Author: admin

by admin admin ไม่มีความเห็น

หลวงพ่อสอนอสุภกรรมฐาน

อสุภ แปลว่า ไม่สวย ไม่งาม กรรมฐาน แปลว่า ตั้งอารมณ์ไว้ให้เป็นการเป็นงาน รวมความแล้วได้ว่า ตั้งอารมณ์เป็นการเป็นงานในอารมณ์ที่เห็นว่า ไม่มีอะไรสวยสดงดงาม มีแต่สกปรกโสโครก น่าเกลียดน่าสะอิดสะเอียน

กำลังสมาธิของอสุภกรรมฐาน
อสุภกรรมฐาน ทั้ง ๑๐ อย่างนี้ มีกำลังสมาธิเพียง ปฐมฌาน เป็นอย่างสูง ไม่สามารถจะทรงฌานให้มีกำลังสูงกว่านั้นได้ เพราะเป็นกรรมฐานที่มีอารมณ์ด้านพิจารณามากกว่าการเพ่ง ใช้อารมณ์จิตใคร่ครวญพิจารณาอยู่เป็นปกติ จึงทรงสมาธิได้อย่างสูงเพียงปฐมฌาน เป็นกรรมฐานที่มีอารมณ์คล้ายคลึงกับ วิปัสสนาญาณ มาก นักปฏิบัติที่พิจารณาอสุภกรรมฐานจนทรงปฐมฌานได้ดีแล้ว พิจารณาวิปัสสนาญาณ ควบคู่กันไป จะบังเกิดผลรู้แจ้งเห็นจริงในอารมณ์วิปัสสนาญาณได้อย่างไม่ยากนัก 

สำหรับอสุภกรรมฐานนี้เป็นสมถกรรมฐานที่ให้ผลในทางกำจัด ราคจริต เหมือนกันทั้ง ๑๐ กอง คือค้นคว้าหาความจริงจากวัตถุที่มีชีวิต และไม่มีชีวิต ที่นิยมชมชอบกันว่าสวยสดงดงามที่บรรดามวลชนทั้งหลายพากันมัวเมาหลงใหลใฝ่ฝันว่าสวยสดงดงามจนเป็นเหตุให้เกิดภยันตรายแก่ตน ลืมชีวิตความเป็นอยู่ของตน มอบหมายความรักความปรารถนาให้แก่วัตถุที่ตนรัก เป็นการประพฤติที่ฝืนต่อกฏของความจริง เป็นเหตุของความทุกข์ที่ไม่รู้จบสิ้น 

กรรมฐานนี้จะค้นคว้าหาความจริงจากสรรพวัตถุต่างๆ ที่เห็นว่าสวยสดงดงาม เอามาตีแผ่ให้เห็นผลว่า สิ่งที่สัตว์และคนหลงใหลใฝ่ฝันนั้น ความจริงไม่มีอะไรสวย ไม่มีอะไรงาม เป็นของน่าเกลียดโสโครกทั้งสิ้น กรรมฐานในหมวดอสุภกรรมฐานมีความหมายในรูปนี้ จึงเป็นกรรมฐานที่ระงับดับอารมณ์ที่ใคร่อยู่ในกามารมณ์เสียได้ ท่านที่เจริญกรรมฐานหมวดอสุภกรรมฐานนี้ชำนาญเป็นพื้นฐานแล้ว ต่อไปเจริญวิปัสสนาญาณ จะเข้าถึงการบรรลุเป็นพระอนาคามีผลไม่ยากนัก เพราะพระอนาคามีผลเป็นพระอริยบุคคลที่มีความสงบระงับความรู้สึกในกามารมณ์ได้เด็ดขาด

ท่านที่เจริญกรรมฐานหมวดอสุภนี้ ก็เป็นการเริ่มต้นในการเจริญฌานด้านที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกามารมณ์ ฉะนั้น นักปฏิบัติกรรมฐาน ที่มีความชำนาญในอสุภกรรมฐาน จึงเป็นของง่ายในการเจริญวิปัสสนาญาณ เพื่อให้บรรลุเป็นอนาคามีผลและอรหัตตผล

การพิจารณาอสุภทั้ง ๑๐ นี้ ท่านสอนให้พิจารณาเพื่อถือเอานิมิตโดยอาการ ๖ อย่างดังต่อไปนี้ 

๑. พิจารณาโดยสี คือให้กำหนดว่า ซากศพนี้เป็นร่างกายของคนดำหรือคนขาว หรือเป็นร่างกายของคนที่มีผิวด่างพร้อย คือผิวไม่เกลี้ยงเกลา 

๒. พิจารณาโดยเพศอย่ากำหนดว่า ร่างกายนี้เป็นหญิงหรือชาย พึงพิจารณาว่า ซากศพนี้เป็นร่างกายของคนที่มีอายุน้อย มีอายุกลางคน หรือเป็นคนแก่ 

๓.กำหนดพิจารณาโดยสัณฐาน คือกำหนดพิจารณาว่า นี่เป็นคอ เป็นศีรษะ เป็นท้อง เป็นเอว เป็นขา เป็นเท้า เป็นแขน เป็นมือ ดังนี้เป็นต้น 

๔.กำหนดโดยทิศ ทิศนี้ท่านหมายเอาสองทิศ คือ ทิศเบื้องบน ได้แก่ทางด้านศีรษะ ทิศเบื้องต่ำ ได้แก่ทางด้านปลายเท้าของซากศพ ท่านมิได้หมายถึงทิศเหนือทิศใต้ ตามที่นิยมกัน ท่านให้สังเกตว่า ที่เห็นอยู่นั้นเป็นทางด้านศีรษะ หรือด้านปลายเท้า 

๕. กำหนดพิจารณาโดยที่ตั้ง ท่านให้พิจารณากำหนดจดจำว่า ซากศพนี้ศีรษะวางอยู่ที่ตรงนี้ มือวางอยู่ตรงนี้ เท้าวางอยู่ตรงนี้ ตัวเราเอง เวลาที่พิจารณาอสุภนี้ เรายืนอยู่ตรงนี้ 

๖. กำหนดพิจารณาโดยกำหนดรู้ หมายถึงการกำหนดรู้ว่า ร่างกายสัตว์ และมนุษย์นี้ มีอาการ ๓๒ เป็นที่สุด ไม่มีอะไรสวยสดงดงามจริง ตามที่ชาวโลกผู้มัวเมาไปด้วยกิเลสหลงใหลใฝ่ฝันอยู่ ความจริงแล้วก็เป็นของน่าเกลียดโสโครก มีกลิ่นเหม็นคลุ้งมีสภาพขึ้นอืดพอง มีน้ำเลือดน้ำหนองเต็มร่างกายที่พอจะมองเห็นว่าสวยสดงดงาม พอที่จะอวดได้ก็มีนิดเดียว คือหนังกำพร้าที่ปกปิดอวัยวะภายใน ทำให้มองไม่เห็นสิ่งโสโครก คือ น้ำเลือด น้ำหนอง ดี เสลด ไขมัน อุจจาระ ปัสสาวะ ที่ปรากฏอยู่ภายใน แต่ทว่า หนังกำพร้าใช่ว่าจะสวยสดงดงามจริงเสมอไปก็หาไม่ ถ้าไม่คอยขัดถูแล้วไ่ม่นาน เท่าใดคือไม่เกินสองวันที่ไม่ได้อาบน้ำชำระร่างกาย หนังที่สดใสก็กลายเป็นสิ่งโสโครกเหม็นสาบเหม็นสาง ตัวเองก็รังเกียจตัวเอง

เมื่อมีชีวิตอยู่ก็เอาดีไม่ได้ พอตายแล้วยิ่งโสโครกใหญ่ ร่างกายที่เคยผ่องใส ก็เป็นซากศพที่ขึ้นอืดพอง น้ำเหลือไหลมีกลิ่นเหม็นตลบไปทั่วบริเวณ คนที่เคยรักกันปานจะกลืน พอสิ้นลมปราณลงไปในทันทีก็พลันเกลียดกัน แม้แต่จะเอามือเข้ามาแตะ ต้องก็ไม่ต้องการ บางรายแม้แต่มองก็ไม่อยากมอง มีความรังเกียจซากศพ ซ้ำร้ายกว่านั้น เมื่ออยู่รัก และหวงแหน จะไปสังคมสมาคมกับใครอื่นไม่ได้ ทราบเข้าเมื่อไรเป็นมีเรื่อง 

แต่พอตายจากกันวันเดียวก็มองเห็นคนที่แสนรักกลายเป็นศัตรู กลัววิญญาณคนตายจะมาหลอกหลอนเกรงคนที่แสนรักจะมาทำอันตราย ความเลวร้ายของสังขารร่างกายเป็นอย่างนี้ เมื่อพิจารณากำหนดทราบเห็นแล้ว ก็น้อมนึกถึงสิ่งที่ตนรัก คือคนที่รัก ที่ปรารถนา ที่เราเห็นว่าเขาสวยสดงดงาม เอาความจริงจากซากอสุภเข้าไปเปรียบเทียบ พิจารณาว่า คนที่เรารักแสนรัก ที่เห็นว่าเขาสวยสดงดงามนั้นเขากับซากศพนี้มีอะไรแตกต่างกันบ้าง 

