึกฝนพิจารณาเรื่อยไป จนตัดสังโยชน์ทั้ง ๑๐ ประการได้แล้วนั่นแหละชื่อว่าเอาตัวรอดได้แล้ว

by admin admin ไม่มีความเห็น

หลวงพ่อเล่าเรื่อง การฝึกเข้านิโรธสมาบัติของท่าน

หลวงพ่อเล่าเรื่อง การฝึกเข้านิโรธสมาบัติ ในขณะไปธุดงค์ภาคอีสาน (ท่านบันทึกเทปเมื่อ วันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๓๔) ดังนี้

“ต่อมาอีก ๒-๓ วัน ทุกวันก็ออกเดินจงกรม เดินจงกรม ก็คือ เดินธรรมดานี่เอง ป่ามันร่มรื่น มันน่าเดินเที่ยวเดินไปไกล ๆ เดินแก้เมื่อย เดินไปเดินมา เดินมาเดินไป จากต้นไม้ต้นนี้ถึงต้นโน้น ต้นโน้นถึงต้นนั้น จะไกลแสนไกลขนาดไหน ก็ไม่มีการรกรุงรัง ไม่มีป่าชัฏ มีแต่ต้นเต็งรัง ยืนเป็นแถวเต็มไปหมด

ปรากฏว่ามาวันหนึ่ง อยู่ได้ประมาณ ๕ วัน เมื่อขณะที่เดินจงกรมไปคำว่า จงกรม ก็เดินแบบธรรมดา ๆ ไม่ใช่ค่อย ๆ ยก ค่อย ๆ ย่าง ไอ้แบบ ค่อย ๆ ยก ค่อย ๆ ย่าง เขาเป็นเกณฑ์บังคับถือว่าเป็นการฝึกเบื้องต้น ทีนี้การฝึกขั้นปลาย เขาใช้เดินธรรมดา เดินธรรมดาให้ใจมันพร้อมไปกับเท้า จิตใจคิดถึงด้านของความดี ไปพร้อมกับเท้าที่ลง 

เมื่อเดินไป ก็ปรากฏว่า พบพระองค์หนึ่ง สูงใหญ่ ห่มจีวรสีกรัก มีย่ามหนึ่งลูก มีบาตรหนึ่งลูก มีไม้เท้าหนึ่งอัน ไม้เท้า ก็คือ ไม้ท่อน ท่านเดินสวนทางมา ไอ้ความรู้สึกมันจะหลอกหรือไม่หลอกก็ไม่ทราบ ความรู้สึกก็นึกว่า พระองค์นี้คงเป็น พระมหากัสสป จิตมันมีความรู้สึกขึ้นเอง พอจิตนึกอย่างนั้น เสียงท่านบอกมา บอก ใช่แล้ว คิดถูกแล้ว ตกใจ เพียงแค่เราคิด ท่านบอว่า ใช่แล้ว ถูกแล้ว ก็นั่งลงกราบท่าน ท่านก็นั่งลง ถามว่า พระคุณเจ้ามาอย่างไรขอรับ ท่านก็บอกว่า ที่มานี่ก็จะมาเตือนน่ะซิ เห็นมาธุดงค์แบบฉัน ฉันก็พระชอบธุดงค์ เธอก็ชอบธุดงค์ จะได้เล่าเรื่องธุดงค์ให้ฟังสักหน่อยหนึ่ง เลยให้ท่านเล่าให้ฟัง

แต่ว่าท่านไม่เล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้ฟัง ท่านบอกว่า การธุดงค์ต้องฝึกเข้านิโรธสมาบัติ พอใช้คำว่า นิโรธสมาบัติ เราก็ตกใจคิดว่า คนอย่างเราไม่สามารถจะทำได้ ท่านบอกว่า คุณอ่านแต่หนังสือไม่เข้าใจ อาจารย์คุณก็ไม่สอน สอนแต่ผลสมาบัติ แต่ความจริง ผลสมาบัติกับนิโรธสมาบัติมันก็คล้ายคลึงกัน แต่ว่านิโรธสมาบัติ เราจะกำหนดเวลายาวหน่อย ผลสมาบัติเข้าตามเวลา ออกตามเวลาเล็กน้อย นิโรธ แปลว่า ดับ สมาธิ แปลว่า เข้าถึงความดับทุกขเวทนา นิโรธสมาบัติ เขามีเขตบังคับว่า ต้องใช้ฌาน ๔ เป็นพื้นฐาน แต่พวกคุณเองก็ชำนาญในฌาน ๔ มาแล้ว ก็ไม่มีอะไรหนักใจ แต่ที่ผมพูดนี่ คุณหนักใจ เพราะว่าคุณไม่เคยทำ ไม่เข้าใจมาก่อน แต่ใช้เวลาน้อย ใช้เวลาเพียง ๑๐ นาที บ้าง ๒๐ นาทีบ้าง ๓๐ นาทีบ้าง

ขณะที่นั่งไป มันไม่รู้สึกปวดรู้สึกเมื่อย จิตสว่างโพลง อย่างนี้ก็เป็นนิโรธสมาบัติ จิตต้องตั้งไว้เพื่อนิพพานโดยเฉพาะ คือว่า จิตตั้งไว้โดยเฉพาะที่ใดที่หนึ่ง จิตแยกจากประสาทเด็ดขาด ไม่รู้เรื่องของร่างกาย เป็นฌาน ๔ อย่างนี้เป็นนิโรธะอย่างหนึ่ง และอีกอย่างหนึ่ง เมื่อจิตเข้าถึงฌาน ๔ แยกออกจากกายแล้ว จิตอารมณ์มีความสงัด หลังจากนั้นก็ท่องเที่ยวไปในภพต่าง ๆ ไปสวรรค์บ้าง ไปพรหมโลกบ้าง ไปนิพพานบ้าง พ้นไปเสียจากร่างกาย ไม่รู้สึกปวดรู้สึกเมื่อย มันก็เป็น นิโรธสมาบัติเหมือนกัน ทั้ง ๒ อย่างนี้จะใช้อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ แต่ว่ากำหนดเวลาว่า เราจะใช้เวลาสัก ๓ วัน หรือ ๕ วัน หรือ ๗ วัน หรือ ๙ วัน หรือ ๑๕ วัน ก็ตามใจชอบ

เลยถามท่านบอกว่า ถ้าอย่างนั้น เวลาออกจากนิโรธสมาบัติแล้ว จะต้องเหาะไปบิณฑบาต ท่านบอกว่า ไม่จำเป็นพวกคุณยังเหาะไม่ได้ ไม่จำเป็นต้องเหาะ ถึงแม้ว่าเหาะได้ ก็ไม่จำเป็นต้องเหาะ ที่เขาเหาะไปแบบนั้น เขาจะโปรดคนจน คนไหนที่ยากจนมาก แต่ว่ามีศรัทธา ถ้าใส่บาตรกับพระที่ออกจากนิโรธสมาบัติ เพียงครั้งเดียวในชีวิต เขาจะเป็นมหาเศรษฐีในวันนั้น แต่นี่เราเข้าเพื่อเราเองไม่จำเป็นต้องเหาะไป พอหลังจากคุณออกจากนิโรธสมาบัติแล้ว เทวดา นางฟ้าก็จะเลี้ยงเอง เวลานี้เทวดา นางฟ้าท่านพร้อมแล้ว ตั้งแต่พรหมลงมา ก็หวังในบรรดาพวกคุณทั้ง ๓ องค์ หวังว่า ต้องการให้คุณทั้ง ๓ องค์ เข้านิโรธสมาบัติ ถามว่า ท่านทำบุญแล้ว ท่านจะมีผลเป็นอย่างไร ท่านบอก ถ้าทำบุญกับพวกคุณแล้ว จะมีรัศมีกายสว่างขึ้นเทวดา กับนางฟ้า หรือพรหมก็เช่นเดียวกัน ใครมีรัศมีกายสว่างมากคนนั้น เรียกว่า มีบุญมาก มีบุญญาธิการมาก

ก็เป็นอันว่า ท่านก็แนะนำว่า วิธีการไม่มีมาก ใช้ตามแบบที่คุณทำอยู่แล้ว อันดับแรก คุณซ้อมน้อย ๆ ก่อน จับตั้งแต่หัวค่ำยันสว่างว่า เราจะไม่ถอนสมาธิ ตั้งใจไว้กำหนดเวลาไว้ ถ้าแสงอรุณขึ้นเมื่อไรให้จิตตกทันที หรือว่าเราจะใช้ ๒ วัน ๓ วันก็ได้ ทีแรก ๆ เอาแค่น้อย ๆ ก่อน เข้ากันทุกวัน พอถึงตอนเย็นปั๊บ อาบน้ำอาบท่าเสร็จเข้านิโรธสมาบัติ เป็นอันว่า ใช้นิโรธสมาบัติตอนกลางคืน กลางวันนอน กลางวันกินข้าวเวลาเดียว เทวดาเลี้ยงแล้ว เราก็นอน ใช้อย่างนี้สะดวกดีหรือถ้านาน ๆ หนัก ๆ เข้า ถ้ารำคาญ วันเดียวไม่เอา ลอง ๒ วัน ลอง ๓ วัน ลอง ๔ วัน ลอง ๕ วัน ลอง ๗ วัน ก็ได้ตามใจชอบ

ก็ยอมรับท่านว่า อย่างพวกผม ๓ องค์นี่ทำได้นะขอรับ ท่านบอกว่า อย่าย้ำซิ ฉันพูดแล้ว ต้องเป็นไปตามนั้นท่านบอกว่า ถ้าอย่างนั้น ฉันก็จะกลับละนะ ฉันหมดห่วง ที่มานี่ห่วงเพียงเท่านี้ สงสารเทวดา นางฟ้าท่าน ท่านพร้อมอยู่แล้ว พวกเราก็มีความรู้ใหม่ว่า การเข้านิโรธสมาบัติก็ไม่จำเป็นต้อง ๗ วัน ๑๕ วันเสมอไป ก็เรียกว่า เข้ากันทุกวัน และมันก็ดีที่สุด พอพลบค่ำปั๊บ อาบน้ำอาบท่าเสร็จ ทำวัตรสวดมนต์เสร็จ ทำวัตรสวดมนต์ก็ใช้เวลาไม่มาก ก็เริ่มเข้านิโรธสมาบัติ จับพั้บ จับอานาปานสติ ก็ไม่ต้องใช้เวลามาก ใช้เวลาเพียงครึ่งนาที จิตก็เข้าถึงฌาน ๔ เต็มกำลัง ในตอนต้น ก็ตั้งอารมณ์เฉพาะจุดก่อน

หลังจากนั้นก็ท่องเที่ยวไปตามภพต่าง ๆ ตั้งใจว่า ถ้าสว่างจะให้จิตตกจากสมาธิ บางทีเราเที่ยวเพลินไป พอจะสว่าง เทวดาก็เตือนว่า สว่างแล้วครับ หลังจากนั้นลงมา เทวดา นางฟ้าก็มาใส่บาตร คราวนี้ท่านไม่แต่งตัวเป็นคนแล้ว ท่านมาเป็นเทวดา เป็นนางฟ้า มีเครื่องเต็มยศออกมาเลย ท่านมากันมาก ข้าวที่ท่านใส่รู้สึกว่ามาก แต่ก็กินพอดีหมดไม่เหลือ

ก็รวมความว่า ทำแบบนี้ตลอดมา ตั้งแต่เดือน ๖ ข้างขึ้นจนกระทั่งถึงเดือน ๘ ข้างขึ้น พอถึงขึ้น ๘ ค่ำเดือน ๘ ก็เดินทางกลับ การเดินทางกลับ บรรดาท่านพุทธบริษัท เขตนี้ทราบภายหลังว่าเป็นเมืองขอนแก่น จากเมืองขอนแก่นมาถึงอำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยานี่ เวลานี้ถ้าเดินกันจะต้องถึงหนึ่งเดือน แต่ว่าพวกเราใช้เวลาเดินแค่ ๓ วัน วันแรกรู้สึกว่าเดินมาเรื่อย ๆ ในป่า วันที่สองก็เดินมาเรื่อย ๆ ตามธรรมดา ๆ กลางคืนก็หลับตามทาง ปักกลด พอคืนที่สาม ปรากฏว่าตื่นขึ้นมาอยู่หลังวัด ไม่ทราบว่ามาได้อย่างไรก็ตกใจ 

ถามท่านอินทกะว่า ทำไมถึงมาถึงได้เร็วอย่างนี้ มันมาอย่างไร เมื่อคืนนี้หลับ ท่านบอกว่า โยมคุณ ท่านเกรงว่า คุณจะเข้าพรรษาไม่ทัน ท่านเลยใช้อำนาจเทวานุภาพ บันดาลให้มาอยู่หลังวัด ก็กราบท่าน เมื่อกราบในที่ว่างก็ปรากฏภาพองค์ท่านขึ้นมาพอดี ท่านบอกว่า คุณทำอย่างนี้ให้ดีทุกปีนะ โยมจะดีใจมาก เทวดา และนางฟ้าก็ดีใจมาก

เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัท เป็นอันว่า เมื่อกลับถึงวัดแล้วก็เข้าพรรษา เวลานี้ เวลาเหลือเพียง ๔๐ วินาที ขอลาก่อน สวัสดี”

หนังสืออ่านเล่น เล่ม ๒๑โดย ส.สังข์สุวรรณ (พระเดชพระคุณ หลวงพ่อพระราชพรหมยาน)

by admin admin ไม่มีความเห็น

ตอน 43

สวัสดีครับ…เชื่อว่าหลายๆท่านลาพุทธภูมิกันแล้วคงจะเบื่อๆเซ็งๆชีวิตกันไม่มากก็น้อย

เป็นเรื่องปกติครับอาการเบื่อๆโลกเนี้ย. ผมนี่เบื่อๆๆๆๆอยากตายยังไงไม่รู้มีความรู้สึกว่าชีวิตจากนี้ไปจะมีเพียงพวกท่านทั้งหลาย บริวารทั้งหมดทั้งสิ้น. ผมรอพวกท่านอยู่ ไม่อยากทำธุรกิจทุกวันนี้แทบไม่ไปทำงานให้เลขาทำแทนทุกอย่าง ยกเว้นเซนต์เอกสารสำคัญ มันเบื่อครับผมว่าลูกน้องมันก็คงเบื่อผมเช่นกัน

เดือนนึงเจอหน้า2วัน ที่เหลือโทรคุย ยังมีภารกิจอีกหลายอย่างในการสร้างเพื่อพระพุทธศาสนา เพื่อพ่อ มีความรู้สึกว่าจากนี้สืบไปเมื่อหน้า. ผมจะมีเพียงพวกท่าน เหลือเพียงพวกท่านหนึ่งใน37สายของหลวงพ่อ

วันนี้ขอกระตุ้นต่อมพวกท่านอีกสักรอบ รีบมาก่อนผมเบื่อจนไม่อยากเจอหน้ามนุษย์ 

พวกเจ้าทุกตัวคนอย่าช้าที. ทั้งหลายทั้งหมดทั้งสิ้นในชมพูทวีป หากชาตินี้เกิดเป็นมนุษย์ มีสติสัมปชัญญะครบถ้วน บริบูรณ์ไปด้วยบารมีที่พึงมีสะสม. ไม่นิยมเกิดมาขี้เหม็นอีก. หากพวกเจ้าได้อ่านบทความแห่งเรา. หากพวกเจ้าได้รับการชักชวน. หากพวกเจ้าเห็นหน้าเราแล้วคุ้นเคยคล้ายรู้จักกันมาแสนนาน. เรา บุตรท่านสัพพเกษี. ขอประกาศให้พวกเจ้าทุกตัวคนที่เป็นบริวารแห่งท่านพ่อ. บริวารแห่งพระศรีอริยเมตไตร. บริวารแห่งเอกะเทวราชกุมาร หากพวกเจ้าได้รับรู้คำประกาศแห่งเราแล้วไซร์. ขอให้พวกเจ้าอดรนทนมิได้. ไม่ว่าพวกเจ้าจะอยู่แห่งใดบนโลก. ขอให้พวกเจ้าดิ้นรนมาพบเรา. ไม่ว่าด้วยทางใด เราจักคอยเจ้าทั้งหมดทั้งสิ้น. พวกเจ้าทุกตัวคนอย่าช้าที มีเวลาไม่มากแล้ว. ชาตินี้จะเป็นชาติสุดท้ายของพวกเรา. เราประสงค์ตามท่านสัพพเกษีเข้าเมืองแก้ว. เราท่านจักไม่กลับมาเกิดอีก. ให้พวกเจ้าเร่งตัดสินใจเพียงไม่ต้องการมาเกิดอีก. เราขอให้คำมั่นอีกครั้ง ว่าเราจะพาเจ้าเข้าสัมผัสกระแสะพระนิพพานด้วยข้า. ไม่ว่าพวกเจ้าอยู่ที่ใดหากเจ้าทั้งหลายเกี่ยวเนื่องกับเราจงไม่รีรอที่จะมาเจอเรา. ข้าพเจ้าขอเทวดา พรหมทั้งหมดทั้งสิ้น หากผู้ใดเกี่ยวเนื่องไม่ว่าด้วยท่านใด ขอเหล่าเทวดา พรหม ดลจิตดลใจให้มาอย่าช้าที…

9-03-2012, 04:51 P.222

น่าปลื้มใจครับไม่ว่าจะเป็นรุ่น4หรือ อโยธยาครั้งที่หนึ่ง มีหลายท่านมาเพื่อกาลนี้โดยเฉพาะขอบคุณในความตั้งใจ ความดีของท่านมีอยู่มาก. หลายประเทศครับ หลายคนถามมามากทำไมต้องเรียก9ทัพ. ทำไมต้องเรียกอโยธยา อโยธยานี่คิดว่่าจากนี้ไปจะจัดปีละ1ครั้ง ส่วน9ทัพเดิมทีตั้งใจไว้9รุ่นแล้วเปลี่ยนชื่อ แหมท่านมาบอกเอาชื่อนี้ดีแล้วก็ตามนั้น

ผมปรารถนาให้ท่านที่มาได้หลายอย่างกลับไปไม่ใช่มาเพื่อลองมาดูว่าเค้าทำอะไรกันผมมั่นใจครับว่่าท่านจะได้กลับไปไม่มากก็น้อย. อีกอย่างที่อยากบอก ผมยังเลวอยู่มาก ไม่ใช่ผู้ปราศจากกิเลส ไม่ใช่ผู้วิเศษ การสอนในแบบของผมต่างจากชาวบ้าน. มันเป็นจริตของผมเองหลายท่านที่ยังไม่เคยมาก็ไตร่ตรองก่อน ผมหามีความสำรวมไม่.บ้าๆบอๆ มาแล้วท่านอาจงงๆ และหนีกลับเหมือนรุ่น3 ที่ขาดการอ่านเรื่องราวความเป็นมาของผม เข้าใจว่าไม่ตรงจริต ถูกชักชวนมา พวกอยากสงบ นั่งเพื่อสงบ อย่ามาเพราะท่านจะไม่สงบ. มันมีแต่สนุก เพลิดเพลิน. แต่ได้สัมผัสของจริงที่เรียกว่าพระนิพพาน. พวกที่มาก็มาแล้วมาอีก พวกนี้มีความเกี่ยวพัน ทุกท่านที่มามีความเกี่ยวเนื่องด้วยทั้งสิ้น. ท่านทั้งหลายคือผู้ทรงความดี. มีนิพพานเป็นเป้าหมาย บารมีท่านพอสมควรแก่นิพพาน. ท่านพ่อไม่ทิ้งพวกท่าน ท่านพ่อให้คำมั่นไว้ท่านทำให้เห็นในทุกรุ่นที่มา. หากจิตท่านทรงศีลบริสุทธิ อารมณ์ใจเป็นทิพย์ ท่านจะทราบว่่าพ่ออยู่กับเราตลอดเวลา. ผมทำเท่าที่ทำได้ ทำเพื่อพ่อ. ผมยอมทุกอย่าง. ขอเพียงท่านตัดสินใจให้เด็ดขาด. หลายคนยังสงสัยครับว่ามาฝึกแล้วเข้าพระนิพพานได้เลยรึ. ผมกล้ายืนยันตามท่านพ่อว่าจะเป็นตามนั้น ผมก็อยากบอกท่านนะครับว่า พ่อเราไม่ธรรมดาท่านรักลูกท่านหลานท่าน ท่านฝากเทวดา พรหม ไว้ให้จดจำลูกหล่นท่านไว้ จิตสุดท้ายก่อนท่านตาย เวลานั้นท่านลืมผมไปนานแล้ว เทวดาพรหมทั้งหลายจะมาหาท่าน มาบอกท่านให้นึกถึงอารมณ์พระนิพพานที่ท่านเคยสัมผัสได้ ให้ท่านนึกถึงอารมณ์พระนิพพาน. ท่านเห็นมั้ยพ่อไม่ทิ้งเรา. พ่อเหนื่อยแต่พ่อก็ทำ พ่อตามแต่พ่อก็ล่อเสียหนัก พ่อเมตตาแต่พ่อก็ดุบ้าง แต่สิ่งที่พ่อไม่เคยเปลี่ยนคือ พ่อรักพวกเรา พ่อรักเราครับ พ่อไม่ทิ้งเรา หลายครั้งผมเสียน้ำตาเพราะท่าน ท่านมามองลูกท่าน ยืนยิ้ม ผมเห็นแค่นี้ก็น้ำตาร่วง. หลายครั้งผมมองหาท่านเวลาที่ผมจะดึงจิตพวกท่านที่มาฝึก ท่านจะอยู่ข้างๆตลอด. บอกผมว่าคนนี้ต้องทำยังไง คนนั้นเป็นยังไง หลายครั้งเห็นท่านกอดลูกท่านผมนี่แทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่. ดีใจปลื้มใจไปด้วย. คำว่ารักยังน้อยไปสำหรับพ่อ แต่พ่อครับไม่มีคำไหนอีกแล้วที่จะดีและมีค่าไปกว่านี้อีก ขอให้พวกท่านตั้งใจรักษาความดีตรงนี้ไว้

อโยธยาครั้งที่1นี้จะเข็มข้น. และสนุก คล้ายงานรวมญาติ คนที่มาในอโยธยาจะเป็นผู้เกี่ยวเนื่องในยุคนั้น. เรามาเพื่อตามพ่อกลับบ้าน เรามาเพื่อเรียนรู้ทางกลับบ้าน. ผมและท่านจะไม่กลับมาเกิดอีก. จงตัดสินใจไว้แบบนี้นะ. เราจะไม่กลับมาเกิดอีก. ร่างกายไม่ใช่ของเรา อีกอย่างนะพวกพม่ารามัญทั้งหลายที่มาเกิดในแผ่นดินสยามประเทศในชาติปัจจุบัน ชาตินี้เราได้ชื่อว่าเป็นคนไทย. ผมอโหสิกรรมให้ทั้งหมดทั้งสิ้น ชาตินี้ไม่มีการแบ่งพรรคแบ่งพวกอีกแล้วหากท่านเคารพพระพุทธเจ้าและรักพ่อเยี่ยงผม ท่านมาได้ครับ ผมไม่ติดใจแค้นเคืองเรื่องเก่าแต่หนหลัง เราจะตามท่านพ่อกลับบ้านกันครับ

แล้วพบกันครับในศึกอโยธยาศรีรามเทพนคร

by admin admin ไม่มีความเห็น

หลวงพ่อสอน เมตตาตัวเราเอง

อันดับแรกก็มาพูดกันถึงว่าการอยากมีสามีอยากมีภรรยา คิืดว่ามันมีความสุข อันนี้เป็นอารมณ์คิด คิดว่าการแต่งงานมันมีความสุข ทีนี้ถ้าเรามีพรหมวิหาร ๔ เราก็มานั่งรักตัวเอง สงสารตัวเองเสียก่อน ว่าการมีคู่ครองจริงๆ คนที่เขามีกันอยู่แล้วน่ะ เขามีความสุขหรือว่าเขามีความทุกข์ ไปนั่งพิจารณาหาความจริงให้พบ สัญญา ความจำของเรามี ปัญญา ความรอบรู้ของเรามี เราอย่ายอมให้จิตโง่เกินกว่ากิเลส อย่าให้กิเลสเข้ามาจูงจิตเราเป็นสำคัญ ต้องหักห้ามกำลังใจ อย่างอาศัยที่เจริญสมาธิจิตโดยใช้อานาปานุสสติเป็นกรรมฐาน เป็นตัวนำ นั่นก็หมายความว่าต้องการให้มีกำลังใจเข้มแข็ง


เรามานั่งดูคู่วิวาห์ที่เขาแต่งงานกัน วันที่จะแต่งงานรู้สึกว่าจะมีความชุ่มชื่นใจมาก มีศักดิ์มีศรี แต่ทว่าก่อนจะแต่ง พอเริ่มรักกันเข้ามาแค่นี้ อารมณ์มันก็เริ่มเป็นทุกข์ ทุกข์เพราะอะไร อันดับแรกจิตเริ่มรัก ยังไม่ได้ตกลงในเรื่งอรักแน่นอน อารมณ์มันก็เริ่มเป็นทุกข์แล้วว่า คิดว่าคนที่เราอยากจะรักเขาน่ะ เขาจะรักเราหรือเปล่า ใจเริ่มไม่สบาย ถ้าเห็นคนที่เราคิดว่าจะรัก หรือกำลังรัก เขาอยู่แต่ยังไม่ตกลงกันเดินไปกับใคร ไปไหนมาไหนกับใคร ดีไม่ดีเขาไปกับพี่กับน้องเขา เราก็คิดเสียว่าบางทีเขาจะไปกับคนอื่นเสียแล้ว เขารักคนอื่นเสียแล้ว อารมณ์มันก็ไม่เป็นสุข

พอตกลงรักกันขึ้นมาได้ ความระแวงระไวมันก็มากขึ้น เกรงไปว่าความรักของเราจะไม่แน่นอน นี่มันเริ่มทุกข์ใจ ไม่สบายนอนไม่หลับ พอเริ่มแต่งงานกันแล้ว อยู่ด้วยกันภาระหนักมันก็เกิดขึ้น กิจการงานต่างๆ ที่เคยเกียจคร้านได้ ไม่ทำอะไรได้ หนาวก็นอน ร้อนก็นอน มีกินแค่นี้ก็พอ ไม่ต้องทำต่อไป แต่พอเริ่มแต่งงานเข้ามันต้องขยันมากขึ้น ทั้งนี้เพราะอะไร ก็เพราะว่าเรามันเป็นคนสองคน นอกจากคนสองคนแล้ว ยังมีญาติทางฝ่ายสามี ญาติฝ่ายภรรยา เพื่อนฝ่ายสามี เพื่อนฝ่ายภรรยา เราก็จะต้องนั่งเอาใจ ฝ่ายละหลายสิบคน นี่เริ่มภาระแห่งความทุกข์เกิดขึ้น นี่ในที่นี้ในเมื่อเป็นคนสองคน คนก็ต้องมีงานหนักมากขึ้น เพราะการจับจ่ายใช้สอยมันก็มากขึ้น และก็ยังต้องเป็นห่วงอารมณ์ซึ่งกันและกัน เกรงว่าจะเป็นที่ขัดเคืองซึ่งกันและกัน ต้องระมัดระวังตัวเองมากขึ้น นี่ความทุกข์มันรัดตัวเข้ามามากทุกที

ต่อมาพอมีบุตรธิดาเกิดขึ้น ตอนนี้สิ ดีไม่ดีกำลังนอนหลับสบายๆ ในยามดึก พ่อเจ้าประคุณร้องขึ้นมาในเวลาดึก ทั้งพ่อทั้งแม่ก็ต้องลุกขึ้นมาทั้งๆ ที่นอนยังไม่เต็มตื่น อาการทางร่างกายจะเปลี้ยเพลียเพียงใดก็ตามที เพราะอาศัยความรักลูกสงสารลูก ก็ต้องทำทุกอย่าง ถ้าลูกเกิดป่วยไข้ไม่สบายขึ้นมายามใดก็ดี ก็ต้องรีบไปหาหมอ การไปหาหมอน่ะ ดีไม่ดีไปกลางค่ำกลางคืนถูกฆ่าตายเมื่อไรก็ได้ และกว่าจะเลี้ยงลูกโตขึ้นมาแต่ละคนต้องใช้กำลังกาย กำลังใจ กำลังปัญญา กำลังทรัพย์เท่าไร ถ้าลูกเป็นคนดีก็รู้สึกว่าจะเป็นที่พอใจ ถ้าลูกเป็นเด็กร้ายอกตัญญูไม่รู้คุณพ่อคุณแม่ มันจะมีสุขหรือมีทุกข์ 

และก็หวนกลับไปอีกที ความรักระหว่างคนที่จะแต่งงานกัน มักจะเพ่งกันอยู่เฉพาะในวัยที่มีความผ่องใส แข็งแรงกระปรี้กระเปร่า แต่ว่าสภาพของคู่แต่งงานทั้งคู่ จะทรงสภาพอยู่อย่างนั้นเป็นปกติหรือว่าเสื่อมลงไป สิ่งที่เรามองเห็นได้ง่าย คนที่เขาแต่งงานมาก่อน อย่างบิดามารดา ปู่ย่า ตายาย ของเราน่ะท่านก็เป็นหนุ่มสาวกันมาก่อน แล้วเวลาที่เราจะเริ่มมีสภาวะพอจะแต่งงานกับเขาได้นี่ ท่านทั้งหลายเหล่านั้น หนุ่มสาวแล้วหรือยัง หรือว่าแก่ไปเสียแล้ว บางรายเราก็เห็นหง่อม ต้องเอาวิสัยของ พระเรวัต มาใช้

by admin admin ไม่มีความเห็น

เรื่องเล่าจากหลวงพ่อฤาษีฯ “เจโตฯของหลวงปู่นาค วัดระฆัง”

เจ้าคุณเทพสิทธินายก(หลวงปู่นาค) วัดระฆัง เป็นคนดีในกรุงเทพฯ ในระยะใกล้ๆ หลวงปู่นาค วัดระฆัง นี่เคยรู้จักกับอาตมามาหลายปี เอาขั้นรู้จักนะ ไม่ใช่ดันไปเป็นเพื่อนกับท่าน