เดิมซากศพนี้ก็มีชีวิตเหมือนเขา พูดได้ เดินได้ ทำงานได้ แสดงความรักได้ เอาอกเอาใจได้ แต่งตัวสวยสดงดงามได้ ทำอะไร ๆ ได้ทุกอย่าง ตามที่คนรักของเราทำ แต่บัดนี้เขาเป็นอย่างนี้ คนรักของเราก็เป็นอย่างเขาเราจะมานั่งหลอกตนเองว่า เขาสวย เขางาม น่ารัก น่าปรารถนาอยู่เพื่อเหตุใด แม้แต่ตัวเราเองสิ่งที่เรามัวเมากายมัวเมาชีวิต หลงใหลว่าร่างกายเราสวยสดงดงามวิไลไม่ว่าอะไรน่ารักน่าชมไปหมด ผิวที่เต็มไปด้วยเหงื่อไคลเราก็เอาน้ำมาล้าง เอาสบู่มาฟอก นำแป้งมาทา เอาน้ำหอมมาพรม

แล้วก็เอาผ้าที่เต็มไปด้วยสีหุ้มห่อ เอาวัตถุมีสีต่างๆ มาห้อยมาคล้องมองดูคล้ายบ้าหอบฟางแล้วก็ชมตัวเองว่าสวยสดงดงาม ลืมคิดถึงสภาพความเป็นจริง ที่เราเองก็หอบเอาความโสโครกเข้าไว้พอแรง เราเองเรารู้ว่าในกายเราสะอาดหรือสกปรก ปากที่เราว่าปากสวย ในปากเต็มไปด้วยเสลดน้ำลาย น้ำลายของเราเองเมื่ออยู่ในปากอมได้ กลืนได้ แต่พอบ้วนออกมาแล้ว กลับรังเกียจไม่กล้าแม้แต่จะเอามือแตะ นี่เป็นสิ่งสกปรกที่เรามีหนึ่งอย่างละ

ต่อไปก็อุจจาระ ปัสสาวะ เลือด น้ำเหลือง ที่หลั่งไหลอยู่ในร่างกาย พอไหลออกมานอกกายเราก็รังเกียจทั้งๆ ที่เป็นตัวของเราเอง นี้ก็เป็นสิ่งโสโครกที่เป็นสมบัติของเราเองอีก

น้ำเลือดน้ำเหลืองของซากศพที่เรามองเห็นนั้น ซากศพนั้นมีสภาพอย่างไรเมื่อตายไปแล้วจากความเป็นคนหรือสัตว์ เราเรียกกันว่าผีตาย เขามีสภาพอย่างไร คือตายแล้วมีน้ำเลือดน้ำเหลือง หลั่งไหลออกจากร่างกายฉันใด เราแม้ยังไม่ตาย สิ่งเหล่านั้นก็มีครบแล้ว คนที่เราคิดว่าสวยสดงดงามตามที่นิยมกัน ก็เต็มไปด้วยความโสโครกที่น่ารังเกียจเหมือนกัน เอาอะไรมาเป็นของน่ารักน่าปรารถนา เรารักคนก็มีสภาพเท่ารักศพ ศพนี้น่าเกลียดน่าชังเพียงใด คนรักที่เรารักก็มีสภาพอย่างนั้นพยายามพิจารณา ใคร่ครวญให้เห็นติดอกติดใจ จนกระทั่งเห็นสภาพของผู้ใดก็ตาม ที่เขานิยมกันว่า น่ารัก น่าชม นั้น เห็นแล้วมีความรู้สึกว่าเป็นซากศพทันที มีความรังเกียจสะอิดสะเอียนขึ้นมาทันทีทันใด เห็นคนหรือสัตว์มีสภาพเป็นซากศพไปหมด เต็มไปด้วยความรังเกียจที่จะสัมผัสถูกต้องรังเกียจที่จะคิดว่าร่ารักน่าดู เพราะความสวยสดงดงาม เห็นผิวกายนอกก็มองเห็นภายใน คือเห็นเป็นสภาพถุงน้ำเลือด น้ำหนอง ถุงอุจจาระ ปัสสาวะ ที่เคลื่อนที่ได้
พูดด้วยสนทนาด้วย ก็เห็นสภาพผู้ที่พูดจาสนทนาด้วย เป็นถุงอุจจาระ ปัสสาวะ และ ถุงน้ำเลือด น้ำหนอง มาพูดคุยด้วยคิดว่าขณะนี้เขามีสภาพเป็นถุง น้ำเลือด น้ำหนอง มาสนทนาปราศรัยกับเรา ต่อไปเขาก็จะกลายเป็นซากศพที่มีร่างกายอืดพอง น้ำเหลืองไหล ต่อไปกายก็จะขาดจากกันเป็นท่อนน้อย และท่อนใหญ่ สัตว์จะกัดกิน และในที่สุดก็จะเหลือแต่กระดูกกระจัดกระจายไป เขานี่เป็นผีตายชัดๆ เราก็เช่นเดียวกัน เขามีสภาพเช่นไร เราก็มีสภาพเช่นนั้น กายนี้ล้วนแต่เป็น อนิจจัง หาความเที่ยงแท้แน่นอนไม่ได้เลย

แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่สะสมของโสโครกแล้ว แต่ถ้าจะยังยืนคู่ฟ้าคู่ดินก็ยังพอที่จะทนรักทนชอบได้บ้าง แต่เปล่าเลย ท่านหลงว่าสวยสดงดงามนั้นก็เป็นสิ่งหลอกลวง เต็มไปด้วยความโสโครกเท่านั้นยังไม่พอกลับหาความเที่ยงแท้แน่นอนไม่ได้อีก ดิ้นรนกลับกลอกทรุดโทรมลงทุกวัน ทุกเวลา เคลื่อนเข้าไปหาความแก่ทุกวัน ทุกนาที ยิ่งมากวัน ความเสื่อมโทรมของร่างกายก็ทวีมากขึ้น จากความเป็นเด็กตัวเล็กๆ มาเป็นคนหนุ่ม คนสาว จากความเป็นคนหนุ่ม คนสาว มาเป็น คนแก่ 

การเคลื่อนไปนั้นมิใช่เคลื่อนเปล่ายังนำเอาโรคภัยไข้เจ็บมาทับถมให้ไม่เว้นแต่ละวัน ปวดที่โน่น ปวดที่นี่ โรคแน่น โรคจุกเสียด ปวดร้าว มีตลอดเวลา อวัยวะที่เคยใช้คล่องแคล่วสมบรูณ์บริบรูณ์ด้วยกำลัง ก็ง่อนแง่นคลอนแคลน กำลังวังชาหมดไป ทำอะไรไม่ได้สะดวก หูก็หนัก ตาก็ฟาง ได้ยินเห็นอะไรไม่ถนัด เต็มไปด้วยทุกข์ จะห้ามปรามรักษาด้วยหมอวิเศษท่านใด ก็ไม่สามารถจะยับยั้งความเคลื่อน ความทรุดโทรมนี้ได้ ในที่สุดก็พังทลาย กลายเป็นซากศพ ที่ชาวโลกรังเกียจอย่างนี้ 
อัตภาพนี้เป็นสภาพโสโครกอย่างนี้ เป็นอนิจจัง ไม่เที่ยงอย่างนี้ เป็นทุกขัง ความทุกข์อันเกิดแต่ความเคลื่อนไหวไปหาความเสื่อมอย่างนี้ เป็น อนัตตา เพราะเราจะบังคับบัญชาควบคุมไม่ให้เคลื่อนไปไม่ได้ ต้องเป็นไปตามกฏธรรมดา พิจารณาเห็นโทษอันเกิดแต่ร่างกาย เกิดนิพพิทาความเบื่อหน่ายในร่างกายของตนเองและร่างกายผู้อื่น เห็นสภาพร่างกายของตนเองและของผู้อื่นเป็นซากศพ หมดความพิสมัยรักใคร่ โดยเห็นว่าไม่มีอะไรสวยงาม เห็นเมื่อไรเบื่อหน่ายหมดความพอใจเมื่อนั้น เห็นคนมีสภาพเป็นศพทุกขณะที่เห็น อย่างนี้ท่านเรียกว่าได้อสุภกรรมฐานในส่วนของสมถภาวนาเห็นร่างกายเป็นซากศพ เบื่อในร่างกาย และเห็นว่าร่างกายนี้เต็มไปด้วยความไม่เที่ยง สกปรกโสมมแล้วยังหาความแน่นอนไม่ได้อีก เคลื่อนไปหาความแก่ตายทุกวันทุกเวลา ขณะที่เคลื่อนไปก็เต็มไปด้วยความทุกข์ เพราะต้องได้รับทุกข์จากโรค รับทุกข์จากการบริหารร่างกาย มีการประกอบการงานเป็นต้น ทุกข์เพราะ มีลาภ แล้ว ลาภหมดไป มียศ แล้ว ยศสิ้นไป มีสุข แล้ว ทุกข์ มาทับถม เดี๋ยวมีคำ สรรเสริญ มาป้อยอ แต่ไม่นานก็ถูก นินทา เป็นเหตุให้ใจเป็นทุกข์ ทุกข์เพราะความเสื่อมโทรมของร่างกาย มีอวัยวะทุพพลภาพ หูหนัก ตาฟาง ฟันหัก ร่างกายร่วงโรย ความจำเสื่อม ล้วนแล้วแต่เป็นส่วนของความทุกข์ทั้งสิ้น 

เห็นร่างกายเป็นทุกข์แล้วก็เห็นความดื้อด้านของสังขารร่างกายที่บังคับบัญชาไม่ได้ คือเห็นว่าความเสื่อมโทรมอย่างนี้เราไม่ต้องการ ก็บังคับไม่ได้ ไม่ต้องการให้ปวดเจ็บเมื่อยล้า แต่มันก็จะเป็น ไม่มีใครห้ามได้ ไม่ต้องการให้ระบบประสาทเสื่อมมันก็จะเสื่อมใครก็ห้ามไม่ได้ ไม่ต้องการตาย มันก็ตาย ไม่มีใครห้ามได้ สิ่งที่ห้ามไม่ได้นี้ ท่านเรียกว่า อนัตตา แปลว่าเป็นสิ่งเหลือวิสัยที่จะบังคับ ที่ท่านแปลอนัตตาว่า ไม่ใช่ตัวตนนั่นเอง เพราะถ้าเป็นตัวตนของเราจริงแล้ว เราก็บังคับได้ ถ้าบังคับไม่ได้ก็ไม่ใช่ตัวตนของเราแน่

อารมณ์ที่เห็นว่าร่างกายนอกจากจะโสโครกน่าสะอิดสะเอียนเป็นซากศพแล้ว ยังไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เกิดความเบื่อหน่ายในการทรงสังขารร่างกาย เบื่อที่จะเกิดต่อไป เพราะถ้าเกิดมีร่างกายในภพใด ร่างกายก็จะมีสภาพโสโครกสกปรกเป็นซากศพและไม่เที่ยง เป็นทุกข์บังคับบัญชาไม่ได้อย่างนี้อีก ความเบื่อหน่ายในร่างกาย เบื่อในการเกิด เป็นนิพพิทาญาณในวิปัสสนาญาณ ถ้าท่านคิดใคร่ครวญ ในรูปสมถะให้เห็นซากศพอยู่เสมอ และใคร่ครวญหากฎธรรมดาควบคู่กันไป

คือเมื่อเกิดความทุกข์อันเกิดแต่การป่วยไข้ หรืออารมณ์ที่ไม่พอใจ หรือความแก่เฒ่าเข้ารบกวน ท่านก็วางใจเฉยเสียไม่ดิ้นรนกระเสือกกระสน โดยคิดว่านี่เป็นเรื่องของธรรมดา เกิดมามันก็ต้องเจ็บไข้ไม่สบาย มีลาภแล้วลาภมันก็เสื่อมได้ มียศแล้วยศมันก็สิ้นได้ มีสุขแล้วทุกข์มันก็มีได้ มีคนสรรเสริญแล้วคนนินทาก็มีได้ เกิดแล้วก็ต้องตายได้ ทุกอย่างมันธรรมดาแท้ๆ จนจิตชินต่ออารมณ์ มีอะไรที่เป็นทุกข์เกิดขึ้น ก็รู้สึกว่าเป็นปกติ ไม่ดิ้นรนหวั่นไหวอย่างนี้ ท่านเรียกว่าได้สังขารุเปกขาญาณในวิปัสสนาญาณ เป็นคุณธรรมที่ใกล้ความเป็นผู้บรรลุพระโสดาบันแล้ว
หมั่นคิดนึกไปเสมอๆ ถึงร่างกายที่มีสภาพเป็นซากศพ ร่างกายที่ไม่มีอะไรแน่นอน จนจิตคิดเป็นปกติว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา ไม่หวั่นไหวต่อมรณภัย มีจิตใจศรัทธาเชื่อมั่นในคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า จิตว่างจากกรรมชั่วครู่ คือรักษาศีล ๕ ได้เป็นปกติ มีอารมณ์รักพระนิพพานเป็นปกติ คือใคร่ครวญปรารถนาแต่พระนิพพาน ไม่ต้องการความเกิดต่อไปอีก อย่างนี้ท่านว่าทรงคุณได้ในระดับพระโสดาบัน

ฉะนั้น ขอให้นักปฏิบัติที่ปฏิบัติในอสุภกรรมฐาน จงอุตส่าห์พยายามกำหนดพิจารณาให้ขึ้นใจ จนได้ปฏิภาคนิมิตในที่สุด แล้วรักษานิมิตนั้นไว้อย่าให้เสื่อม ต่อไปก็ยกเอานิมิตนั้นขึ้นสู่อารมณ์วิปัสสนาญาณ ท่านจะเข้าถึงมรรคผลนิพพานได้ภายในไม่ช้าเลย การพิจารณาอย่างนี้ เรียกว่าพิจารณากำหนดรู้
by admin admin ไม่มีความเห็น

อัชฌาสัยเตวิชโช

อัชฌาสัยเตวิชโช หมายถึงท่านที่มีอุดมคติในด้านวิชชาสาม คือทรงคุณสามประการ ใน
ส่วนแห่งการปฏิบัติ ได้แก่คุณธรรมดังต่อไปนี้ 
          ๑.  ปุเพนิวาสานุสสติญาณ การระลึกชาติที่แล้วๆ มาได้ 
          ๒. จุตูปปาตญาณ รู้ว่าสัตว์ที่ตายไปแล้ว และเกิดมานี้ ตายแล้วไปไหน ก่อนเกิดมาจากไหน 
          ๓.  อาสวักขยญาณ รู้จักทำอาสวกิเลสให้สิ้นไป 
          เมื่อพิจารณาตามคุณพิเศษสามประการนี้แล้ว แสดงให้เห็นว่าท่านที่มีอุดมคติในด้าน
เตวิชโชนี้ ท่านเป็นคนอยากรู้อยากเห็น เมื่อพบเห็นอะไรเข้าก็เป็นเหตุให้คิดนึกถึงสมุฏฐานที่เกิด
ว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้เกิดมาจากอะไร เดิมก่อนจะเป็นอย่างนั้น เป็นอะไรมาก่อน เช่นเห็นของที่มีวัตถุปกปิด
ก็อยากจะแก้วัตถุที่ปกปิดนั้นออก เพื่อสำรวจตรวจดูของภายใน เห็นของภายในว่าเป็นอะไรแล้ว ก็
อยากจะรู้ต่อไปว่า ภายในของนั้นมีอะไรบ้าง ทำด้วยอะไร เมื่อรู้แล้วก็อยากรู้ต่อไปว่า สิ่งนั้น ๆ เกิดมา
ได้อย่างไร อย่างนี้เป็นต้น 
           ท่านประเภทเตวิชโชนี้ จะให้ท่านทำตนเป็นคนหวังผลอย่างเดียว โดยไม่ให้พิสูจน์ค้นคว้า
เลยนั้น ท่านประเภทนี้ทนไม่ไหว เพราะอัชฌาสัยไม่ชอบประเภทคลุมหน้าเดินโดยที่ไม่ได้พิสูจน์ต้นทาง
ปลายทางเสียก่อน ถ้าต้องทำแบบคลุมหน้าเดินอย่างท่านสุกขวิปัสสโกแล้วท่านก็ทนไม่ไหว รำคาญใจ
หยุดเอาเฉย ๆ คนประเภทนี้เคยพบมาในขณะสอนสมณธรรมมีจำนวนมาก ประเภทเตวิชโชนั้น ส่วน
ใหญ่มักชอบรู้ชอบเห็นพอให้วิปัสสนาล้วนเธอเข้า เธอก็บ่นอู้อี้ว่าไม่รู้ไม่เห็นอะไรเลย ต่อเมื่อให้
กรรมฐานประเภททิพยจักษุญาณ หรือมโนมยิทธิ เธอก็พอใจ ทำได้อย่างไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย จะ
ยากลำบากก็ทนทำจนสำเร็จผล ทางที่ได้พิสูจน์มาเป็นอย่างนี้