ครั้งหนึ่ง ท่านไปที่วัดบางซ้ายนอก อำเภอเสนา จังหวัดอยุธยา เดี๋ยวนี้เขายกขึ้นเป็นอำเภอบางซ้ายแล้ว อาตมานอนหลับ พอท่านไปถึงท่านก็จับขากระตุก พอลุกขึ้นมาเห็นเป็นหลวงพ่อนาค เลยรีบลุกขึ้นกราบ แล้วปูพรมให้ท่าน อาตมาก็ไม่ใช่พระวัดนั้น จะไปเทศน์ ถึงเวลากลางคืนเขานิมนต์ท่านไปปลุกพระ ปูพรมแล้วท่านก็นั่ง แล้วก็มีพระมหาไว พระครูอดุลย์ อดุลย์วรวิทย์หรืออะไรก็ไม่ทราบ อดุลย์ก็แล้วกัน มหาไวเจ้าคณะอำเภอบางซ้ายคนปัจจุบัน หยิบพระให้องค์หนึ่งเป็นพระทำใหม่ ถามว่าพระองค์นี้เขาปลุกเสกใช้ได้ไหมขอรับ พอท่านหยิบปั๊บท่านก็บอกเลย บอกว่าพระที่ปลุกเสกพระองค์นี้น่ะรูปร่างขาวๆ ท้วมๆ ใช่ไหม อายุประมาณสัก 30 ปี พระครูอดุลย์ก็บอกว่าใช่ ท่านบอกว่า อือ เขาเก่งเหมือนกันนะ เขาเก่งเหมือนกัน ทำหนักไปในด้านคงกระพันชาตรี นี่เป็นจุดหนึ่งของหลวงพ่อนาคนะ เราเล่ากันจุดเล็กๆ ก็แล้วกัน

จุดที่สอง ร้อยเอกไพบูลย์ นายทหารช่าง ช.พัน 1 สมัย ปี พ.ศ. 2502 หรือจะเป็น 2503 ก็ไม่ทราบ ปีนั้นอาตมาไปพักฟื้นที่วัดชิโนรสาราม จังหวัดธนบุรี หลังกองเรือเล็ก กองทัพเรือ ร้อยเอกไพบูลย์ก็ไปบวชอยู่ด้วย เวลาบวชก็อยากเจริญกรรมฐาน ก็สอนให้ตามแบบฉบับเท่าที่รู้ ความจริงก็ไมได้รู้มากนัก พอรู้บ้าง ไอ้รู้บ้างก็ไม่ใช่ว่ารู้ดี เท่าที่มีความรู้ก็สอนไป

แกนั่งปั๊บคืนแรก เห็นคน 3 คน มายืนดำ ตัวใหญ่อยู่ข้างๆ ความจริงอาตมานั่งอยู่อีกห้องหนึ่งก็เห็นเหมือนกัน รู้ว่าเพื่อนเก่าของร้อยเอกไพบูลย์มาเยี่ยม เพราะตัวแกดำๆ แกเคยเป็นกุมภัณฑ์ ตอนเช้าแกก็รายงานเรื่องการเห็นให้ทราบ ไม่เป็นไรหรอก เพื่อนเขามาคุ้มครอง แกก็กลัว คืนที่ 2 ทึ่ 3 แกก็ยังแสดงความกลัว ก็เลยนึกว่านี่ท่าจะไม่เป็นเรื่อง ถ้าขืนกลัวหนักๆ ประสาทจะแย่ ดีไม่ดีจะเป็นบ้าเอา พูดเท่าไรแกก็ไม่เชื่อแล้ว ก็เลยบอกว่าเอายังงี้ก็แล้วกัน คืนที่ 4 นี่ หาดอกไม้ธูปเทียนเข้าไปหาหลวงพ่อนาค วัดระฆัง เพราะในพรรษานั้นท่านสอนพระกรรมฐาน ตอนค่ำก็ไปนมัสการท่านก่อนสองทุ่ม เวลาสองทุ่ม ท่านลงมือให้นักปฏิบัติกรรมฐานเจริญกรรมฐาน

เวลาทุ่มเศษๆ ก็ไปพบท่าน เลยบอกร้อยเอกไพบูลย์ เป็นพระแล้ว เข้าไปนมัสการ พอส่งพานให้ท่าน พอกราบเงยหน้าขึ้นมาท่านก็บอกเลย จะไปกลัวทำไมผี ไอ้ 3 คนที่มันมายืนอยู่ข้างๆ นี่มันเพื่อนเก่าของเรานี่ เขามายืนอารักขารักษาความปลอดภัยให้ ไม่น่าจะกลัว ต่อจากนี้ไปไม่ต้องกลัวนะ เรามีครูบาอาจารย์ ( เวลานั้นถือฉันเป็นครู ) ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งหมด เราจะได้ดีนะ ทำให้ดีจะได้ดี นี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ท่านรู้ เอาเรื่องที่ท่านรู้โดยไม่ต้องบอกมาคุยกัน ท่านจะรู้เพราะอะไรก็ช่าง

ตานี้มาอีกเรื่องหนึ่ง เรื่องรถนายทหารหาย นายทหารคนนี้ก็เป็นทหารผู้ใหญ่แล้ว ไม่เอาชื่อมาคุยดีกว่า เป็นอันว่าเรื่องก็มาจากร้อยเอกไพบูลย์ เหมือนกัน ร้อยเอกไพบูลย์ มารายงานให้ทราบบอกรถเจ้านายหาย ไปดูหนังที่โรงหนังสือคิงส์หรือแกรนด์ก็ไม่ทราบ เป็นรถประจำตำแหน่ง ไม่ทราบว่าไปไหน เขาบอกให้ดูให้ด้วย เลยบอกว่า ถ้าหลวงพ่อนาคยังมีชีวิตอยู่ ฉันจะไม่ยอมพยากรณ์ ข้าวของดีๆ มีค่าสูงยังมีอยู่ละก็ไอ้ของญี่ปุ่นไม่น่าจะขาย ไม่น่าจะโฆษณา อ้าว ไม่ได้แอนตี้ของญี่ปุ่นกะเขานา นี่เปรียบเทียบให้ฟัง ของเยอรมันทำของแข็งแรง ของญี่ปุ่นทำของไม่แข็งแรง ขายราคาถูก ก็แบบความรู้ของอาตมากับความรู้ของหลวงพ่อนาค ความรู้ของหลวงพ่อนาคเหมือนของเยอรมัน แข็งแรงมั่นคง ของดีจริงๆ ไอ้ของอาตมานี่มันของญี่ปุ่นใช้อะไรไม่ค่อยได้ บางมันก็ดีแต่ไม่ดีเสียมากกว่าดี ก็เลยบอกว่า ถ้าหลวงพ่อนาคยังมีชีวิตอยู่ ฉันไม่ดูให้แก แกไปหาหลวงพ่อนาค ก็ไปหาหลวงพ่อนาคกัน พร้อมกับจ้าวนายของเขาเอาดอกไม้ธูปเทียนไป พอประเคนดอกไม้ธูปเทียน 2 คน ก็กราบ กราบพอเงยหน้าขึ้นมาท่านก็พูดเลยว่า ไอ้รถของคุณน่ะ ไม่ต้องไปวิตกกังวลหรอก พรุ่งนี้เวลาประมาณสักบ่าย 5 โมง จะมีตำรวจเอามาส่งให้ ตำรวจเขาจับไว้ ทางด้านสายเหนือของจังหวัดพระนคร เลี้ยงดูกันตามสมควร คือเราขอบใจเขา พอพูดจบท่านก็ถามว่าเออ ขอโทษเถอะไอ้ฉันมันคนแก่พูดเลอะเทอะไปนี่มาธุระอะไรกันนี่ พอเท่านั้นแหละ พ่อเจ้าประคุณ 2 คน ก็บอกว่าจบเรื่องแล้วขอรับหลวงพ่อ เรื่องนี้ก็มีแค่นี้นะ ฟังแค่นี้แล้วก็คิดไว้ด้วยว่าท่านรู้แบบไหน นี่ไม่บอกให้ฟังเพราะเป็นเรื่องเล่าให้ฟัง

แล้วก็มีอีกตอนหนึ่ง นายตำรวจสมัย คุณเผ่า เวลานี้ยังรับราชการอยู่ เป็นนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่แล้วไม่ออกชื่อหรอก ประเดี๋ยวแกจะว่าเอา ออกชื่อไม่ได้ สมัยนั้นเป็นร้อยตำรวจโท พระของแกหาย พระพุทธรูปขนาด 5 นิ้ว ราคาก็ร้อยกว่าๆ แต่ว่าคนไปล้วงคองูเขียวตายเข้านี่มันโมโห ที่เรียกว่างูเขียวตายเพราะอะไร เพราะเวลานั้น แกไปรับราชการไปทำงาน ไปอยู่เวรที่โรงพัก ทีนี้พระอยู่ที่บ้าน คนขโมยที่บ้าน จะหาว่าแกเผอเรอไม่ระมัดระวังไม่ได้ เพราะแกไม่ได้อยู่ ก็เหมือนกับงูเขียว แต่ว่าตายแล้ว เพราะบ้านมันจะคุ้มครองอะไรได้

เมื่อพระแกหายก็มาถาม แกถามว่าพระของผมใครลักเอาไปขอรับ ก็เลยบอกว่าคุณจะมาถามอะไรฉัน ในเมื่อพระของคุณหาย แล้วอีกประการหนึ่งท่านที่มีความรู้ดีกว่าฉัน คือหลวงพ่อนาค ถ้าคุณอยากจะรู้คุณไปถามหลวงพ่อนาคก็แล้วกัน แล้วคุณจำไว้นะ ถ้าหากว่าหลวงพ่อนาคยังมีชีวิตอยู่เพียงใด ถ้าหากว่าคุณมีความขัดข้องใดๆ ก็ตาม ถ้ามาถามฉัน ฉันจะไม่บอก เพราะว่าหลวงพ่อนาคดีกว่าฉันหลายล้านเท่า ไปหาหลวงพ่อนาคก็แล้วกัน เป็นอันว่าแกก็ไปหาหลวงพ่อนาค

พอเอาดอกไม้ธูปเทียนไป ก็กราบ เจตนาของแกมีอยู่ว่า ถ้าแกรู้ตัวเมื่อไรแกจะยิงทิ้งทันที ในฐานะที่ย่องมาล้วงคองูเขียวตาย คือบ้านคำว่างูเขียวในที่นี้หมายถึงบ้านแล้วก็ตาย เพราะบ้านมันพูดไม่ได้มันเลื้อยไม่ได้ เหมือนกับงูเขียวตาย ไม่มีพิษ แต่ว่าเจ้าของพระเป็นงูเห่าแล้วก็มีพิษมาก อาตมาก็ทราบเจตนาของแก สีหน้าของแกบอกอาการของแกบอก คิดว่าอีตานี้ถ้ารู้ตัวเมื่อไรแกยิงทิ้งแน่ เพราะสมัยนั้นเป็นสมัยยิงทิ้ง

แกกราบลงไป 3 วาระ พอเงยหน้าขึ้นมา หลวงพ่อนาคหรือท่านเจ้าคุณเทพสิทธินายก องค์เดียวกันก็บอกว่า คุณ คุณจะไปฆ่าจะไปแกงเขาทำไม คุณคิดจะไปฆ่าเขานะประโยชน์มันดีที่ไหน พระพุทธรูปองค์เดียวราคา 100 กว่าบาท เวลานี้คุณเป็นร้อยตำรวจโทกินเงินเดือนเท่าไร แล้วต่อไป ถ้าคุณยังไม่ออกคุณอาจจะได้เลื่อนยศเป็นนายพันนายพลก็ได้ แล้วเงินเดือนมันเดือนละเท่าไร ถ้าคุณไปฆ่าเขาตายบังเอิญเขาต่อสู้ หมายความวาญาติของเขาฟ้องร้องขึ้นมา คดีถึงโรงศาลคุณก็จะติดคุกติดตะราง เมื่อเวลาคุณติดคุกติดตะรางน่ะ เงินเดือนจะได้หรือเปล่า เงินเดือนมันก็ไม่ได้ ศักดิ์ศรีของคุณก็เสียไป อนาคตก็ถูกบั่นทอน แล้วลูกเมียข้างหลังก็จะมีแต่ความลำบาก จะหากินเองมันจะสะดวกที่ไหน นี่คุณคิดไม่ถูกนี่ พระราคา 100 กว่าบาท แล้วคุณคิดจะฆ่าเขานอกจากนั้นคุณตายแล้ว คุณยังจะต้องตกนรกอีก เมื่อเราอยากได้พระใหม่ เราก็ไปซื้อมาใหม่ มันก็หมดเรื่องกันไป ท่านพูดมากกว่านี้นา แนะนำถึงเรื่องสวรรค์เรื่องนรกอยู่นาน ประมาณค่อนชั่วโมง

เมื่อพูดจบ ท่านก็ถามว่าขอโทษเถอะคุณ คุณมาธุระอะไร ฉันน่ะเป็นคนแก่นะ พูดเลอะๆ เลือนๆ แบบนี้ บางทีใครเขามาก็พูดส่งเดชไปตามอารมณ์คนแก่นะคุณนะ อย่าถือสาหาความกันบคนแก่เลย พ่อเจ้าพระคุณ ร้อยตำรวจโทคนนั้น เวลานี้เป็นนายพันแล้ว ใครก็ช่างแกก็เลยกราบอีก 3 ครั้ง บอกหลวงพ่อขอรับ เรื่องที่ผมต้องการจะรู้น่ะ จบไปแล้วขอรับ ที่หลวงพ่อพูดน่ะ ตรงตามความเป็นจริง ท่านก็บอก เอ๊อะ ยังงั้นเรอะ ขอโทษเถอะ ไอ้ฉันคนแก่มันก็พูดส่ง บางทีนั่งอยู่คนเดียวมันก็พูดนาคุณนา ไม่ได้พูดแต่กับคุณหรอก เวลาเห็นใครเขาบางทีมันก็นึกอยากจะพูดส่งไปยังงั้นแหละ แต่หลายคนเขาก็พูดว่าไอ้ที่พูดน่ะมันตรงตามความเป็นจริง ไอ้ธุระที่เขามามันก็หมดไป ฉันว่ามันก็เป็นเรื่องบังเอิญนะ นี่เป็นเรื่องของหลวงพ่อนาคตอนหนึ่งนะ ท่านผู้ฟัง ท่านจะคิดว่าหลวงพ่อนาคท่านรู้เรื่องยังงี้ได้ด้วยอะไร ด้วยญาณหรือเดาก็ตามใจเถอะ ไม่ได้ว่าอะไรนะ นี่มาเล่าสู่กันฟังเท่านั้น

ตานี้มาคุยกันต่อไปถึงเรื่องของหลวงพ่อนาค ก็คือพระลงอเวจี พระองค์นี้ก็ออกชื่อไม่ได้เหมือนกัน ถ้าออกชื่อเมื่อไรอาตมาเห็นจะติดตะรางเมื่อนั้น เพราะลูกศิษย์เยอะเหลือเกิน พระที่วัดไหน จังหวัดไหน ก็ไม่บอกอีกเหมือนกัน ถ้าใครขืนเดา เดาผิดแล้ว จะมาโทษกันไม่ได้นะ ไม่ยอมรับ บอกไว้ก่อนนะว่าไม่ยอมรับ เรื่องนี้ไม่รับ ใครอย่ามาถามเลยยันตาย ไม่พูดหรอก ถ้าขืนพูดเมื่อไรมันตายก่อนเวลา ไม่เอาแล้วเรื่องจริง

เรื่องก็มีอยู่ว่าวันหนึ่งมีอาจารย์วิปัสสนา สมัยโน้น สมัยยังไม่ถึงกึ่งพุทธกาล ท่านมีชื่อเสียงโด่งดังมากสมัยนั้น สมถะ วิปัสสนาเพิ่งจะก้าวขึ้นสู่ระดับตาของชาวโลก ความจริงสมถวิปัสสนามาตรฐานนี่มีมานานแล้ว ตั้งแต่พระพุทธเจ้าทรงอุบัติ หรือก่อนพระพุทธเจ้าทรงอุบัติ แล้วพระพุทธเจ้าก็มาคิดใหม่ ค้นคว้าใหม่ ได้อริยสัจแล้วก็สอนกันเรื่อยมา ยังระบบนิพพาน ต่อมาเมื่อพระพุทธเจ้านิพพานแล้วก็สอนกันเรื่อยมา แล้วมาหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็เกิดมีวิปัสสนาเบสิคเกิดขึ้นอีกหน่วยหนึ่ง แต่ท่านก็เรียกว่าวิปัสสนาเหมือนกัน อันนี้สำหรับผลอาตมาจะไม่พยากรณ์ เพราะว่าไม่ได้เข้าไปร่วมสำนัก จะถือว่าไม่มีผลน่ะไม่ได้ ความจริง การเจริญวิปัสสนาย่อมเป็นไปตามอัธยาศัยของบุคคล จะทำให้เหมือนกันน่ะมันไม่ได้ แบบเดียวกัน แต่พลิกแพลงไปคนละจังหวะกัน เหมือนกัน ได้ผลดีเหมือนกัน อย่าไปโทษกันนะ นักวิปัสสนา ถ้าทำไม่เหมือนกันละอย่าไปว่าเขาผิด อย่าไปว่าเขาถูก ปล่อยเขา เพราะเรื่องผลมันเป็นปัจจัตตัง รู้เอง แล้วการบรรลุมรรคผล มีกิริยาไม่เหมือนกัน อย่างแม่ชีคนหนึ่ง ไม่ใช่นางภิกษุณี ฟังเทศน์มาเกือบล้มเกือบตายไม่ได้อรหัตผล พอกลับมาถึงกระท่อม ตักน้ำล้างเท้าก่อนจะขึ้นกระท่อม น้ำไหลไปแล้วก็หยุด แล้วมองดูน้ำ นึกว่าชีวิตเรากับน้ำมีสภาพเหมือนกัน เมื่อมีการเคลื่อนไปในที่สุดก็หยุด ไม่ช้าเราก็ตายเราจะเกิดสักกี่ชาติก็มีสภาพเป็นแบบนี้ เท่านี้ท่านก็บรรลุอรหันต์ พระบางองค์ฟังเทศน์เกือบตายไม่ได้สำเร็จอรหันต์ ไปนั่งดูพยับแดด พอตอนเย็นพยับแดดหายไป สำเร็จอรหันต์ เห็นเป็นอนัตตาเทียบกับตัว นี่การเป็นอรหันต์บรรลุมรรคผล มีจริยาท่าทางไม่เหมือนกัน แต่กำลังจิตเหมือนกัน ฉะนั้นอาการของการเจริญวิปัสสนาแต่ละสำนักไม่เหมือนกัน แต่ถ้าใช้กำลังจิตถูกต้อง ตรงกับที่พระพุทธเจ้าแนะนำ ก็เป็นอันว่าใช้ได้ ฉะนั้นวิปัสสนาแบบเบสิค แบบไหนก็ช่าง ใครเป็นอาจารย์ก็ช่าง ใครเป็นต้นคิดก็ช่าง ไม่พูดให้ฟัง ท่านจะมีผลเป็นยังไง ท่านก็สอนกับท่านผู้เจริญเท่านั้นจะทราบผล พวกเราทุกคนภายนอกจะรู้ผลไม่ได้ ฉะนั้นอย่าไปประณามกัน ว่าของคนนั้นไม่ดีของคนนี้ไม่ดี ดีเหมือนกัน อย่างน้อยที่สุดก็ดีที่เคยเจริญ มีจิตตกอยู่ในสันโดษ ถ้าว่านั่งทำตัวเป็นตัวเองอยู่สักพักหนึ่งก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำเลย

ตานี้มาว่ากันถึงอาจารย์ผู้นี้ ท่านเป็นอาจารย์สอนวิปัสสนาแบบเบสิค สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ท่านเริ่มต้นก่อน หรือใครจะก่อนท่านก็ไม่ทราบ รู้ว่าองค์นี้มีชื่อเสียงฟุ้งขจรไปมาก ต่อมาท่านก็ตาย เรื่องธรรมดาตาย ไม่ใช่ของผิดธรรมดา คนเกิดมาแล้ว ไม่ตายไม่มี เมื่อตายแล้วเขาก็ทำศพ มีนายทหารเรือหลายคนไปนั่งอยู่ แล้วมีนายทหารเรือบางท่านบวชเป็นพระ อาตมาก็ย่องไปกับเขาเหมือนกัน แต่ว่าไม่ได้ไปในฐานะบังสุกุลหรือพระเทศน์ ไม่ได้สตางค์คราวนั้น ผีพระองค์นี้ไปแล้วก็จน ไม่ได้เงินมา ก็มีหลายพันผีที่ไปแล้วได้เงินมา แต่เพราะอาศัยได้เงินผีได้ของผีมาใช้ เลยไม่ช้าอาตมาก็เป็นผีเหมือนกัน เพราะดันไปใช้ของผีเข้า กินข้าวในงานผี ใช้ผ้าเขาเผาผี เขาถวายผ้าไตร เงินในงานของผีเขาติดกัณฑ์เทศน์ ค่ามาติกา บังสุกุลเขาถวาย ขืนใช้เข้าไปชื่อผีมันก็ติดมากลายเป็นผีไปหลายครั้งแล้ว

เมื่อปี พ.ศ. 2515 หามตัวเข้าโรงพยาบาล ไม่กินข้าวไม่กินน้ำมา 9 วัน เกือบเป็นผี แต่ความจริงถ้าเป็นผีเสียตอนนั้นน่ากลัวมันจะสบาย เพราะอะไร เห็นที่อยู่สวยแจ๋วเทียว สวยกว่าการตายทุกครั้งหมด แต่คราวนี้ไม่ทันตาย ใจมันเห็น แหมมันสวยจริงๆ อยากไปอยู่จัง ช่างเถอะจะไปอยู่เมื่อไหร่ก็ช่าง ไม่ดิ้นรน เพราะมีความหวังอยู่แล้ว

ตานี้เมื่อพระองค์นั้นตาย อาตมาก็ไป ไปฐานะไปเผาพระ มีนายทหารเรือคนหนึ่ง ตอนนั้นเป็นเรือเอก ชื่อเรือเอกเสงี่ยม จำนามสกุลไม่ได้เสียแล้ว แกบวชพระแล้วก็นั่งอยู่ใกล้หลวงพ่อนาค พอนั่งใกล้ๆ แล้วก็ถามหลวงพ่อนาคว่า หลวงพ่อนาคขอรับ ท่านองค์นี้ตาย เขาจัดศพเป็นงานใหญ่ หลวงพ่อมีความรู้สึกเป็นยังไงขอรับ หลวงพ่อนาคก็บอกว่าเอ๊อะ ข้าจะมีความรู้สึกยังไง ก็ในเมื่อคนมันไปอเวจีเสียแล้ว อาตมานั่งรองลงมาข้างท้ายก็สงสัย ท่านบอกว่าคนนี้ไม่ใช่พระ ก็ยกมือพนมกราบเรียนถามท่านว่า หลวงพ่อหมายถึงใครขอรับ คำว่าคนไปอเวจีน่ะ ท่านก็เลยตอบว่า ไอ้คนที่เขาจัดงานศพวันนี้น่ะซิไปอเวจี ก็เลยกราบเรียนท่านว่า หลวงพ่อเป็นพระนะขอรับ ไม่ใช่คน ท่านบอกว่าพระเมื่อไร ข้าเรียกคนนี่ยังสูงไปแล้วนา แต่ความจริงมันเป็นสัตว์นรกมาตั้งแต่ก่อนตาย ไอ้คนเราจะตาย จะเป็นพรหมต้องเป็นพรหมก่อนตาย ถ้าจะเป็นเทวดาก็ต้องเป็นเทวดาก่อนตาย จะเป็นสัตว์นรกก็เป็นสัตว์นรกก่อนตาย ใครจะไปนิพพานก็เข้าถึงนิพพานก่อนตาย ก็เจ้านี่มันเป็นสัตว์นรกก่อนตาย นี่ไปอเวจีแล้ว เสร็จกัน แล้วท่านก็เผา

เมื่อเขาเผาเสร็จ เอาดอกไม้จันทน์ไปใส่แล้วก็กลับมา กลับมาที่กุฏิ พวกคณะนายทหารเรือด้วยแล้วก็มีคนหลายคนตามหลวงพ่อนาคมา เมื่อท่านนั่ง พวกเราก็กราบอีกวาระหนึ่ง เพราะมีความเคารพเต็มที่ สำหรับหลวงพ่อนาคนี่ อาตมามีความเคารพเต็มที่ หมายความว่า เคารพหมดตัว ไม่มีเหลือ ไม่เคยนึกตำหนิว่า ตรงไหนของท่านไม่ดี ไอ้ร่างกายน่ะไม่ดีจริง แต่ด้านจิตใจของท่านดีจริงๆ หายาก ไหว้มานานเรียกว่าไหว้ตั้งแต่ก่อนออกจากรุงเทพฯ ไปอยู่ต่างจังหวัด องค์นี้เต็มใจไหว้ แต่งบางคนที่มียศใหญ่ บางทีไหว้นิดเดียว ยกมือขึ้น 10 นิ้ว แต่ว่าให้นิ้วเดียว ทั้งนี้เพราะว่าอะไร เพราะว่าเกรงใจ ยศใหญ่แต่ใจสกปรก สำหรับท่านที่มียศใหญ่แต่ใจสะอาดก็มีเยอะ อันนี้ไหว้หมด 10 นิ้ว แล้วก็แถมหัวด้วย เป็นอันว่าเมื่อท่านมาแล้ว ถึงกุฏิก็กราบ กราบแล้วก็คุยกัน คุยหลายเรื่อง แต่ไม่ใช่เรื่องพระองค์นั้น คุยไปคุยมาก็เลยถามว่าหลวงพ่อขอรับ หลวงพ่อตายแล้วไปไหน ข้าจะไปรู้หรือหว่า นี่ข้ายังไม่ตายนี่ เลยกราบเรียนท่านว่าคนอื่นเขาตายหลวงพ่อรู้นี่ว่าไปอเวจี แล้วหลวงพ่อตายแล้วหลวงพ่อจะไปไหนล่ะ ท่านก็บอกข้ายังไม่ตายนี่ ข้ายังไม่รู้ บอก ต้องรู้ขอรับ หลวงพ่อบอกนี่ ว่าตายแล้วจะไปเป็นพรหมก็ต้องเป็นพรหมก่อนตาย ถ้าจะเป็นเทวดาก็ต้องเป็นเทวดาก่อนตาย ถ้าจะไปนิพพานก็ต้องเห็นนิพพานก่อนตาย จะลงนรก อบายภูมิ เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน ก็ต้องถึงสภาพอย่างนั้นก่อนตาย ตานี้ผมถามหลวงพ่ออีก ก่อนตายนี่หลวงพ่อไปไหน แล้วก็เวลาตายแล้วหลวงพ่อจะไปไหน ท่านก็นั่งมองหน้า บอก แหม ไอ้นี่มันปากตะไกรจริง อาจารย์มันถึงเรียกไอ้ลิงดำ มันไม่ใช่ปากคน ปากลิง บอกดีขอรับปากลิงกินได้ทุกอย่าง ท่านก็หัวเราะชอบใจ บอกเอางี้ก็แล้วกันนะ ถามว่าเอาไงขอรับ เอางี้ เจ้าคุณธรรมพี่ชายข้านา คำว่าพี่ชายอาจจะไม่ใช่พี่ตัวก็ได้ เพราะว่าเป็นคนรุ่นก่อน เรียกว่าบวชก่อนเจ้าคุณธรรมนี่ เวลาท่านจะตาย ท่านเจ็บหนัก ท่านได้อรหัตผลตอนนั้น แล้วก็เวลาท่านตายท่านก็เลยไปนิพพาน แล้วข้าไปไหนข้าไม่รู้ว่ะ เวลาตายข้าจะไปไหนข้าไม่รู้ ก็เลยกราบเรียนท่านว่าคนที่จะรู้ว่าคนอื่นได้ฌานสมาบัติขนาดไหนก็ดี หรือเป็นพระอริยเจ้าอันดับไหนก็ดี ถ้าตัวเองเข้าไม่ถึง ตามพระไตรปิฎกท่านบอกว่าไม่รู้ เหมือนกับคนเรียนหนังสือ คนเรียนประถมปีที่ 1 จะไปรู้เรื่องของประถมปีที่ 4 ไม่ได้ พวกเรียนประถมปีที่ 4 จะรู้เรื่องของชั้นมัธยมไม่ได้ คนที่เรียนชั้นมัธยมจะไปรู้เรื่องตามหลักวิชาการของคนที่เรียนมหาวิทยาลัย ไม่ได้ นี่กฎของความจริงเป็นยังงี้ แล้วถ้าหลวงพ่อไม่เป็นอรหันต์ แล้วจะรู้ว่าเจ้าคุณธรรมเป็นพระอรหันต์ได้ยังไง ท่านบอกกูไม่รู้โว้ย ก็นึกเอายังงั้นนี่หว่า นึกว่าท่านเป็นพระอรหันต์อีตอนใกล้จะตาย พ่อเล่นไม่ตายแบบนี้ พ่อเอาหัวขนเอาเฉยๆ 

ก็เป็นอันว่าเรื่องของหลวงพ่อนาคสำหรับวันนี้นะยุติกันเพียงเท่านี้ ต่อไปนี้เริ่มชั่วโมงใหม่ 

วันนี้วันที่ 5 กุมภาพันธ์ ตอนเที่ยงวันนี้จะไปหาหมอ บอกไว้ด้วย ร่างกายมันไม่ค่อยดี ช่างมันเถอะ แต่ว่าท่านเจ้ากรมเสริมแกเอาการบ้านมาให้ก็เลยทำส่งไป ทำการบ้านแบบนี้ ความจริงมันก็เป็นปฏิปักษ์กับโรคที่มันเป็นอยู่เหมือนกัน แต่ก็ไม่เป็นไร มันใกล้จะจบแล้วก็ดี เจ้ากรมเสริมเป็นคนช่างจำดีมาก ไอ้เรื่องแบบนี้มันเรื่องเบาสมอง ฟังแล้วไม่ต้องคิด อ่านแล้วไม่ต้องคิด เป็นนิทานเล่าสู่กันฟัง