แนวปฏิบัติสำหรับเตวิชโช
          ทราบแล้วว่า เตวิชโชมีอะไรบ้าง ขอนำแนวปฏิบัติมาเขียนไว้ เพื่อรู้แนวทาง หากท่านผู้อ่าน
ประสงค์จะรู้หรือจะนำไปปฏิบัติก็จะสะดวกในการค้นคว้า เตวิชโชหรือท่านผู้ทรงวิชชาสาม มีปฏิปทา
ในการปฏิบัติดังต่อไปนี้ 
          ๑. การรักษาศีลให้สะอาดหมดจด ยอมตัวตายดีกว่าศีลขาด 
          ๒. ฝึกสมาธิในกรรมฐานที่มีอภิญญาเป็นบาท คือกสิณกองใดกองหนึ่งที่เป็นสมุฏฐาน
ให้เกิดทิพยจักษุญาณ กสิณที่เป็นสมุฏฐานให้เกิดทิพยจักษุญาณนั้นมีอยู่สามกองด้วยกัน  คือ 
           ๑. เตโชกสิณ เพ่งไฟ 
           ๒. อาโลกกสิณ เพ่งแสงสว่าง 
           ๓. โอทาตกสิณ เพ่งสีขาว 
          กสิณทั้งสามอย่างนี้ อย่างใดก็ตาม เป็นพื้นฐานให้ได้ทิพยจักษุญาณทั้งสิ้น แต่ตามนัย
วิสุทธิมรรคท่านกล่าวว่า ในบรรดากสิณทั้งสามอย่างนี้ อาโลกกสิณเป็นกสิณสร้างทิพยจักษุญาณ
โดยตรง ท่านว่าเจริญอาโลกกสินั่นแหละเป็นการดี 
          วิธีเจริญอาโลกกสิณเพื่อทิพยจักษุญาณ  การสร้างทิพยจักษุญาณด้วยการเจริญ
อาโลกกสิณนั้น ท่านให้ปฏิบัติดังนี้ ท่านให้เพ่งแสงสว่างที่ลอดมาทางช่องฝาหรือหลังคาให้กำหนด
จิตจดจำภาพแสงสว่างนั้นไว้ให้จำได้ดี แล้วหลับตากำหนดนึกถึงภาพแสงสว่างที่มองเห็นนั้น ภาวนา
ในใจ พร้อมทั้งกำหนดนึกถึงภาพนั้นไปด้วย ภาวนาว่า “อาโลกกสิณัง” แปลว่า แสงสว่างกำหนด
นึกไป ภาวนาไป ถ้าภาพแสงสว่างนั้นเลอะเลือนจากไป ก็ลืมตาดูใหม่ ทำอย่างนี้เรื่อยไป จนภาพนั้น
ติดตา ติดใจ นึกคิดขึ้นมาเมื่อไร ภาพนั้นก็ปรากฏแก่ใจตลอดเวลา ในขณะที่กำหนดจิตคิดเห็นภาพนั้น
ระวังอารมณ์จิตจะซ่านออกภายนอก และเมื่อจิตเริ่มมีสมาธิ ภาพอื่นมักเกิดขึ้นมาสอดแทรกภาพกสิณ
เมื่อปรากฏว่ามีภาพอื่นสอดแทรกเข้ามาจงตัดทิ้งเสีย โดยไม่ยอมรับรู้รับทราบ กำหนดภาพเฉพาะ
ภาพกสิณอย่างเดียว ภาพแทรกเมื่อเราไม่สนใจไยดีไม่ช้าก็ไม่มารบกวนอีก เมื่อภาพนั้นติดตาติดใจ
จนเห็นได้ทุกขณะจิตที่ปรารถนาจะเห็นได้แล้ว และเป็นภาพหนาใหญ่จะกำหนดจิตให้ภาพนั้นเล็ก ใหญ่
ได้ตามความประสงค์ ให้สูงต่ำก็ได้ตามใจนึก เมื่อเป็นได้อย่างนั้นก็อย่าเพิ่งคิดว่าได้แล้ว ถึงแล้ว
จงกำหนดจิตจดจำไว้ตลอดวันตลอดเวลา อย่าให้ภาพแสงสว่างนั้นคลาดจากจิต จงเป็นคนมีเวลา คืออย่า
คิดว่าเวลานั้นเถอะเวลานี้เถอะจึงค่อยกำหนด การเป็นคนไม่มีเวลา เพราะหาเวลาเหมาะไม่ได้นั้น
ท่านว่าเป็นอภัพพบุคคลสำหรับการฝึกญาณ คือเป็นคนหาความเจริญไม่ได้ ไม่มีทางสำหรับมรรคผล
เท่าที่ตนปรารถนานั่นเอง  ต้องมีจิตคิดนึกถึงภาพกสิณตลอดเวลาที่ตื่นอยู่ ไม่ยอมให้ภาพนั้นคลาด
จากจิต ไม่ว่า กิน นอน นั่ง เดิน ยืน หรือทำกิจการงาน ต่อไปไม่ช้าภาพกสิณก็จะค่อยคลายจากสีเดิม
เปลี่ยนเป็นสีใสประกายพรึกน้อยๆ และค่อย ๆ ทวีความสดใสประกายมากขึ้น ในที่สุดก็จะปรากฏเป็น
สีประกายสวยสดงดงาม คล้ายดาวประกายพรึกดวงใหญ่ ตอนนี้ก็กำหนดใจให้ภาพนั้นเล็ก โต สูง ต่ำ
ตามความต้องการ การกำหนดภาพเล็ก โต สูง ต่ำและเคลื่อนที่ไปมาอย่างนี้ จงพยายามทำให้คล่อง
จะเป็นประโยชน์ตอนฝึกมโนมยิทธิ คือ ถอดจิตออกท่องเที่ยวมาก เมื่อภาพปรากฏประจำจิตไม่คลาด
เลื่อนได้รวดเร็ว เล็กใหญ่ได้ตามประสงค์คล่องแคล่วว่องไวดีแล้ว ก็เริ่มฝึกทิพยจักษุญาณได้แล้ว
เมื่อฝึกถึงตอนนี้ มีประโยชน์ในการฝึกทิพยจักษุญาณ และฝึกมโนมยิทธิ คือถอดจิตออกท่องเที่ยว
และมีผลในญาณต่างๆ ที่เป็นบริวารของทิพยจักษุญาณทั้งหมด เช่น 
          ๑. ได้จุตูปปาตญาณ รู้ว่าสัตว์ที่ตายไปแล้วไปเกิด ณ ที่ใด ที่มาเกิดนี้มาจากไหน 
          ๒. เจโตปริยญาณ รู้อารมณ์จิตของคนและสัตว์
          ๓. ปุเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติที่เกิดมาแล้วในกาลก่อนได้
          ๔. อตีตังสญาณ รู้เหตุการณ์ในอดีตได้ 
          ๕. อนาคตังสญาณ รู้เหตุการณ์ในกาลข้างหน้าต่อไปได้
          ๖. ปัจจุปปันนังสญาณ รู้เหตุปัจจุบันว่า ขณะนี้อะไรเป็นอะไรได้ 
          ๗. ยถากัมมุตาญาณ รู้ผลกรรมของสัตว์ บุคคล เทวดา และพรหมได้ว่าเขามีสุขมีทุกข์
เพราะผลกรรมอะไรเป็นเหตุ 
           การฝึกกสิณจนถึงระดับดีมีผลมากอย่างนี้ ขอนักปฏิบัติจงอย่าท้อถอย สำหรับวันเวลาหรือ
ไม่นานตามที่ท่านคิดหรอก จงอย่าเข้าใจว่าต้องใช้เวลาแรมปี คนว่าง่ายสอนง่ายปฏิบัติตามนัยพระพุทธ-
เจ้า สั่งสอนแล้ว ไม่นานเลย นับแต่อย่างเลวจัดๆ ก็สามเดือน เป็นอย่างเลวมาก อย่างดีมากไม่เกิน
เจ็ดวันเป็นอย่างช้า ทั้งนี้ อาจจะเป็นเพราะท่านผู้นั้นเคยได้ทิพยจักษุญาณมาในชาติก่อนๆ ก็ได้เพราะ
ท่านกล่าวไว้ในวิสุทธิมรรรคว่า “ท่านที่เคยได้ทิพยจักษุญาณมาในชาติก่อนๆ แล้วนั้น พอเห็นแสงสว่าง
จากช่องฝาหรือหลังคา ก็ได้ทิพยจักษุญาณทันที” เคยพบมาหลายคนเหมือนกัน แม้แต่มโนมยิทธิซึ่ง
เป็นของยากกว่าหลายร้อยรายที่พอฝึกเดี๋ยวนั้น ไม่ทันถึงชั่วโมงเธอก็ได้เลย ทำเอาครูอายเสียเกือบแย่
เพราะครูเองก็ย่ำต๊อกมาแรมเดือน แรมปี กว่าจะพบดีเอาความรู้นี้มาสอนได้ก็ต้องบุกป่าบุกโคลน
ขึ้นเขาลำเนาไม้เสียเกือบแย่ แต่ศิษย์คว้าปับได้บุปอย่างนี้ ครูจะไม่อาย แล้วจะไปรออายกันเมื่อไร แต่ก็
ภูมิใจอยู่นิดหนึ่งว่า ถึงแม้ครูจะทึบ ก็ยังมีโอกาสมีศิษย์ฉลาดพออวดกับเขาได้
          กำหนดภาพถอนภาพ  เมื่อรู้อานิสงส์อาโลกกสิณแล้ว ก็จะได้แนะวิธีใช้ฌานจากฌานใน
กสิณต่อไป การเห็นภาพเป็นประกายและรักษาภาพไว้ได้นั้นเป็นฌานต้องการจะดูนรกสวรรค์ พรหมโลก
หรืออะไรที่ไหน จงทำดังนี้ กำหนดจิตจับภาพกสิณตามที่กล่าวมาแล้วให้มั่นคง ถ้าอยากดูนรก ก็กำหนด
จิตลงต่ำแล้วอธิฐานว่าขอภาพนี้จงหายไป ภาพนรกจงปรากฏขึ้นมาแทน เท่านี้ภาพนรกก็จะปรากฏ
อยากดูสวรรค์กำหนดจิตให้สูงขึ้น แล้วคิดว่า ขอภาพกสิณจงหายไป ภาพสวรรค์จงปรากฏแทน ภาพ
พรหม หรืออย่างอื่นก็ทำเหมือนกัน ถ้าฝึกกสิณคล่องแล้วไม่มีอะไรอธิบายอีก เพราะภาพอื่นที่จะเห็น
ก็เพราะเห็นภาพกสิณก่อน แล้วกำหนดจิตให้ภาพกสิณหายไป เอาภาพใหม่มาแทน การเห็นก็เห็น
ทางใจเช่นเดียวกับภาพกสิณ แต่ชำนาญแล้วก็เห็นชัดเหมือนเห็นด้วยตา เล่นให้คล่อง จนพอคิดว่าจะรู้
ก็รู้ได้ทันทีทันใด ไม่ว่าตื่นนอนใหม่ กำลังง่วงจะนอน ร้อน หนาว ปวด เมื่อย หิว เจ็บไข้ได้ป่วยทำได้
ทุกเวลาอย่างนี้ก็ชื่อว่าท่านได้กสิณกองนี้แล้วและได้ทิพยจักษุญาณแล้ว เมื่อได้ทิพยจักษุญาณเสียอย่าง-
เดียว ญาณต่าง ๆ ที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ก็ไม่มีอะไรจะต้องทำ ได้ไปพร้อมๆ กัน เว้นไว้แต่ปุพเพนิวา-
สานุสสติญาณ ท่านว่าต้องมีแบบฝึกต่างหาก แต่ตามผลปฏิบัติพอได้ทิพยจักษุญาณเต็มขนาดแล้ว ก็เห็น
ระลึกชาติได้กันเป็นแถว ใครจะระลึกได้มาก ได้น้อยเป็นเรื่องของความขยันและขี้เกียจ ใครขยันมาก
ก็ระลึกได้มาก ขยันน้อยก็ระลึกได้น้อย ขยันมากคล่องมาก ขยันน้อยคล่องน้อย ไหน ๆ ก็พูดมาถึง
ปุพเพนิวาสานุสสติญาณแล้ว ขอนำวิธีฝึกปุพเพนิวาสานุสสติญาณมากล่าวต่อกันไว้เสียเลย 
         ฝึกปุพเพนิวาสานุสสติญาณ  การเจริญปุพเพนิวาสานุสสติญาณ คือฝึกวิชาการระลึก
ชาตินั้น ท่านให้ทำดังต่อไปนี้ ท่านให้เข้าฌาน ๔ ในกสิณอย่างใดอย่างหนึ่ง  ต้องเป็นฌานในกสิณ
อย่างอื่นไม่ได้ นี่ว่าเฉพาะคนเริ่มฝึกใหม่ ไม่เคยได้ปุพเพนิวาสานุสสติญาณมาในชาติก่อนๆ เมื่อเข้า
ฌาน ๔ แล้ว ออกจากฌาน ๔ มาพักอารมณ์อยู่เพียงอุปจารฌาน เรื่องฌานและอุปจารฌานนี้ขอให้
ทำความเข้าใจเอาตอนที่ว่าด้วยฌานจะเขียนต่อไปข้างหน้า หากประสงค์จะทราบก็ขอให้เปิดต่อไป
ในข้อที่ว่าด้วยฌาน เมื่อพักจิตอยู่เพียงอุปจารฌานแล้ว  ก็ค่อย ๆ  คิดย้อนถอยหลังถึงเหตุการณ์
ที่ล่วงมาแล้วในอดีตตั้งแต่เมื่อตอนสายของวัน  ถอยไปตามลำดับถึงวันก่อนๆ เดือนก่อนๆ ปีก่อนๆ
และชาติก่อนๆ ตามลำดับ ถ้าจิตฟุ้งซ่านก็พักคิดเข้าฌานใหม่  พอจิตสบายก็ถอยออกมา แล้วถอย
ไปตามที่กล่าวแล้ว ไม่นานก็จะค่อยๆ รู้ค่อยๆ เห็น การรู้การเห็นเป็นการรู้เห็นด้วยกำลังฌาน
อันปรากฏเป็นรูปของฌาน คือ รู้เห็นทางใจอย่างเดียวกับทิพยจักษุญาณเห็นคล้ายดูภาพยนต์
เห็นภาพพร้อมกับรู้เรื่องราวต่างๆ พร้อมกันไป รู้ชื่อ รู้อาการ รู้ความเป็นมาทุกอย่าง เป็นการสร้าง
ความเพลิดเพลินแก่นักปฏิบัติ ทำให้เกิดความรื่นเริงหรรษา มีความสบายใจเป็นพิเศษ ดีกว่ามั่วสุม
กับคนมากที่เต็มไปด้วยกิเลสและตัณหา มีประโยชน์ในการเจริญวิปัสสนาญาณมาก  เพราะรู้แจ้ง
เห็นจริงว่า การเกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิด หาที่สุดมิได้นี้เป็นความจริง การเกิดแต่ละครั้งก็เต็มไปด้วย
ความทุกข์ทุรนทุรายไม่มีอะไรเป็นสุข บางคราวเกิดในตระกูลยากจน บางคราวเกิดในตระกูลเศรษฐี
บางคราวเกิดในตระกูลกษัตริย์ ทรงอำนาจวาสนา บางคราวเป็นเทวดา บางคราวเป็นพรหม บางคราว
เป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย สัตว์เดียรัจฉาน รวมความว่าเราเป็นมาแล้วทุกอย่าง ไม่ว่าเกิด
เป็นอะไรก็เต็มไปด้วยความทุกข์ หาการพ้นทุกข์เพราะการเกิดไม่ได้เลย เมื่อเห็นทุกข์ในการเกิด
ก็เป็นการเห็นอริยสัจ ๔ จัดว่าเป็นองค์วิปัสสนาญาณ อันดับสูง การเห็นด้วยปัญญาญาณจัดเข้าใน
ประเภทรู้แจ้งเห็นจริง ไม่ใช่เห็นแบบวิปัสสนึก คือ การคาดคะเนเดาเอาเอง เดาผิดบ้างถูกบ้างตาม
อารมณ์คิดได้บ้าง หลง ๆ ลืมๆ  บ้าง เป็นวิปัสสนึกที่ให้ผลช้าอาจจะเข้าใจในอริยสัจได้แต่ก็นานมาก
และทุลักทุเลเกินสมควร ที่เหลวเสียนั่นแหละมาก ส่วนที่ได้เป็นมรรคผลมีจำนวนน้อยเต็มทน
           ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ผ่อนคลายมานะ นอกจากจะทราบประวัติของตนเองในอดีต-
ชาติแล้ว ยังช่วยทำให้มีปัญญาญาณรู้แจ้งเห็นจริงในอริยสัจได้โดยง่าย ยิ่งกว่านั้นยังคลายมานะ ความ
ถือตนถือตัว อันเป็นกิเลสตัวสำคัญ ที่แม้พระอนาคามีก็ยังตัดไม่ได้ จะตัดได้ก็ต่อเมื่อถึงอรหัตตผล
นั่นแหละ แต่เมื่อท่านได้ญาณนี้แล้ว ถ้าท่านคิดรังเกียจใคร คนหรือสัตว์ รังเกียจในความโสโครก หรือ
ฐานะ ชาติตระกูล ท่านก็ถอยหลังชาติเข้าไปหาว่า ชาติใด เราเคยเป็นอย่างนี้บ้าง ท่านจะพบว่าท่านเอง
เคยครองตำแหน่งนี้มาก่อน เมื่อพบแล้ว จงเตือนใจตนเองว่า เมื่อเราเป็นอย่างเขามาก่อน เขากับเราก็มี
สภาพเสมอกัน เราเป็นอย่างนั้นมาก่อน เขากับเรามีสภาพเสมอกัน เราเป็นอย่างนั้นมาก่อนเขา
ก็ชื่อว่าเราเป็นต้นตระกูล สภาพการณ์อย่างนั้น ที่เขาเป็นอย่างนั้น เพราะเขารับมรดกตกทอดมาจากเรา
เราจะมารังเกียจทายาทของเราด้วยเรื่องอะไร ถ้าเรารังเกียจทายาท ก็ควรจะรังเกียจตัวเองให้มากกว่า
เพราะทราบแล้วว่าเป็นอย่างนั้นไม่ดี เป็นที่น่ารังเกียจ เราทำไมจึงไม่ทำลายกรรมนั้นเสีย กลับปล่อยให้
เป็นมรดกตกทอดมาให้บรรดาอนุชนรุ่นหลังต้องรับกรรมต่อ ๆ กันมา เป็นความชั่วร้ายเลวทรามของ
เราต่างหาก ไม่ใช่เขาเลว คิดตัดใจว่า เราจะไม่ถือเพศ ชาติตระกูล ฐานะเป็นสำคัญ ใครเป็นอย่างไร
ก็มีสภาพเสมอกันโดยเกิดแล้วตายเหมือนกันหมด ฐานะความเป็นอยู่ ชาติ ตระกูล ในปัจจุบัน เป็น
เสมือนความฝันเลื่อนลอย ไม่มีอะไรเป็นของจริง ในที่สุดก็ต้องตกเป็นเหยื่อของมัจจุราชทั้งสิ้น คิดตัด
อย่างนี้ จะบรรเทามานะ ความถือทะนงตัวเสียได้ ความสุขสงบใจก็จะมีตลอดวันคืน จะก้าวสู่อรหัตตผล
ได้อย่างไม่ยากนัก
 