เรื่องของหลวงพ่อนาค เขียนไว้อีกข้อเดียว คือเรื่องดูใจเวลาปลุกพระ นี่เรื่องมันเกี่ยวกันกับอาตมา ต้องขอประทานโทษบรรดาท่านผู้อ่านหรือท่านผู้ฟัง เมื่อฟังแล้วอ่านแล้วก็อย่าคิดว่าอาตมาเป็นผู้วิเศษ อย่าคิดยังงั้นนะ จงคิดเสียว่าอาตมาก็เป็นเถรหัวล้านธรรมดาๆ ไม่มีอะไรดีกว่าท่านผู้ฟัง เกิดแล้วก็แก่ แก่แล้วก็เจ็บ เจ็บแล้วก็ตาย กินแล้วก็ขี้ ตื่นแล้วก็หลับ ธรรมดา ปวดเมื่อยไม่สบาย ปวดฟันตาฟ้าหูฟางเหมือนกัน พูดจาเอะอะโวยวายหยาบคายก็ได้ พูดนิ่มนวลก็ได้ ทำท่าเป็นผู้ดีก็ได้ ทำท่าเป็นสิงห์หน้าพลับพลาก็ได้ ทำเป็นหมาเห่าชาวบ้านก็ได้ เป็นทุกอย่าง ไอ้ที่ทำอย่างนั้น เพราะใจมันเป็นอย่างนั้น ไม่เหมือนหลวงพ่อนาค ท่านดีจริงๆ เลยยอมรับนับถือท่าน

มาครั้งหนึ่ง ที่วัดชิโนรสาราม ธนบุรี ตอนนั้น สมัยนั้น เจ้าคุณสุวรรณเวที(ทองดี) อดีตเป็นพระของวัดระฆังมาเป็นเจ้าอาวาส ท่านก็ทำพิธีพุทธาภิเศก ปลุกพระเรียกว่าบวชพระพุทธเจ้า พระเครื่องนี่เขาทำรูปเปรียบพระพุทธเจ้าบ้าง บางทีก็ทำรูปเปรียบของพระสงฆ์ แต่วันนั้นทำรูปเปรียบเฉพาะพระพุทธเจ้า ก็เลยเรียกว่าไปบวชพระพุทธเจ้ากัน ปลุก ไม่ใช่บวชกระมัง ท่านกำลังหลับ ไปปลุกให้ตื่น ท่านมีหน้าที่ปลุกเขานิมนต์มา 9 องค์ พระอะไรบ้างก็ไม่ทราบ แต่เท่าที่รู้จักมีอยู่หลายองค์ แต่พูดถึงอยู่ 2 องค์ คือ หลวงพ่อนาค กับพระครูธรรมาภิราม พระแขนสั้นแขนยาวนครปฐม นอกนั้นที่รู้จักก็มีชื่อเสียงโด่งดังเหมือนกัน ในสมัยนี้ก็โด่งดัง สมัยนั้นก็โด่งดังอีก 7 องค์ แต่ไม่พูดถึงหรอก คือพูดถึงไม่ได้ เดี๋ยวจะถูกด่า เวลาท่านปลุกพระ สำหรับพระครูธรรมาภิราม รู้จักอาตมาดี อาตมาเรียกหลวงน้า พอเจอะท่านเข้าก็คุยตามแบบฉบับ ทีแรกก็ทำท่าเป็นพระติ๋มๆ เพราะไม่เคยรู้จักใคร พออาตมาเข้าไปก็เลยออกท่าตามแบบฉบับ ออกท่าอะไรทราบไหม ท่าลิง ก็ไปยั่วท่านด้วยอาการต่างๆ ท่านก็ทำโน่นทำนี่ ชาวบ้านเขาก็เลยรู้สึกว่าท่านจะล่อกแล่กไปหน่อย ก็เลยบอกว่าหลวงน้า ไอ้แก้วน้ำน่ะ มันอยู่ไกลผม หลวงน้าช่วยหยิบมาให้ทีเถอะ ท่านบอก เฮ้ย แขนกูหยิบไม่ถึงนี่หว่า ก็เลยบอก เอ๊อะ พระจะปลุกพระนี่ เอาพระที่ไม่มีฤทธิ์มามันก็เสีย เสียของเปลืองที่ ไม่เอา ถ้าหยิบแก้วน้ำไม่ได้ก็นิมนต์กลับวัด ไม่มีประโยชน์ พระแบบนี้ ความจริงตอนนั้นพระคณาจารย์หลายองค์ก็นั่งอยู่ด้วย แต่เราไม่เกี่ยว เราคุยกับน้าชาย ท่านบอกไอ้นี่มันดูผิดคนนี่หว่า หนอยแน่มันดูถูกนี่หว่า หาว่ากูหยิบไม่ได้เรอะ ก็ตอบว่าไม่ได้ดูถูก แต่ว่าหยิบไม่ถึง นิมนต์กลับวัดเลย เอามารกที่ พระประเภทนี้ เสียศักดิ์ศรีครูบาอาจารย์ นี่เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อปานนะ แล้วก็เป็นหลานชายหลวงพ่อปานด้วยนะ ไม่ใช่ลูกศิษย์อย่างเดียว มองหน้าเป๋ง เออ มึงดูถูกกู กูก็เอาได้วะ เรื่องอะไร ท่านก็ยื่นแขนซ้ายออกไปมันก็ไม่ถึง เลยเอาแขนขวาตบตรงข้อศอก บอกแขนยาวออกไปซิหว่า ไอ้แขนมันค่อยๆ ยาวออกไปๆ ความจริง ไอ้แก้วน้ำตั้งอยู่ห่างสุดแขนท่านสักเมตรหนึ่งเห็นจะได้หรือเมตรเศษๆ ในที่สุดท่านก็หยิบแก้วน้ำมาส่งให้ คนพวกนั้นมองกันตาตั้งหมดแปลกใจว่าพระทำได้ ท่านก็บอก ไอ้นี่มันเป็นยังงี้ละ ถ้าไปเจอะมันเข้าทีไรมันทำเสียผู้ใหญ่ทุกทีแหละ มันให้เล่นอย่างโน้นเล่นอย่างนี้ ไม่เล่นมันก็ว่า เราจะให้มันทำมั่งมันก็บอกว่ามันลูกศิษย์รุ่นหลัง มันเล็กกว่า มันไม่ทำ นี่ให้มันทำอะไรซี มันไม่ทำหรอก แล้วมันก็ไม่ทำจริงๆ เพราะอะไร เพราะว่า หลวงน้า คือหลวงพ่อปานนะ ท่านเรียกหลวงน้า หลวงน้าท่านสั่งมันไว้ ห้ามไม่ให้ทำ มันก็เลยเลิกทำ ไอ้นี่เคารพคำสั่งครูบาอาจารย์จริงๆ ไอ้เราไม่ถูกจำกัดนี่ มันก็เลยใช้ให้เราทำอะไรต่ออะไรเรื่อยไป ชาวบ้านเขาถามว่าไม่โกรธมันรึ ลูกหลาน บอก โกรธมันยังไงไปด่ามันเข้าซี ดีไม่ดีมันล้วงย่ามเอาสตางค์หมด ไม่ได้หรอก ไปด่งไปด่ามันไม่ได้หรอก ถ้ามันจะว่าอะไร จะใช้อะไรก็ต้องตามใจมัน เดี๋ยวมันไม่ชอบในมันก็หยิบก็ล้วงเอาตามพอใจ เขาก็ถามว่าไม่บาปเรอะ มันจะบาปยังไง มันลูกมันหลาน มันเอาไปแล้วก็เลยนึกให้มันไปเลย ไม่เอาโทษเอาโพยกับมัน นี่เล่าเรื่องตอนต้นนะ สำหรับครูธรรมาภิราม

ทีนี้ถึงเวลาปลุกพระจริงๆ เก้าองค์เข้าไปนั่ง อาตมาเองคิดในใจ ว่าเราก็ไม่มีความรู้อะไร ความดีด้านสมาธิก็ไม่มีอะไร เพราะเป็นคนธรรมดาๆ เป็นพระเดินผ่านหน้านรกไปผ่านหน้านรกมา เดินห่างนรกอยู่ครึ่งนิ้วเท่านั้นเอง ถ้าเผลอเมื่อไรหัวก็ทิ่มนรกเมื่อนั้น ก็เลยนึกในใจว่าเอาพระ 9 องค์นี้องค์ไหนมีอานุภาพมากบ้าง อยากรู้ก็เลยเข้าไปในโบสถ์ เขาปลุกในโบสถ์ ไปนั่งอยู่ท้ายอาสนสงฆ์ สำหรับพระที่ปลุกพระเขาทำเก้าอี้ให้นั่ง เอาไม้ไผ่มาทำเก้าอี้ เขาบอกว่าถ้าปลุกด้วยเก้าอี้ไม้ไผ่มันขลังดี ไอ้นั่นเรื่องของอุปาทาน ไม่เกี่ยว เรื่องของคนคิด

เมื่อไปนั่งอยู่ท้ายอาสนสงฆ์ตั้งจิตอธิษฐาน อาราธนาบารมีพระพุทธเจ้า คือมองดูพระประธานเป็นกำลัง ขอบารมีพระพุทธเจ้าได้โปรดสงเคราะห์ ข้าพระพุทธเจ้าอยากจะดูอานุภาพจิตของพระแต่ละองค์ที่มานั่งปลุกพระในวันนี้ ถ้ากระแสจิตของบุคคลใด มีขนาดเท่าใด มีอานุภาพอย่างไรก็ขอให้ปรากฏแก่อารมณ์ของข้าพระพุทธเจ้า นึกเท่านี้นะ อธิษฐานเอาตามเรื่อง ตามเรื่องของคนที่ไม่มีฌานสมาบัติชั้นดีอย่างเขาหรืออาจจะไม่มีเลย พออธิษฐานเท่านั้นก็จับลมหายใจเข้าออก ทำจิตสงบนิดหนึ่ง ก็เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ นี่เป็นอำนาจของพุทธานุภาพจริงๆ นะ ไม่ใช่ความดีของอาตมา เห็นกระแสจิตของพระทุกองค์ใสแจ๋ว เหมือนกับเห็นของในเวลากลางวัน สำหรับกระแสจิตหลวงพ่อนาคนี่พุ่งออกมาใหญ่เหลือเกิน คลุมเครื่องรางของขลังทั้งหมด เรียกว่าแสงสว่างของจิตแทรกลงไปในเครื่องของขลังอยู่ที่ผิดด้านหน้า ยันข้างล่างสุด เรียกว่าคลุมหมด อาบลงไปหมดเลย โพลงสว่างชัด ของพระครูธรรมาภิราม พุ่งออกมาเหมือนหอก เป็นกระแสเล็กแต่พุ่งแรงมาก แสดงว่าพระครูธรรมาภิราม เป็นพระนักเลง ชอบคงกระพันชาตรี ของหลวงพ่อนาคนี่เต็มไปด้วยอำนาจพระพุทธบารมีจริงๆ มีความเยือกเย็นสบายๆ ยังไงชอบกล แต่พระอีก 9 องค์ มองดูไปแล้วกระแสจิตไม่ได้ออกมา เหมือนกับจุดเทียนจุดริบหรี่ ปักอยู่ในอกนั่นเองอยู่เฉยๆ เป็นดวงนิดหนึ่ง แล้วก็อยู่ในอกเฉยๆ ก็นั่งดูอยู่ยังงั้นจนกว่าเขาจะเลิกปลุกกัน

เมื่อถึงเวลา 23 น. เศษๆ ก็หมดสัญญาณการปลุก ความจริงการปลุกพระนี่ ไม่ต้องใช้เวลามาก ถ้าใช้เวลามากแล้วไม่มีผล ควรจะให้พระกำหนดกันเอง ปลุกพร้อมกัน ใครเต็มเมื่อไรก็พัดผ่อนได้เมื่อนั้น แต่ยังไม่ลุกออกมา ยังงี้จะดีมาก แล้วเวลาปลุกพระ ต้องใช้กำลังสมาธิสูงมาก ถ้าพระได้สมาบัติยังต่ำหรือโยเยอยู่ ยังไม่มั่นคงนัก จิตจะส่ายไปตามกระแสสวด ผลจะไม่ดี แต่ว่าที่ทำกันเวลานี้ ก็มีพระสวดพุทธาภิเศกควบไปด้วย เขาเอาแบบมาจากไหนก็ไม่รู้เหมือนกัน ไม่รู้เรื่อง ไม่รู้ว่าเอาแบบมาจากไหน แต่ว่ามันจะดีหรือไม่ดีแค่ไหนก็ตามเรื่อง หากมีพระกำลังจิตดีก็ใช้ได้ ถ้าพระกำลังจิตไม่ดีก็เลยนั่งหลับตา อีตอนนั่งหลับตาใครจะรู้ว่าทำอะไรบ้าง บางวัดก็เกณฑ์กันตลอดรุ่งไม่เห็นมีประโยชน์ เคยไปร่วมกับเขาเหมือนกัน ถ้าเกณฑ์ตลอดรุ่งดีไม่ดีก็นั่งหลับเลย

ตานี้ พอเขาเลิกทำพิธี พระอาจารย์ทุกองค์ก็ลงมา พอลงมาเสร็จท่านก็ไปนั่งกันตามหน้าอาสนสงฆ์แต่ไม่ถึงท้าย อาตมานั่งอยู่ทางท้ายกับพระสมุห์สมบูรณ์ พอลงมานั่งกันเรียบร้อย หลวงพ่อนาคก็บอกว่านี่ท่านพวกนี้รู้ไหม ไอ้ขโมยมันมานั่งขโมยอยู่ พระพวกนั้นก็ทำหน้าล่อกแล่กๆ มีพระครูธรรมาภิรามองค์เดียวยิ้ม หันมายิ้มด้วยแสดงว่าท่านรู้ก็เลยยิ้มกับท่าน แต่หลวงพ่อนาคท่านก็ทำเฉย ทำไม่รู้ไม่ชี้ บอกท่านทั้งหลายรู้หรือเปล่า ไอ้ขโมยมันมานั่งขโมยอยู่ ท้ายอาสนสงฆ์ แล้วก็มีญาติโยมคนหนึ่งถามว่าขโมยอะไร ถามขโมยอะไรเจ้าค่ะหลวงพ่อ ท่านก็บอก มันไม่ได้ขโมยอะไรหรอก มันมานั่งขโมยดูใจพระปลุกพระ ไอ้ขโมย มันนั่งอยู่ท้ายอาสนสงฆ์

ตานี้เวลาที่ท่านลงมาแล้วเขาขอพระท่าน ท่านก็แจก เวลาท่านแจกไปขอท่านมั่ง ท่านไม่ให้ บอกไอ้นี่ขโมย ไม่ให้ละ ทำได้อย่างที่เขาทำนี่ ทำได้ไปทำเอาเองซี ท่านไม่ให้ ก็มีพระหลายองค์ท่านมองหน้า ท่านก็เลยบอกว่าไอ้นี่แหละขโมย ขโมยดูใจพระทุกองค์ มันรู้ ว่าใจพระองค์ไหนเป็นยังไง นี่มันทำได้นะพระนี่ มันทำได้ ทำได้คล้ายๆ ข้าแหละ แต่ไอ้ข้ากับมันใครดีกว่ากันข้าไม่รู้หรอก แต่วันนี้ท่านผู้ฟังจำไว้นะ ว่าอาตมาไม่ดีเท่าหลวงพ่อนาค แล้วก็ดียังไม่ใกล้หลวงพ่อนาค ยังไกลอยู่นะ เพราะยังเป็นปุถุชนคนธรรมดา ยังเป็นคนปวดอุจจาระ ปวดปัสสาวะ มีหนาว มีร้อน มีเมื่อย มีหิว มีกระหาย รู้เปรี้ยว รู้เค็ม รู้เผ็ด แล้วมีอารมณ์ เสียงดังบ้าง ดุบ้าง ด่าบ้าง ว่าบ้าง คำสุภาพบ้าง ยิ้มแย้มแจ่มใสบ้าง หน้าบึ้งขึงจอบ้าง อย่างนี้อย่าชมกันว่าดีนะ เป็นอาการของคนเลว แต่มันยังอยากจะเลวอยู่ก็ปล่อยมันไป ตายเมื่อไร เลิกเมื่อนั้น