มโนมยิทธิ มโนมยิทธิแปลว่ามีฤทธิ์ทางใจ ในที่นี้ท่านหมายเอาการถอดจิตออกจากร่าง
แล้วท่องเที่ยวไปในภพต่างๆ ความจริงมโนมยิทธินี้ ท่านจัดไว้ในส่วนอภิญญา แต่เพราะท่านที่ทรง
วิชชาสาม ก็สามารถจะทำได้ จึงขอนำมากล่าวไว้ในวิชชาสาม
          เมื่อท่านทรงฌาน ๔ ได้ในกสิณอย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว ก็เป็นอันว่าท่านมีสิทธิ์ที่จะทรงมโน-
มยิทธิได้ เช่นเดียวกับได้ทิพยจักษุญาณแล้ว ก็มีสิทธิ์ได้ญาณอีกเจ็ดอย่าง ได้ตามที่กล่าวมาแล้วในข้อ
ว่าด้วยทิพยจักษุญาณท่านประสงค์จะท่องเที่ยวไปในสถานที่ต่างๆ จะเป็นภพใดก็ตาม นรก สวรรค์
พรหม นิพพาน ดินแดนในมนุษยโลกทุกหนทุกแห่ง ดาวพระอังคาร พระจันทร์ พระศุกร์ ไม่ว่าบ้านใคร
เมืองใคร เมืองฝรั่ง เมืองแขก เมืองเจ็ก เมืองญวน ท่านไปได้ทุกหนทุกแห่ง โดยไม่ต้องเสียเวลา
รอคอยใคร ไม่ต้องยืมจมูกคนขับเคลื่อน หรือเจ้านายเหนือหัวคนใด ที่จะคอยกำหนดเวลาออกเวลาถึงให้
ไม่ต้องเสียค่าพาหนะมากมายอะไร เพียงกินข้าวเสียให้อิ่ม เพียงอิ่มเดียว ซื้อตั๋วด้วยธูปสามดอก เทียน
หนึ่งเล่ม ดอกไม้สามดอก ถ้าหาได้ หากหาไม่ได้ท่านก็ให้ไปฟรี ไม่ต้องเสียอะไร เพราะท่านเอา
เฉพาะที่หาได้ ถ้าหาไม่ได้ ท่านอนุญาตใช้เวลาไม่ถึงนาทีก็ไปถึงจุดหมายปลายทางได้ จะเข้าบ้าน
สถานทำงาน ห้องนอนใครก็ตาม เข้าได้ตามความประสงค์ ไม่ต้องขออนุญาตเจ้าของบ้าน สำรวจ
ความลับได้ดีมากใครทำอะไร ซุกซ่อนอะไรไว้ที่ไหนมีเมียน้อยเมียเก็บไว้ที่ไหน ก็สำรวจได้หมด
ไม่มีทางปกปิด วิธีทำเพื่อไปทำอย่างนี้ 
          ท่านให้เข้าฌาน ๔ ทำจิตให้โปร่งสว่างไสวดีแล้ว กำหนดจิตว่า ขอร่างกายนี้จงเป็นโพรง
ก็จะเห็นว่าร่างกายเป็นโพรงใหญ่ ต่อแต่นั้นกำหนดจิตว่า ขอร่างอีกร่างหนึ่งจงปรากฏขึ้นภายในกายนี้
กายอีกกายหนึ่งก็จะปรากฏขึ้น ต่อไปก็ค่อยบังคับกายนั้น ให้เคลื่อนไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย แม้
กระทั่งตับไตไส้ปอดลำไส้ทุกส่วน เส้นเลือดทุกเส้น ประสาททุกส่วน บังคับให้กายนั้นเดินไปตรวจ
ให้ถ้วนทั้งร่างกายจะเห็นว่าแม้เส้นเลือดฝอยเส้นเล็กๆ ร่างนั้นก็เดินไปได้อย่างสบาย จะเห็น
เส้นเลือดนั้นเป็นเสมือนถนนสายใหญ่ เดินได้สะดวก เห็นร่างกายนี้เป็นโพรงใหญ่คล้ายเรือหรือถ้ำ
ขนาดใหญ่เมื่อท่องเที่ยวในร่างกายจนชำนาญแล้ว ขณะท่องเที่ยวในร่างกาย อย่าหาความชำนาญ
อย่างเดียว ควรหาความรู้ไปด้วย รู้สภาพของอวัยวะ และรู้สภาพความสกปรกโสมมในร่างกาย จดจำ
สภาพเมื่อปกติไว้ พอป่วยไข้ไม่สบายตรวจร่างกายภายในได้ว่า มีอะไรชำรุดหรือผิดปกติบ้าง เห็นแจ้ง
เห็นชัด เป็นแผลหรือชอกช้ำ รู้ชัดเจนไม่แพ้เอ็กซเรย์เลยมีประโยชน์ในทางตรวจร่างกายด้วย เมื่อ
ชำนาญการตรวจแล้ว ก็กำหนดจิตว่าจะไปที่ใด กำหนดจิตว่าเราจะไปที่นั้น พุ่งกายออกไปก็จะถึงถิ่นที่
ประสงค์ทันที ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งวินาที เมื่อถึงแล้ว จิตจะบอกเองว่าสถานที่นั้นเป็นเมืองอะไร ใครบ้าง
ที่พบ ไม่ต้องมีคนบอก เพราะสภาพของจิตที่เป็นทิพย์ กิเลสไม่ได้หุ้มห่อไป จึงรู้อะไรได้ตามความเป็น
จริงเสมอ โดยไม่ต้องอาศัยใครบอก
           มโนมยิทธินี้ ควรสนใจทำให้คล่อง เพียงกำหนดจิตคิดว่า เราจะไปละ เพียงเท่านี้ก็ไปได้
ทันที ทำได้ทุกขณะ เวลาเดิน ยืน นอน นั่งในท่าปกติ ทำงาน กำลังพูด รับประทานอาหาร เวลา
ที่ควรฝึกให้ชำนาญมากก็คือ เวลาป่วย ขณะที่ร่างกายมีทุกขเวทนามาก ตอนนั้นสำคัญมาก ยกจิต
ออกไปเสีย ปล่อยไว้แต่ร่างกายเวทนาจะได้ไม่รบกวน ที่ใดเป็นแดนใหม่ สวรรค์ หรือพรหม ไปอยู่
ประจำที่นั้นยามปกติควรไปอยู่พักอารมณ์เป็นประจำ ยามป่วยไปอยู่เป็นปกติ หมายความว่า บอกกับ
คนพยาบาลว่าเวลาเท่านั้นถึงเท่านั้น ฉันจะพักผ่อน อย่าให้ใครมากวน แล้วก็เข้าฌาน ๔ ไปสถาน
ที่อยู่ตามกำลังกุศลที่ทำไว้ ถ้าได้วิมุตติญาณทัสสนะก็ไปนิพพานเลย นิพพานอยู่ที่ไหน ท่านที่ถึง
วิมุตติญาณทัสสนะเท่านั้นที่จะบอกได้ ท่านที่ยังไม่ถึงงงไปพลางก่อน ขืนบอกไปท่านก็ไม่เชื่อไม่บอก
ดีกว่า เอาไว้รู้เองเมื่อท่านถึง ผู้เขียนก็งงเหมือนกัน ท่านว่ามาอย่างนี้ ก็เขียนตามท่านไป เมื่อได้แล้ว
ถึงแล้วก็รู้เอง ผู้เขียนเองก็เหมือนกัน เขียนไปเขียนมาก็ชักอยากรู้นักว่านิพพานอยู่ที่ไหน ประโยชน์
ของมโนมยิทธิได้กล่าวมาโดยย่อ พอสมควรแล้ว มโนมยิทธิ ตามที่กล่าวมานี้เป็นแบบที่ใช้กันทั่วไป 
มีอีกแบบหนึ่ง เรียนมาจากท่านอาจารย์สุข บ้านคลองแพงพวย อำเภอดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี 
ของท่านแปลกได้ผลเร็วเกินคาด แบบปกติที่กล่าวมาแล้วนั้น กว่าจะชำนาญในกสิณก็เหงือกบวม 
มีมากรายที่ไม่ได้ปล่อยล่องลอยไปเลยคือเลิกเลยมีมาก บางรายทำไม่สำเร็จ เลยกลายเป็นศัตรู
พระศาสนาไป ไม่เชื่อผลปฏิบัติแถมค้านเอาเสียอีกด้วย น่าสงสารท่านเหล่านั้นแต่ก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไร
ได้ พอได้ของท่านอาจารย์สุขมา ก็รู้สึกว่ามโนมยิทธิเป็นของง่ายมาก หลายรายพอเริ่มฝึกก็ท่องเที่ยว
ได้เลย ไม่ข้ามวัน ที่ช้าหน่อยก็ไม่กี่วัน แต่ที่ไม่ได้เลยก็มี เป็นเพราะอะไร ไม่ขอวิจารณ์ บอกไว้แต่
เพียงว่า ถ้ารู้จักคุมอารมณ์แล้วไม่นานเลยไปได้และแจ่มใสดีกว่าวิธีปกติธรรมดา แบบของท่านมีดังนี้
ใครอยากได้ก็ขอมอบให้เลย ใกล้ตายแล้วไม่หวง

มโนมยิทธิ แบบอาจารย์สุข  แบบนี้ใครเป็นคนคิดไม่ทราบ ท่านอาจารย์ก็บอกว่า เรียน
ต่อกันมาหลายรุ่นแล้ว เดิมเป็นใครคิดไม่ทราบ แบบของท่านมีดังนี้ 
          ๑.ในระยะต้น ท่านเขียนหนังสือลงบนกระดาษที่พับเป็นสามเหลี่ยมเขียนว่า “นะมะพะทะ” สอน
คาถาภาวนา ให้ศิษย์ภาวนาว่า “นะมะพะทะ” เหมือนหนังสือที่เขียนบนกระดาษ แล้วให้ศิษย์เอากระดาษ
ปิดหน้า จุดธูปสามดอก เสียบลงบนกระดาษ ศิษย์ภาวนาว่า นะมะพะทะ ตลอดไป จนกว่าจะมีอาการ
สั่น อาจารย์หยิบกระดาษออก ถามศิษย์ว่าสว่างไหม ? ถ้าศิษย์บอกว่ามืด ท่านก็เอากระดาษสะอาดมา
จุดไฟ แกว่งที่หน้าศิษย์ใช้คาถาว่า “นะโมพุทธายะ ขอแสงสว่างจงปรากฏแก่ศิษย์” ท่านแกว่งไฟ
ประเดี๋ยวเดียวศิษย์ก็บอกว่าสว่าง ท่านถามว่า จะไปสวรรค์หรือนรก ศิษย์บอกตามความพอใจ สวรรค์
หรือนรกก็ได้ตามต้องการ ท่านบอกว่าไปได้ เท่านั้นศิษย์ก็ไปได้ตามประสงค์ไปถึงไหนถามได้ บอกมา
เรื่อยๆว่า ถึงไหน พบใคร มีรูปร่างอย่างไร แต่ห้ามถูกตัว ลองไปสอบดูแล้ว เห็นเป็นของจริง ให้ไป
บ้านเมืองไหน ประเทศไหนก็ได้บอกได้ถูกหมด แม้แต่สถานที่เธอไม่เคยไป เมื่อไปถึงแล้ว ถามว่า
มีอะไรบ้างเธอตอบถูกหมด บอกให้ไปต่างประเทศที่เคยรู้จัก เธอไปถึงแล้วก็บอกถูก เป็นของแปลก
มาก ได้ขอเรียนมาสอนศิษย์ได้ผลเกินคาด เป็นของเจริญศรัทธาดี และส่งเสริมศรัทธาผู้นั่งรับฟังด้วย 
ตอนแรกจะมีอาการสั่น และออกท่าทางเมื่อจิตตกไป แต่พอสมาธิเข้าจุดอิ่มก็นั่งเงียบสงัดแบบธรรมดา
แต่แจ่มใสมาก รวดเร็วกว่าแบบธรรมดามาก 
           ๒. กระดาษปิดหน้า ถ้าศิษย์คนใดท่องเที่ยวได้แล้ว ต่อไปไม่ต้องปิดอีก ใช้เฉพาะเวลา
ที่ยังไปไม่ได้เท่านั้น
          ๓. เครื่องบูชาครูมี ดอกไม้สามดอก เอาสามสี เทียนหนักบาท ๑ เล่ม ธูปสามดอก เงิน ๑ สลึง
สามอย่างนี้ขาดไม่ได้ เงินต้องซื้อของถวายพระ เอาใช้เองไม่ได้ 
          ๔. ก่อนที่ศิษย์จะเริ่มภาวนา ครูต้องทำน้ำมนต์ก่อน น้ำมนต์ทำด้วย อิติปิโส ฯลฯ ทั้งบท
พรมศิษย์เมื่อเริ่มทำ และตอนเลิกทำ ท่านว่ากันอารมณ์ฟั่นเฟือนดีมาก 
          คนที่ทำเป็นใครก็ได้ บางรายเป็นคนทำงานหนัก พอทิ้งจอบเสียมก็มาทำเลยเห็นท่องเที่ยว
กันได้ไปเป็นคณะก็ได้ เหมือนเที่ยวธรรมดา ออกมาแล้วพูดเหมือนกันหมด น่าแปลก และน่าดีใจ
ที่สมัยนี้ยังมีท่านผู้ทรงมโนมยิทธิอภิญญาอยู่ คิดว่าจะสูญไปเสียหมดแล้ว
 