เป็นอันว่าเรื่องของหลวงพ่อนาค ยุติกันเพียงเท่านี้ แต่ก็ยังไมเลิกพูด เวลามันยังไม่หมด วันนี้เห็นจะสรุปงานกันได้แล้วนะ เพราะว่าเทปเหลือนิดเดียว


คัดลอกมาจาก หนังสือ พล.อ.ท. ม.ร.ว. เสริม สุขสวัสดิ์ 13 มี.ค. 16

by admin admin ไม่มีความเห็น

หลวงพ่อเล่าเรื่อง…พระสีวลี

พระสีวลี


ท่านกล่าวว่า สมัยหนึ่ง บรรดาภิกษุ (คำว่า สมัยหนึ่ง ก็คือเวลาต่อมานั้นเอง คือ ไม่ใช่เวลาเดี๋ยวนี้นั้น ) หลังจากฉันข้าวเสร็จเรียบร้อยแล้ว บรรดาภิกษุทั้งหลาย นั่งสนทนากันว่า ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย เพราะเหตุอะไรหนอแล พระสีวลีเถระ จึงเป็นผู้อยู่ในท้องมารดาถึง 7 ปี 7 เดือน 7 วัน แล้วก็เป็นเพราะกรรมอะไร พระสีวลีจึงได้ไหม้ในนรกเพราะกรรมอะไร จึงได้ถึงความเป็นเลิศในลาภ และมียศเลิศอย่างนั้น
หมายความว่า พระสีวลีนี้ เวลาแม่ตั้งท้อง อยู่ในท้องถึง 7 ปี 7 เดือน 7 วัน และก่อนที่พระสีวลีจะมาเกิด ท่านก็นอนในนรกสิ้นกาลนานเมื่อเกิดแล้ว มาเป็นพระ คราวนี้ มีลาภมาก เทวดาปรารภพระสีวลีแต่เพียงผู้เดียว การทำบุญคราวนี้ เราต้องการถวายหลวงปู่สีวลี หลวงพ่อสีวลีของเราเท่านั้น แม้แค่องค์สมเด็จพระทรงธรรม คือพระพุทธเจ้า ไปด้วยเทวดาก็ไม่ปรารภ พระพุทธเจ้านี้ถ้าเป็นคนที่มีกิเลส เห็นใครเข้ามาบูชาลูกน้องมากกว่า น่ากลัวว่าลูกน้องจะลำบาก ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าลูกพี่แก่อิจฉาเอา แต่ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่อย่างนั้นพระองค์ทรงยกย่อง ถ้าลูกศิษย์องค์ไหนดี ก็ยกย่องว่า เป็นพระดีเป็นพระควรแก่การบูชา
ในลำดับนั้น เวลาที่บรรดาภิกษุทั้งหลายโดยทั่วหน้ากำลังปรารภกันว่าพระสีวลีนี้ เป็นเพราะกรรมอะไร จึงได้อยู่ในท้องแม่ถึง 7 ปี 7 เดือน 7 วัน เป็นเพราะอะไร จึงได้ลงไปในนรกสิ้นกาลนาน เป็นเพราะกรรมอะไร เวลาที่เกิดมานี้ จึงมีลาภมาก จึงมียศใหญ่ เป็นที่เคารพของเทวดาทั้งหลาย
ในขณะที่บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายคุยกันอยู่นั้น องค์สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จประทับอยู่ในพระคันธกุฎีสมเด็จพระพิชิตมารฟังเสียงของบรรดาพระสงฆ์ด้วยทิพโสตญาณ คือหูทิพย์ คุยอยู่ที่ไหน พระพุทธเจ้าก็ได้ยิน องค์สมเด็จพระมหามุนินทร์ใคร่จะเปลื้องความสงสัยของบรรดาภิกษุทั้งหลาย สมเด็จพระจอมไตรจึงได้เสร็จมา
เมื่อเสด็จมาถึงแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็เสด็จประทับอยู่ในที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว จึงถามบรรดาภิกษุทั้งหลายว่า ภิกฺขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอกล่าวอะไรกัน (พวกเธอพูดอะไรกัน ) บรรดาภิกษุ ดูก่อนภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นจึงกราบทูลว่า ข้าพระพุทธเจ้ากำลังปรารภเรื่อง บุพกรรมของพระสีวลี พระพุทธเจ้าข้า พวกข้าพระพุทธเจ้ามีความสงสัยว่า ในสมัยที่องค์สมด็จพระจอมไตรบรมศาสดา เสด็จไปเยี่ยมพระเรวตะคราวนี้ปรากฏว่าพระสีวลีแสดงบุญญาธิการ เป็นที่เลื่อมใสของบรรดาเทวดาทั้งหลาย ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายเกิดความสงสัยว่า ทำไม พระสีวลีมีบุญญาธิการนาดนี้ จึงต้องอยู่ในท้องมารดาถึง 7 ปี 7 เดือน 7 วัน และก่อนจะมาเกิด ก็ได้ตกนรกเสียก่อน
เมื่อมาเป็นคนแล้ว ก็มีบุญใหญ่ มีลาภมาก มียศศักดิ์ ข้าพระพุทธเจ้าสงสัยอย่างนี้ พระพุทธเจ้าข้า
เป็นอันว่า เมื่อบรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายกราบทูลดังนี้แล้วองค์สมเด็จพระประทีปแก้ว ก็ทรงพยากรณ์บุพกรรมของพระสีวลีว่า เหตุที่พระสีวลีต้องไปอยู่ในท้องแม่ถึง 7 ปี เดือน 7 วันเป็นต้น
มาจากกรรมที่เป็นอกุศลอะไร
ในขณะนั้นองค์สมเด็จพระทรงธรรมบรมศาสดาได้ทรงมีพระพุทธฎีกาตรัสว่า ภิกฺเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในกัป 91 กัป นับถอยหลังไปจากนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า วิปัสสี ทรงอุบัติขึ้นแล้วในโลก
สมัยหนึ่ง เสด็จจาริกไปในชนบท กลับมาสู่พระนครของพระราชบิดาแล้ว (สมเด็จพระวิปัสสี ท่านก็เป็นลูกของพระเจ้าแผ่นดินเหมือนกันพระราชาทรงเตรียม อาคันตุกะทาน
อาคันตุกะทาน คือ ทานแก่พระผู้มา หรือว่าแขกผู้มา อาคันตุกะ แปลว่า แขกผู้มา พระท่านจากที่ไกล ไม่ได้ประจำอยู่เฉพาะ ถือว่าเป็น อาคันตุกะ ทาน แปลว่า การให้ ( หมายความว่า ตั้งใจถวายทานแก่พระอาคันตุกะทั้งหมด มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ) เพื่อบรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข
แล้วก็ส่งข่าวให้แก่ชาวเมืองทั้งหลายว่า ชนทั้งหลายจงมาเป็นสหายในทานของเรา (หมายความว่า พระองค์ให้ส่งข่าวให้ชาวบ้านมาร่วมกันบำเพ็ญทาน ) บรรดาชนทั้งหลายเหล่านั้น ทำอย่างนั้นแล้ว คิดว่า เราก็จะต้องถวายทานแด่บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลาย มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขเหมือนกัน แต่ชาวบ้านคิดว่า พวกเราจักถวายทาน แด่บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลาย พวกเราจักถวายทานนี้ ให้ยิ่งกว่าทานของพระราชาถวายแล้ว (เขาเรียกว่า แข่งกันดี หรืออวดดี ไม่ใช่อวดเลว เมื่อราชาถวายทานแบบไหน เราจะทำไม่ให้แพ้พระราชาอย่างนี้เขาเรียกว่าอวดดี ควรอวด )
จึงนิมนต์องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ในวันรุ่งขึ้น แล้วก็แต่งทานถวาย แล้วก็ส่งข่าวไปทูลแด่พระราชา พระราชาเสด็จมาทอดพระเนตรทานของบรรดาประชาชนเหล่านั้นแล้ว ดำริว่า เราจักถวายทานให้ยิ่งกว่า ทานนี้ ( คือ ดีกว่า ประเสริฐกว่าที่บรรดาประชาชนถวายแล้ว )
ในวันรุ่งขึ้น จึงนิมนต์สมเด็จพระประทีปแก้วพร้อมด้วย บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลาย พระราชาไม่สามารถจะให้ชาวเมืองแพ้ได้ (เป็นอันว่า ต่างคนต่างถวายแข่งกันแบบนี้ได้ ชาวเมืองถวายได้ ทำได้ดีกว่าพระราชา พระราชาก็ทำให้ยิ่งกว่าชาวเมือง ชาวเมืองก็ทำให้ยิ่งกว่าพระราชา ว่ากันอย่างนี้เป็นลำดับ)
แล้วท่านกล่าวว่า ถึงชาวเมืองก็ไม่สามารถให้พระราชาท่านแพ้ได้ ( ต่างคนต่างไม่มีใครแพ้ วันนี้เราถวายเพียงนี้ วันพรุ่งนี้ เขาถวายยิ่งไปกว่า วันรุ่งขึ้นอีก เราถวายไปยิ่งกว่านั้น ) ฉะนั้นในครั้งที่ 6 ชาวเมืองจึงมาคิดว่า บัดนี้ พวกเราจักถวายทาน ในวันพรุ่งนี้ จะทำเรื่องของทานที่เราทำทั้งหมด โดยที่ใครๆก็ไม่อาจจะพูดได้ว่า วัตถุชื่อนี้ ไม่มีในทานของเรานี้
เป็นอันว่า การแข่ง การทานยิ่งประเสริฐเท่าไร มากเม่าไร เกิดการไม่แพ้กันขึ้นมาแล้ว ชาวเมือง คิดใหม่ว่า ขึ้นชื่อว่าทานทั้งหมด ที่เราถวายในวันพรุ่งนี้ ไม่ว่าอะไรทั้งหมด จะไม่มีใครมาติได้เลยว่า สิ่งทั้งหลายเหล่าใดเหล่าหนึ่ง มันไม่มีในที่นั้น จะต้องทุกอย่าง เมื่อต่างคนต่างต่างคิดแล้ว
วันรุ่งขึ้น จึงได้จัดแจงของถวายเสร็จแล้ว ตรวจดูว่ามีอะไรหนอแลที่ยังไม่มีอยู่ในที่นี้อีก มองไปมองมา ก็มองไม่เห็นน้ำผึ้งดิบ จะมีก็แต่น้ำผึ่งสุก น้ำผึ้งดิบไม่มี ส่วนน้ำผึ้งสุกมีมาก บรรดาชนทั้งหลายเหล่านั้นจึงใช้ให้คน 4 พวก นำทรัพย์ไปพวกละหนึ่งพันกหาปณะ คือ หนึ่งพันตำลึงไปยืน อยู่ที่ประตูพระนคร 4 ประตู ( เพราะประตูเมืองมันมี 4 ประตู ) เพื่อต้องการน้ำผึ้งดิบ หมายความว่า ถ้ามีคนเขาเอามา เราก็ไปซื้อ
ครั้งนั้น คนบ้านนอกคนหนึ่ง มาเพื่อจะเยี่ยมพวกชาวบ้านในเมืองก็ไม่เห็นจะอะไรติดมือมา ( เพราะแกอยู่ป่า ) ก็ถือรวงผึ้งมา 1 รวงไล่ตัวผึ้งออกให้หนีไปหมดแล้ว จึงตัดกิ่งไม้ แล้วถือรวงผึ้งนั้นมา พร้อมทั้งไม้คอนเสร็จ จึงเข้ามาสู่เมือง ด้วยคิดว่า เราจะไปให้กับเพื่อนของเราในเมือง
สำหรับคนที่ไปยืนอยู่หน้าประตูเมือง เห็นบรุษคนนี้ถือรวงผึ้งมาเป็นคนบ้านนอก จึงถามว่า ท่านผู้เจริญ น้ำผึ้งนี้ท่านขายไหม คนบ้านนอกบอกว่า น้ำผึ้งฉันไม่ขาย ฉันจะไปให้เพื่อนของฉัน คนทั้งหลายเหล่านั้นจึงบอกว่า ท่านผู้เจริญ ท่านรับเอากหาปณะเท่านี้ ( คือ ท่านขายน้ำผึ้งให้เรา เราจะให้ 4 บาท หรือ 1 ตำลึง ) คนบ้านนอกก็คิดว่า รวงผึ้งนี้ไม่กี่บาท แต่ว่าเจ้าคนนี้สติไม่ดี ให้มากเกินไป เรายังไม่ให้ ต้องขึ้นราคาก่อน ( แกก็เป็นฉวยโอกาสเหมือนกัน)
แกจึงกล่าวว่า เราให้ไม่ได้ ราคา 1 ตำลึง น้ำผึ้งรวงนี้ให้ไม่ได้ ราคามันแพง พวกนั้นก็ขึ้นราคามันแพง พวกนั้นก็ขึ้นราคา เป็น 2 ตำลึง 3 ตำลึง 4 ตำลึง
(ก็ว่ากันดะไป) ผลในที่สุด ก็ขึ้นราคาถึง 1000 ตำลึงเท่านั้นนะ (หมด) ขอท่านจงให้น้ำผึ้งแก่เรา
แต่ทว่าบุรุษผู้มาจากป่าแกก็เป็นคนมีปัญญา คิดว่า ต้องมีอะไรพิเศษสักเรื่องหนึ่ง จึงได้ถามว่า ผู้เจริญ ข้าพเจ้ารู้ว่า กรรมที่ข้าพเจ้ารู้ว่า กรรมที่ข้าพเจ้าจะทำในน้ำผึ้งนั้นมีอยู่เพราะเหตุใดท่านจึงมาขึ้นราคาอย่างนี้ พวกนั้นก็ถามว่า น้ำผึ้งท่านจะไปทำอะไร แกก็บอกว่า ฉันจะไปให้เพื่อนของฉัน ฉันเป็นคนอยู่ป่า มาคราวหนึ่งไม่มีอะไรติดมือมามันก็ไม่ดี พวกนั้นก็บอกว่า ฉันมีความจำเป็นเรื่องน้ำผึ้งดิบ อย่างอื่นมีครบ จึงให้ราคาถึง 1000 ตำลึง ความจริงฉันรู้ว่า น้ำผึ้งนี้ราคามันไม่ถึงบาท แต่ด้วยความจำเป็น จึงให้คนนอกจึงถามว่า เรื่องอะไร จึงได้ราคาแพง บอกมาสิ อยากรู้ ถ้าควรจะให้ ก็ให้