วิธีใช้ญาณต่างๆ  เมื่อเจริญฌานในกสิณจนถึงอุปจารฌานแล้ว ก็เริ่มสร้างทิพยจักษุญาณ
ได้ เพราะทิพยจักษุญาณนั้น เริ่มมีผลตั้งแต่จิตเข้าสู่อุปจารฌาน มีผลในการรู้บ้างพอสมควรเช่นรู้สวรรค์
นรก และเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้บ้าง ไม่ถึงกับรู้ตายรู้เกิด คือตายแล้วไปเกิดที่ใด ผู้ที่มาเกิดนั้นมาจากไหน
รู้เหตุการณ์เพียงผิวเผินกว่านั้น เช่นรู้โรคว่าเป็นโรคอะไร หายได้ด้วยวิธีใด คนนี้จะมีเคราะห์ดีเคราะห์ –
ร้าย ประการใด รู้เหตุในอดีตและอนาคตได้บ้างพอสมควร รู้สวรรค์ นรก ได้บ้าง แต่ไม่แจ่มใสนัก พูดจา
กับเทวดาและพรหมได้บ้างคำสองคำ ภาพเทวดาและพรหมก็หายไป ภาพที่เห็นก็ไม่เห็นนาน ประเดี๋ยว
ก็หายไป จะเอาเรื่องราวที่เป็นการเป็นงานที่ต้องใช้เวลานาน ๆ ก็ต้องกำหนดจิตกันบ่อยครั้ง ทั้งนี้เพราะ
สมาธิเพียงอุปจารสมาธิ ยังเป็นสมาธิที่ทรงกำลังให้สงบอยู่ได้ไม่นาน ถ้าจะเปรียบ ก็คงเหมือนเด็ก
เพิ่งสอนเดิน ยืนไม่ได้นาน ยืนเดินได้ชั่วขณะก็ล้มต้องลุกๆ เดินๆ อยู่อย่างนั้น กว่าจะเดินถึงที่หมาย
ก็ต้องล้มลุกบ่อยๆ ทิพยจักษุญาณระดับอุปจารฌานก็เหมือนอย่างนั้น การเห็นก็ไม่ชัดเจนแจ่มใส
ยังเห็นไม่เต็มตัว เห็นบนไม่เห็นล่าง เห็นหน้าไม่เห็นขา อย่างนี้เป็นต้น ต่อเมื่อได้สมาธิที่ค่อยๆ
ฝึกฝนไปนั้นเข้าถึงฌาน  ๔  และเข้าฌานออกฌานชำนิชำนาญดีแล้ว ความตั้งมั่นมีมาก ดำรงอยู่
ได้นานตามความต้องการ ทิพยจักษุญาณก็มีสภาพเข้าเกณฑ์สมบูรณ์ใช้งานได้สะดวก เห็นภาพเต็ม
พูดกันได้ตลอดเรื่อง รู้ละเอียดจนถึงผลของการตายการเกิด รู้เหตุรู้ผลครบถ้วน ตอนชำนาญใน
ฌาน ๔ นี้ ท่านเรียกว่า จุตูปปาตญาณ ความจริงก็ทิพยจักษุญาณนั่นเอง แต่เป็นทิพยจักษุญาณ
ที่มีฌานเต็มขั้น ทิพยจักษุญาณ ขั้นฌานโลกีย์นี้ แม้จะเป็นญาณที่มีฌานเต็มขั้นก็ตาม การรู้การเห็น
จะให้ชัดเจนแจ่มใสคล้ายกลางวันนั้นไม่ได้ อย่างดีก็มองเห็นได้มัวๆ คล้ายเห็นภาพเวลาพระอาทิตย์
ลับแล้วเป็นเวลาใกล้ค่ำ เห็นภาพดำๆ พอรู้ได้ว่าอะไรเป็นอะไร จะเห็นชัดเจนตามสมควรได้ต่อเมื่อ
เข้าถึงความเป็นพระอรหันต์ ท่านเปรียบการเห็นด้วยอำนาจทิพยจักษุญาณนั้นไว้ดังนี้ 
          ๑. พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นได้คล้ายดูภาพในเวลากลางวัน ที่มีอากาศแจ่มใส 
          ๒. พระปัจเจกพุทธเจ้า เห็นได้คล้ายกลางคืน ที่มีพระจันทร์เต็มดวง ไม่มีเมฆหมอกปิดบัง
          ๓. พระอัครสาวกซ้ายขวา เห็นได้คล้ายคนจุดคบเพลิง
          ๔. พระสาวกปกติ เห็นได้คล้ายตนจุดประทีป คือตะเกียงดวงใหญ่ที่มีแสงน้อยกว่าคบเพลิง 
          ๕. พระอริยะเบื้องต่ำกว่าพระอรหันต์ มีการเห็นได้คล้ายแสงสว่างจากแสงเทียน 
          ๖. ท่านที่ได้ฌานโลกีย์ เห็นได้คล้ายแสงสลัวในเวลาพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า
          ระดับการเห็นไม่สม่ำเสมอกันอย่างนี้ เพราะอาศัยความหมดจดและกำลังบารมีไม่เสมอกัน
นำมากล่าวไว้เพื่อทราบ เมื่อท่านได้และถึงแล้วจะได้ไม่สงสัย มีนักปฏิบัติส่วนใหญ่ที่ทำได้แล้ว และเกิด
เห็นไม่ชัดได้มาถามบ่อยๆ จึงเขียนไว้เพื่อรู้
          การใช้ญาณ ได้กล่าวแล้วว่า ญาณต่างๆ มีความสว่างตามกำลังของฌานหรือสมาธิ ฉะนั้น
เมื่อจะใช้ญาณให้เป็นประโยชน์ ก่อนอื่นถ้าได้ทิพยจักษุญาณเบื้องต้นก็ต้องเพ่งรูปกสิณตามกำลัง
ของสมาธิก่อน เพราะเห็นภาพกสิณชัดเจนเท่าใด ภาพที่ต้องการจะเห็นก็เห็นได้เท่าภาพกสิณที่เห็น
เมื่อเพ่งภาพกสิณจนเป็นที่พอใจแล้วจึงอธิษฐานให้ภาพกสิณหายไป ขอภาพที่ต้องการจงปรากฏแทน
ภาพที่ต้องการก็จะปรากฏแทนเห็นได้เท่าภาพกสิณ