บรรดาคนพวกนั้นบอกว่า พวกข้าพเจ้าเตรียมการถวายทานเป็นการใหญ่ เพื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงนามว่า พระวิปัสสีทศพลผู้มีสมณะ (คือพระ) รวมกันด้วยกันทั้งหมด พระที่เป็นบริวาร 6800000 องค์ และก็มีพระพุทธเจ้าอีก 1 ในมหาทานนี้ อะไรๆของเรามีหมด ไม่อยู่อย่างเดียว คือน้ำผึ้งดิบ เท่านั้นเพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงขอซื้อรวงผึ้งของท่านด้วยราคาแพง เพราะว่าต้องการจะเอาบุญ เพราะทานคราวนี้มีความประสงค์มีความประสงค์ว่า จะให้มีทุอย่าง ขึ้นชื่อว่า อะไรใน ทานนั้นไม่มี เราต้องการ ต้องการให้มันครบ ฉะนั้น จึงยอมซื้อแพงขอให้ขายด้วยเถิด 
คนบ้านนอกแกก็บอกว่า ถ้าเป็นอย่างนั้น เพื่อน ข้าพเจ้าก็จักไม่ให้ด้วยราคา 
( เรื่อง ไม่ยอมขาย ) แต่ท่านทั้งหลาย จะยอมให้เราร่วมบุญร่วมกุศล จะให้
บรรดาคนพวกนั้น จึงได้ส่งข่าวไปหาหัวหน้าในเมือง บอกว่า เวลานี้เจอะคนคนน้ำผึ้งดิบมาแล้ว แต่ว่าเค้าไม่ยอมขาย แต่ถ้าเราไม่ยอมขาย แต่ถ้าให้เขาร่วม
บุญด้วยละก็ เขาจะให้ เมื่อชาวบ้านทราบศรัทธาที่เขามี จึงได้ยกมือสาธุ ดีแล้วๆ พ่อคุณเอ๋ย มาร่วมบุญร่วมกุศลด้วยกันเถิด เรื่องบุญนั้นไม่หวงที่ต้องการน้ำผึ้ง ที่ต้องซื้อ เพราะเกรงว่าจะไม่ยอมทำบุญด้วย จึงกล่าวว่าขอเขาจงเป็นผู้มีส่วนได้บุญ มาร่วมบุญกัน
บรรดาชาวเมืองทั้งหลายเหล่านั้น เมื่อได้น้ำผึ้งแล้ว ก็ได้นิมนต์พระภิกษุสงฆ์ มีพระสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ให้มาเสวยภัตตาหาร ถวายข้าวต้มถวายของเคี้ยว
ที่นี้เขาบอกว่า ให้คนนำเอาถาดทองคำใบใหญ่มาแล้ว แล้วบีบรวงผึ้งลงไป เอาน้ำหวานออก แม้กระบอกนมส้ม อันมนุษย์ทั้งหลายเหล่านั้นนำมาเพื่อต้องการเป็นของกำนัล มีอยู่ เขาก็เทนมส้มเหล่านั้น ลงไปในถาดทองคำ เคล้ากับน้ำผึ้งนั้น ได้ถวายแก่บรรดาพระภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข น้ำผึ้งนั้นก็ทั่วถึงแก่บรรดาพระภิกษุทุกรูป
อย่าลืมว่า มีพระพุทธเจ้าองค์เดียว มีพระสงฆ์ถึง 6800000 องค์ น้ำผึ้งรวงเดียว กับนมส้มหน่อยหนึ่ง ที่เขาผสมกัน พอดิบพอดี ( เหลือจากพระเสียอีก ) ท่านกล่าวว่า ผู้รับเอาจนพอความต้องการ ( หมายความว่า บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายพอหมดแล้ว แถมเหลือเสียด้วยซ้ำ )
ตอนนี้พระบาลีท่านกล่าวว่า ใครๆ ก็คิดว่า น้ำผึ้งน้อยขนาดนั้น จะพอเพียงกับภิกษุ 6800000 องค์ได้อย่างไร ท่านกล่าวต่อไปพระสูตรว่า จริงอยู่ ถึงได้ด้วยอานุภาพแห่งพระพุทธเจ้า ( น้ำผึ้งนั้นมีมากมาด้วยอำนาจของพระพุทธเจ้า ) ขึ้นชื่อว่า พุทธวิสัย ใครๆ ก็ไม่ควรคิด
ท่านบอกว่า จริงอยู่มีเหตุ 4 อย่างที่สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เป็นเรื่องที่ใครๆ ไม่ควรคิด ใครๆ เมื่อคิดถึงเหตุเหล่านั้นเข้า ก็ย่อมเป็นผู้มีส่วนแห่งความบ้า (เ อาละสิ ) ท่านบอกว่า สิ่งเป็น อจินไตย ไม่ควรคิด ถ้าคิดก็บ้าเปล่าๆไม่รู้เรื่องรู้ราว เหตุ 4 อย่างที่ไม่ควรคิด ที่พระพุทธเจ้ากล่าวคือ
1. พุทธวิสัย วิสัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราคิดไม่ได้ ขืนคิดอยากจะรู้เท่าทันพระพุทธเจ้า เราก็บ้า เพราะว่า เรารู้ไม่ได้
2. ฌานวิสัย วิสัยของบุคคลผู้ทรงฌาน ถ้าเราไม่สามารถได้ฌาน สมาบัติ เราอย่าไปคิด เรื่องฌานสมาบัติ ยิ่งคนสมัยปัจจุบัน ย่อมอยากจะพูดกันถึง เรื่องพระนิพพานบ้าง เรื่องวิสัยของอรหันต์บ้าง แต่ความจริงแค่ฌานโลกีย์เท่านั้น พระพุทธเจ้ากล่าวว่า ถ้าเรายังไม่เข้าถึง ก็ไม่ควรจะคิด คิดเท่าไรมันก็ผิด
3. กรรมวิสัย คือ กฎของกรรม เรื่องกฎของกรรมก็เหมือนกันอย่าไปคิด มันคิดไม่ออกหรอก นอกจากว่า เราจะได้วิชชาสาม อภิญญาหกแล้วก็เป็น พระอริยเจ้าขั้นอรหันต์ จึงจะพอคิดถึงเรื่องกรรมได้ ถ้ายังไม่ถึงอย่าไปคิด คิดแล้วมันก็จบลงไม่ได้
4. โลกจินไตย เรื่องของโลก เรืองของโลกนี้เราจะคิดว่า มันจะไปจบลงตรงไหน อย่าไปคิด มันมีทางจบ คือ โลกหาที่สุดไม่ได้
จำไว้ให้ดีว่า เหตุ 4 อย่างที่พระพุทธเจ้าบอกว่า ไม่ควรคิดถ้าคิดแล้วก็บ้าเปล่าๆ นั้นก็คือ 1. พุทธวิสัย 2. ฌานวิสัย 3.กรรมวิสัย 4.โลกจินไตย
สำหรับบุรุษนั้น เมื่อทำทานประมาณเท่านั้นแล้ว ท่านกล่าวว่า ในกาลเป็นที่สุดแห่งอายุ ก็บังเกิดในเทวโลก เป็นเทวดาท่องเที่ยวไป สิ้นกัปมีประมาณเท่านี้ คือ 91 กัป (เป็นเทวดาเกาะกะๆ อยู่ 91 กัป)
ในสมัยหนึ่ง จุติจากเทวโลกแล้ว ก็มาบังเกิดในกรุงพารณสี โดยกาลที่พระชนกทิวงคตแล้ว (เขามาเกิดเป็นลูกพระราชาในตระกูลพาราณสี) เมื่อพระบิดาตาย (ทิวงคต เขาแปลว่า ตาย สวรรคต) จึงได้เสวยราชสมบัติแทนพระราชบิดา
มาในครั้งหนึ่ง ท้าวเธอคิดว่า เราจะยึดเราพระนคร นครหนึ่ง ซึ่งมีกำลังน้อยกว่าให้ได้ จึงได้เสด็จไป แล้วก็ล้อมพระนครนั้นไว้ แล้วก็ส่งสาส์นกับชาวเมืองว่า ท่านจะให้ราชสมบัติ คือ สมบัติ แก่เรา หรือจะให้เราการรบบรรดาชาวเมืองทั้งหลายเหล่านั้นตอบว่า เราจะไม่ให้ราชสมบัติ และเราก็จะไม่ให้การรบ เราจะปิดประตูเมือง (ประตูใหญ่) แต่ว่าชาวเมืองก็อาศัยประตูเหล็ก ออกไปหาฟืน หาน้ำ มาทางประตูเหล็กทำธุรกิจทุกอย่าง การล้อมของพระราชาจึงไม่มีผล
ต่อมา เมื่อพระราชปิดประตูเมือง 4 ประตูของเขาล้อมไม่ให้เขาออก ไว้สิ้นเวลา 7 ปี ยิ่งด้วย 7 เดือน 7 วัน (ล้อมเอาไว้ 7 ปี 7 เดือน 7 วัน) ต้องการให้คนเมืองเขาอดตาย จะได้ยอมแพ้ เขาก็ไม่ยอมแพ้ เพราะเขาออกทางประตูเล็กมาหากินกันได้
ในกาลต่อมา พระราชชนนี คือ มารดาพระราชาองค์นั่ง ตรัสถาม บรรดาอำมาตย์ข้าราชบริพารว่า ลูกชายของเรา เขาทำอะไร บรรดาอำมาตย์ทั้งหลายกราบทูลว่า ไปล้อมเมืองไว้พระเจ้าข้า ล้อมประตูใหญ่หมดท่านจึงตรัสว่า พุทโธ่เอ๋ย ลูกชายของฉันนี้ มันไม่น่าจะโง่อย่างนี้เลย ก็ไปล้อมประตูใหญ่ แล้วก็ไม่จงล้อมประตูเล็ก เสีย ประตูช่องเล็กๆ ปิดมันเสีย ชาวเมืองออกมาไม่ได้ประเดี๋ยวมันก็ยอมแพ้
อำมาตย์จึงได้ส่งข่าวกับพระราชา ท้าวเธอทรงสดับคำของพระราชชนนีแล้ว ก็มีคำสั่งให้ปิดประตูเล็ก คือ กันคนออกทางด้านประตูเล็กเสียอีกฝ่ายชาวเมืองเมื่อออกไปหากินภายนอกไม่ได้ก็เริ่มอด อดแล้วไม่รู้จะทำอย่างไร ในวันที่ 7 จึงพากันปลงพระชนม์พระราชาตนเสีย แล้วก็ได้เปิด ประตูเมืองรับพระราชาองค์นั้น ถวายพระราชสมบัติแก่พระองค์
ท้าวเธอทรงทำกรรมแบบนี้ ในกาลเป็นที่สุดแห่งอายุ (หมายความว่า เวลาที่ตายแล้ว) ก็ไปเกิดในอเวจีมหานรก ไหม้อยู่ใน อเวจีมหานรกนั้น ตราบเท่ามหาปฐพี (คือ ผืนแผ่นดิน) นี้หนาขั้นประมาณ 1 โยชน์(โทษ ของการล้อมเมืองเขาทำให้เขาฆ่าพระราชาของเขาลงนรกอเวจีด้วย ให้แผ่นดินหนาขึ้น 1โยชน์ มารู้เวลาเท่าไร )
ครั้นจุติจากอัตตภาพ (คือพ้นจากนรก) นั้นแล้ว ก็มาปฏิสนธิในท้องของมารดาแม่สิ้น 7 ปี 7 เดือน 7 วันแม่ต้องถูกทรมานด้วยเพราะการแนะนำกับลูก แต่บังเอิญ แม่ไม่ได้ตกนรกด้วยก็เพราะอาศัยการแนะนำกับลูก แต่บังเอิญแม่ไม่ได้ตกนรกด้วยจึงคลอด เพราะโทษที่แม่ต้องรับโทษด้วย เพราะว่า สั่งให้ปิดประตูเล็ก 4 ประตู (นี่เป็นกรรมของพระสีวลีที่ต้องตกนรก และก็อยู่ในท้องแม่ )
องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ภิกฺขเว ดุก่อนภิกษุทั้งหลายพระสีวลีไหม้แล้วในนรกสิ้นกาลนานประมาณเท่านี้ เพราะกรรมที่เธอล้อมพระนคร และยึดไว้ในกาลนั้น และถือปฏิสนธิของมารดานั้นนั่นแหละ อยู่ในท้องสิ้นกาลประมาณเท่านั้น ( 7ปี 7 เดือน 7 วัน )ก็เพราะว่าความที่เธอปิดประตูเล็กทั้ง 4 ต่อมา เป็นผู้ถึงความเป็นผู้มีลาภมาก และมียศเลิศ ก็เพราะว่าการที่เธอถวายน้ำผึ้ง ด้วยประการฉะนี้
ในวันรุ่งขึ้น ภิกษุทั้งหลายสนทนากันว่า แม้สามเณรผู้เดียว ทำเรือน 500 หลัง เพื่อภิกษุ 500 รูป มีลาภมีบุญน่าชมจริงๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วถามว่า ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เธอนั่งประชุมกันด้วยเรื่องอะไร เมื่อภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นรับถ้อยคำเช่นนั้นแล้วจึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุตรของเราไม่มีบุญ ไม่มีบาป ก็เพราะว่าบุญบาปทั้งสองของเธอสละเสียแล้ว จึงตรัสพระธรรมเทศนาว่า บุคคลใดในโลกนี้ พ้นเครื่องข้องทั้งสองอย่าง คือบุญ และ บาป เราเรียกบุคคลนั้นว่า เป็นผู้ไม่โศก ปราศจากกิเลศเพียงดังธุลี ผู้หมดจดว่าเป็นพราหมณ์
เป็นอันว่า ท่านทั้งหลาย เรื่องราวของบุคคลตัวอย่าง จงจำไว้ด้วยว่า กฎของกรรมของพระสีวลี ท่านมีลาภมาก มียศยิ่งใหญ่มาก การที่มีลาภก็เพราะว่า ถวายรวงผึ้ง แต่ว่าต้องลงนรก เพราะอาศัยที่ไปปิดล้อมเมืองเขาไว้ และมารดาผู้เป็นต้นคิด ก็มีปัจจัยร่วมเช่นเดียวกัน
เอาละ สำหรับเรื่องราวของ บุพกรรมของพระสีวลี ก็ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ ขอความสุขสวัสดิ์มงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแก่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทุกท่านสวัสดี

โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน(พระมหาวีระ ถาวโร ) วัดจันทาราม จ. อุทัยธานี

by admin admin ไม่มีความเห็น

ตอน 42

สวัสดีทุกท่าน…วันนี้ยังอยู่นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่

หลังจากไปทัวร์ทำบุญจนคอหนัก ไปมาเกือบหมดสารพัดที่ทั้งที่คนทั่วไปรู้จักและที่คนทั่วไปไม่รู้จักแหมคุ้มจริงๆ เมื่อวันจันทร์ก็ไปเชียงรายอีกรอบครับคราวนี้ไป3วันวันแรกก็ไปนอนที่เชียงแสนครับก่อนไปก็แวะทานข้าวริมน้ำเออแปลกแม่น้ำที่นี่ไหลจากล่างขึ้นบนแต่เท่าที่เคยได้ยินมาก็ทราบว่าเป็นเพราะการสาบานร่วมกันของ3กษัตริย์ ก็แปลกดีครับกินไปกินมามีเทวดามายืนข้างๆ แหมบารมีท่านสูงเอาเรื่องขนหัวผมลุกชัน ผมก็ถามน้องๆที่มาด้วยว่าเห็นไรมั้ย

การที่น้องๆพวกนี้ติดตามผมไปแต่ละที่นี่เป็นการดีอย่างเพราะไปเที่ยวที่ไหนก็แล้วแต่ก็ได้ฝึกดูนู้นนี่ไปด้วย เที่ยวไปดูด้วยญาน8ไปสนุกแหละครับเพลิดเพลินมาก มาเข้าเรื่องต่อ ก็ถามครับว่าใครเห็นอะไรบ้าง ทุกคนสัมผัสได้หมดมีอยู่คนนึงเห็นครับผมก็ถามต่อว่าเห็นอะไรยังไงน้องเค้าบอกว่าเห็นผู้ชายแต่งกายคล้ายกษัตริย์โบราณมายืนมองผมนั่นเอาเข้าแล้ว ใช้ได้จริงๆครับเด็กพวกนี้ไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยๆฝึกบ่อยๆมันก็จะคล่อง ที่ว่าคล่องนี่ไม่ต้องตั้งท่าอะไรมากมายกำหมดปุ๊บเห็นภาพปั๊บ ตอบทันที เออ อันนี้ไม่ใช่แค่ทิพจักขุญานนะ เจโตปริยญานก็เริ่มใช้ได้ แหมไม่เสียแรงครับสอนแล้วจำแล้วฝึก ใช้ได้คล่อง น่าปลื้มใจจำไว้นะครับ ญาณเนี้ยต้องฝึกฝนใช้บ่อยๆจะได้คล่องและแม่นยำ เหมือนการหัดขับรถนั่นแหละ เพิ่งขับเป็นแต่เลิกขับมันจะขับเก่งได้ยังไง มันต้องขับบ่อยๆเอาให้คล่องตัวอย่างขับต่างจังหวัดได้ดีพอมากรุงเทพขับไม่เป็นซะงั้น มีแล้วต้องใช้ให้เป็นครับ จะได้ไม่ต้องไปถามใคร และก็ไม่ต้องเป็นขี้ข้าใคร แล้วก็การเข้าพระโสดาบัน สำคัญนะหากเข้าพระโสดาบันได้แล้วนี่ บาปต่างๆ อกุศลกรรมต่างที่เคยทำไว้ไม่มีผลกับเราผมมั่นใจครับ เด็กๆพวกนี้จะทำกันได้ไม่เสียชื่อลูกหลานท่านพ่อ นั่นนอกเรื่องซะอีกแล้ว ไม่ดีๆชมมากเดี๋ยวเหลิง พอกะผมแหมครูบาอาจารย์ชมนี่แหมเคลิ้มติดชมน่ะ เออนะหรือบ้ายอ แหมยังติดบ้ายออยู่น่ะเห็นมั้ย ใครชมไม่ได้อารมณ์ใจฟูพองโต แต่ข้อดีก็มีนะเพราะทำให้มีกำลังใจมากขึ้นส่งผลให้ผมพัฒนามากขึ้น เอ้ามันวกนอกเรื่องอีกและเดี๋ยวนี้ชักยังไง

มาต่อนะ ผมเห็นชายร่างใหญ่แต่งกายคล้ายกษัตริย์โบราณ ผิวคล้ำหน่อย มายืนมองผมครับ เวลานี้อย่าว่าแต่ขนแขนเลยครับขนหัวขนขอลุกตั้งชัน ผมก็ยังไม่สนใจท่านซัดแค็ปหมูน้ำพริกอ่องต่อ ท่านยิ้มครับผมก็ล่อยท่านยิ้มไปเรื่อย ที่ปล่อยท่านไว้อย่างนั้นคือหิวน่ะครับขอท่านกินก่อนค่อยว่ากัน กินไปได้ซักพัก ผมก็กำหนดอาทิสมานกายออกมากราบท่าน ตกใจล่ะครับผมตกใจกายในตัวเอง ปกติแต่งกายคล้ายเทวดา คราวนี้กายในผมออกมาดันแต่กายคล้ายท่านมีที่ครอบผมบนหัวแต่งกายชุดสีดำผมก็ก้มกราบท่านครับ ด้วยไอ้เรานี่ก็เกรงอุปาทานครับ ผมกลัวจริงๆอุปาทานเนี้ย เพราะมันผิดวิสัยเทวดาครับผมว่าปกติท่านไม่ลงมาหาใครนะ เหมือนเหตุการณ์ตอนผมไปสงขลาน่ะ ท่านจตุคามรามเทพนั่นน่ะ แต่อีคราวนี้ดีหน่อยมีพยานมาด้วยช่วยกันดู ผมหันไปบอกให้น้องๆดูว่าเห็นอะไร ทดสอบกันไปในตัวเลยครับ น้องเค้าบอกว่าเห็นผมแต่งกายเหมือนท่านเลยยืนอยู่หน้าท่าน เอ้าเข้านั่นทีนี้แหละทุกคนขนหัวตั้งกันเป็นแถวเพราะเห็นเหมือนกันหมด น้องคนนึงถามผมครับว่าท่านเป็นใครใช่พ่อขุนเม็งรายหรือเปล่า ผมก็กำลังจะหันไปถามท่าน ท่านบอกครับว่าท่านชื่องำเมือง ผมทวนคำท่านอีกครั้งเพราะได้ยินไม่ถนัด หงำเมือง ท่านพูดใหม่ครับทีนี้พูดเต็มๆว่า งำเมือง เอองงและผมไม่รู้จักมาก่อนว่าท่านคือใคร เลยถามพ่อพลขับ เจ้าพลขับนี่ชื่อเจ้าอุย ไอ้เจ้านี่บอกอ๋อ พญางำเมืองที่เป็น3กษัตริย์ร่วมสาบานไง ผมเลยอ๋อๆ แล้วกินต่อ แหมมาตอนหลังนี้ชักคิดและเรานี่ท่าจะบ้าท่านจะมาทำไม ไอ้เจ้าน้องๆที่มาก็อยากจะรู้ผมก็ไม่อยากจะรู้แต่ทนรบเร้าไม่ไหว อีกอย่างเกรงอุปาทานผมเลยกดโทรศัพท์เช็คกันซะหน่อย แหมอาจารย์แม่ท่านหัวเราะชอบใจใหญ่ ผมยังไม่ทันถามท่านแซวไปเที่ยวนานเลยนะ น่านรู้อีก ผมบอกมาเชียงราย ท่านว่าไม่ต้องบอกแล้วขำต่อ เออเล่นกะแกสิน่ะ ผมนี่มุ่งมั่นจริงๆครับวันนึงจะขอได้ซักครึ่งนึงของท่าน แหมท่านรู้แหละครับว่าผมจะถามอะไร ผมถามว่าที่ผมเห็นเนี้ยอุปาทานหรือเปล่า ทีนี้แกขำใหญ่เลยเออผมละงงถามผมกลับอีกว่าเห็นท่านแม่มาหรือเปล่า อ้าวเอาเข้าแล้ว อีแบบนี้แสดงว่าเห็นซะจริงๆไม่อิงอุปาทานแล้ว ว่าแต่ผมไม่เห็นนะท่านแม่น่ะ อาจารย์ท่านว่าไม่กำหนดดูดีๆคงจริงแหละครับผมนี่มันระยำจริงๆ ท่านที่มานี่ไม่ใช่เล่นๆผมดันกินแบบไม่สนใจแหมมันน่าจริงๆ พอมารู้ว่าท่านเป็นเจ้าเมืองพะเยานี่ก็คิดครับแหมเรานี่ใช้ไม่ได้ ไม่หมอบกราบไม่สนใจท่านห่วงแต่กิน วันนั้นผมคุยกะอาจารย์แม่ราวชั่วโมงได้ เอาซะหน่อยนะโดนชมว่ากำลังสมาธิแบบนี้แหละดีลูก รักษาอารมณ์แบบนี้ไว้ แหมเคลิ้มครับ จริงๆอยากจะบอกครับว่าผมทรงอารมณ์ฌานต่อเนื่องมา3วันติด ที่ทรงมา3วันติดนี่มันมีเหตุครับ อดนอนติดเฟซบุคนอนน้อยกลัวง่วงเลยทรงอารมณ์ที่นี้มันก็อิ่มเอิบใจ ไม่ปวดท้องขี้ท้องฉี่ เข้าท่าดีครับทรงมาได้3วันเลยมรอารมณ์จิตที่ดีนี่แหละ คุยกับแกเสร็จไอ้ผมด้วยความที่มั่นใจขึ้นมาไม่อุปทานแน่และเลยถามท่านแหละครับว่าผมนี่เกี่ยวเนื่องอันใดกับท่านมาก่อนท่านถึงเมตตาลงมาเยื่ยมถึงที่แบบนี้ ท่านบอกเธอเป็นลูกเป็นหลานฉันมาหลายชาติ ในชาตินั้นเธอเป็นหลานฉันผมรุกต่อเลยครับผมถามท่านว่าผมชื่ออะไร เอาแล้วท่านเรียกผมว่าผาเมืองนั่นขนลุกแหละครับทีนี้แต่ผมงงๆครับท่านเห็นผมงงๆท่านบอกว่าพ่อเธอชาตินั้นกับท่านรู้จักกัน ผมเลยเรียกท่านว่าลุง เออซับซ้อนดี จากนั้นท่านก็บอกนู้นบอกนี่แล้วท่านก็ไป เล่นเอาผมนอนไม่หลับแหละครับคิดทั้งคืน ว่ามันจะเกี่ยวพันกันได้ยังไงก็งงๆต่อไป ที่นี้คืนแรกที่มาเนี้ยคณะเรานอนรีสอร์ทกัน กลางดึกครับแห่กันมามีคนแต่งกายคล้ายทหารโบราณถือดาบเดินมายืนหน้าประตู ไอ้ผมก็ยังไม่หลับแต่รู้และมีใครมาหา เลยถามน้องๆที่มาว่าเห็นอะไรมั้ย นั่นเห็นกันหมด ผมก็ถามแหละครับให้ถามชื่อพ่อทหารที่มา แหมน้องๆก็ไม่แน่ใจกันแหละครับ พ่อทหารนานนี้บอกว่าท่านชื่อ ท่านขุนศรีจัน. 

ขุนศรีจันนี่ท่านมีความเกี่ยวเนื่องกับผมมาก่อนเวลานี้ท่านเป็นเทวดาอยู่ที่ไหนไม่ทราบไม่ได้ถามท่าน. ก็ตามแบบฉบับผมนั่นแหละครับ. เล่นตัวหน่อย ชวนไปก็ไม่ไปผมไม่ไปกะท่านครับ แหมท่านตื้อเก่งครับต้องการพาผมไปไหนซักที่. สุดท้ายด้วยความที่ดื้อผมไม่ไปครับ. ท่านเล่นมายืนปลายเท้าสงสัยคงเมื่อยกลับไปตอนไหนไม่ทราบ. ตื่นเช้ามาก็ไม่เจอท่านแล้วครับ. จากนั้นผมก็ไปทำบุญตามเรื่องตามราว. ผมสงสัยครับเวลาไปทำบุญทำไมเทวดามารอรับมากันมาก. เวลานี้เข้าใจแล้วว่าเพราะอะไรครับ. ผมพยายามเล่าเรื่องนี้หลายครั้งเล่าจบก็อัพโหลด แหมเน็ตหลุดทุกครั้งที่อัพโหลด ก็พ่อท่านขุนนั่นแหละท่าทางแกจะเคืองเลยแกล้งให้พิมพ์เสียเยอะแล้วอัพโหลดไม่ได้. เวลานี้เคลียร์กันเรียบร้อยแล้วก็เลยมาพิมพ์ต่อ. แหมเดิมตั้งใจว่าจะไม่เล่าและเพราะขี้เกียจพิมพ์. วันนี้ว่างเป็นปกติเลยเอานิทานมาเล่าต่อ. อ่านเพื่อความเพลิดเพลินนะ.

วันนี้ผมมีความในใจอยากบอกทุกท่านที่มาร่วมออกศึกครับ. 

ปกติแล้วผมเป็นคนที่หลีกหนีความวุ่นวาย เลือกคบเพื่อน ไม่ชอบอยู่กับคนหมู่มาก. ไม่คิดว่าวันนี้ผมจะมาเป็นผู้นำพวกท่านเข้ามาฝึกมโนมยิทธิ. หลายต่อหลายครั้งผมเจอปัญหาจากการเข้ายุ่งกับกรรมของพวกท่าน. บางครั้งมันทำให้ผมเหนื่อยใจ. ท้อใจ. แต่เมื่อผมรู้สึกแบบนั้นทีไร. มองรูปพ่อ. จ้องมองพ่อ. พ่อคือทุกสิ่งของผม. สิ่งที่ผมทำได้ในวันนี้คือ การช่วยพ่อ บอกทางไปบ้าน. พาพวกท่านกลับบ้าน. 

เมื่อวันอาทิตย์ระหว่างที่ผมนั่งคุยกับประธานรุ่นของพวกท่าน เวลานั้นพวกท่านได้มโนมยิทธิกันหมดแล้วพ่อท่านมายืนมองผมท่านมองแล้วยิ้มแค่นั้น ผมกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไว้. พ่อบอกผมว่าพ่อรักลูกพ่อจะพาลูกไปให้หมด แล้วท่านก็ยิ้ม. ผมยกมือขึ้นไหว้ท่านครับ พ่อบอกผมว่า ดีแล้วลูกเรามันเป็นแบบนี้มาตลอด อย่าสงสัยในสิ่งที่ลูกทำได้ พ่อทำแบบนี้ลูกถึงจะหายสงสัย. แล้วท่านก็ยิ้มครับ เวลานี้ผมปล่อยหมดครับมีเท่าไหร่ปล่อยออกมาหมดผมยืนยันครับพ่อรักพวกเราจริงๆ พ่อท่านวัดกำลังใจผม เพราะผมถอดใจเห็นไปไม่ได้กันมาก. ผมคิดครับว่าทุกทริปที่ผ่านมาไปกันได้ทุกคนคงจะฟลุ๊ค. แล้วพ่อก็ทำให้ผมมั่นใจว่าพ่อจะอยู่ข้างผม. ไม่ทิ้งผมไม่ทิ้งบริวารลูกหลานท่านมันไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ทุกทริปไปสัมผัสพระนิพพานได้. ผมรักพ่อครับ. ผมจะทำทุกทริปให้ดีที่สุด. ผมจะทำให้พวกเค้าเห็นว่าพ่อรักพวกเค้า. ผมจะทำให้เค้าแจ้งในคำสอนพระพุทธเจ้า. ผมจะทำให้พวกเค้าเห็นว่าพ่อไม่ทิ้งเรา. ผมจะทำให้เค้าเห็นว่าสิ่งที่พ่อสอนไม่ศูนย์เปล่า. ผมจะนำพวกเรากลับมาสร้างบ้านหลังนี้ให้เสร็จ. ผมขอให้สัจจะสาบานต่อพ่อว่า ลูกจะนำพวกเค้ามาสร้างบ้านหลังสุดท้ายของพวกเรา ไม่ว่าพวกนั้นจะเป็นใครอยู่ที่ไหน หากได้อ่านบทความลูกแล้ว. ถ้ามีความเกี่ยวเนื่องกับพวกเราแล้วไซร์ ขอให้ผู้นั้นอดรนทนมิได้. ต้องกลับมาหาลูกมาให้ลูกฝึกมโนมยิทธิ. มาช่วยลูกสร้างและซ่อม บ้านหลังนี้. ให้บ้านหลังนี้ได้ชำระจิตใจให้เบาบางจากกิเลส. ให้เข้าสู่เขตพระโสดาบัน. ตามที่พ่อได้พร่ำสอน. จากนี้สืบไปเมื่อหน้า หากข้าพเจ้าประสงค์จะใช้แรงกาย แรงใจ แรงทรัพย์และสติปัญญาของผู้เกี่ยวเนื่องด้วยข้าแล้วไซร์. ขอให้มันผู้นั้นจงไม่รีรอที่จะช่วยตามความประสงค์แห่งเรา

28-02-2012, 12:39 PM  P.210

Top