ได้ฌาน ๔
          การใช้ญาณเมื่อชำนาญในฌาน ๔ แล้ว ท่านให้เข้าฌาน ๔ ให้เต็มขนาดของฌานก่อน
จนจิตสงัดเป็นอุเบกขาดีแล้ว ค่อยๆ คลายจิตออกมาสู่อุปจารสมาธิ แล้วกำหนดจิตอธิษฐานว่า ขอภาพที่
ต้องการจงปรากฏ แล้วเข้าฌาน ๔ ใหม่  ออกจากฌาน ๔ กำหนดรู้ ภาพที่ต้องการจะปรากฏแก่จิต
คล้ายดูภาพยนต์ พร้อมทั้งรู้เรื่องไปตลอดจะใช้ญาณอะไรก็ตาม ทำเหมือนกันหมดทุกญาณ จงพยายาม
ฝึกฝนให้คล่องแคล่วว่องไว ต้องการเมื่อไรรู้ได้ทันที การรู้จะคล่องหรือฝืดขึ้นอยู่กับฌาน ถ้าเข้าฌาน
ออกฌานคล่องการกำหนดก็รู้ก็คล่อง ทั้งนี้ต้องหมั่นฝึกหมั่นเล่นทุกวันวันละหลายๆ ครั้ง เล่นทั้งวัน
ทั้งคืนยิ่งดี ความเพลิดเพลินจะเกิดมีขึ้นแก่อารมณ์ ความรู้ความฉลาดจะปรากฏ ปัญญารู้แจ้งเห็นจริง
ในส่วนแห่งวิปัสสนาญาณจะเกิดขึ้นอย่างง่ายดาย นิพพิทาญาณ ความเบื่อหน่ายในการเกิดจะปรากฏ
แก่จิตอย่างถอนไม่ออก ความตั้งมั่นในอันที่จะไปสู่พระนิพพานจะเกิดแก่จิตอย่างชนิดไม่ต้องระวังว่า
จิตจะคลายจากพระนิพพาน ผลของญาณแต่ละญาณที่จัดว่าเป็นคุณส่งเสริมให้เกิดปัญญาญาณนั้น
จะนำมากล่าวไว้โดยย่อพอเป็นแนวคิด

๑. จุตูปปาตญาณ 
          ญาณนี้ เมื่อเล่นบ่อยๆ ดูว่าสัตว์ที่เกิดมานี้มาจากไหน สัตว์ที่ตายไปแล้วไปเกิดที่ไหน
รู้แล้วอาศัยยถากัมมุตาญาณสนับสนุนให้รู้ผลของกรรม ญาณนั้นใช้ในคราวเดียวกันได้คราวละหลายๆ
ญาณ เพราะก็เป็นผลของทิพยจักษุญาณเหมือนกัน เมื่อรู้ว่าบางรายมาจากเทวดาบ้าง มาจากพรหม
บ้าง มาจากอบายภูมิ มีนรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดียรัจฉานบ้าง สัตว์ที่ไปเกิดก็ทราบว่า ไปเกิดในแดน
มนุษย์บ้าง สวรรค์บ้าง พรหมบ้าง และเกิดในอบายภูมิบ้าง คนรวยเกิดเป็นคนจน คนจนเกิดเป็นมหา-
เศรษฐี สัตว์เกิดเป็นมนุษย์เพราะผลของกรรมดีและกรรมชั่วที่สั่งสมไว้ เมื่อรู้เห็นความวนเวียนใน
ความตายความเกิดที่เอาอะไรคงที่ไม่ได้อย่างนี้ มองเห็นโทษของสัตว์ที่เกิดในอบายภูมิ เห็นความสุข
ในสวรรค์และพรหม และเห็นความไม่แน่นอนในการเกิดเป็นเทวดาหรือพรหม ที่ต้องจุติคือตายจาก
สภาพเดิมที่แสนสุข มาเกิดในมนุษย์หรืออบายภูมิ อันเป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยความทุกข์เพราะความ
ไม่แน่นอนผลักดัน เป็นผลของอนัตตาที่เป็นกฎประจำโลกไม่มีใครจะทัดทานห้ามปรามได้ มองดูการ
วนเวียนในการตายและเกิดไม่มีอะไรสิ้นสุด ในที่สุดก็มองเห็นทุกข์เป็นการเห็นอริยสัจ มีความเบื่อหน่าย
ในการเกิด เป็นนิพพิทาญาณในวิปัสสนาญาณ เป็นปัญญาที่เกิดจากญาณในสมถะคือจุตูปปาตญาณ
ญาณนี้ได้สร้างปัญญาในวิปัสสนาญาณให้เกิดขึ้นเพราะผลของสมถะ คือ จุตูปปาตญาณ เพราะเหตุที่
่สาวหาต้นสายปลายเหตุจากการเกิดและการตายในที่สุดก็เกิดการเบื่อหน่ายดังว่ามาแล้ว ถ้าปฏิบัติ
ถึงแล้ว จงแสวงหาความรู้จากความเกิดและความตายของตนเองและสัตว์โลกทั้งมวล ทุกวันทุกเวลา
จะเป็นครูสอนตนเองได้ดีที่สุด ผลดีจะมีเพียงใด ท่านจะทราบเองเมื่อปฏิบัติถึงแล้ว

๒. เจโตปริยญาณและประโยชน์ 
          เจโตปริยญาณ แปลว่ารู้ใจคน คือรู้อารมณ์จิตใจคนและสัตว์ ว่าขณะนี้เขามีอารมณ์จิต
เป็นอย่างไร มีความสุขหรือทุกข์ หรือมีอารมณ์ผ่องใส เพราะไม่มีอะไรมารบกวนจิตใจให้ขุ่นมัว
ที่เรียกว่าอุเบกขารมณ์ คืออารมณ์เฉยๆ ไม่มีสุขและทุกข์เจือปน รู้จิตของผู้นั้น แม้แต่จิตของเราเอง
ว่า มีกิเลสอะไรเป็นกิเลสนำ คือมีอะไรกล้าในขณะนี้จิตของผู้นั้นเป็นจิตประกอบด้วยกุศลหรืออกุศล
เป็นจิตของท่านผู้ทรงฌาน หรือเป็นจิตประกอบด้วยนิวรณ์รบกวน เป็นพระอริยะชั้นใด การจะรู้จิตของ
ท่านผู้ใดว่ามีอารมณ์จิตของผู้ทรงฌาน หรือเป็นพระอริยะอันดับใดนั้น เราเองต้องเป็นผู้ทรงฌานระดับ
เดียวกันหรือสูงกว่าการจะรู้ว่าท่านผู้นั้นเป็นพระอริยเจ้าหรือไม่และระดับใด เราก็ต้องเป็นพระอริยะด้วย
และมีระดับเท่า หรือสูงกว่า ท่านที่มีฌานต่ำกว่าจะรู้ระดับฌานของท่านผู้ได้ฌานสูงกว่าไม่ได้ ท่านที่
ไม่ได้ทรงความเป็นอริยะ จะรู้คุณสมบัติทางจิตของพระอริยะไม่ได้ ท่านที่เป็นพระอริยะต่ำกว่า จะรู้
ความเป็นพระอริยะสูงกว่าไม่ได้ กฎนี้เป็นกฎตายตัวควรจดจำไว้อย่าพยากรณ์บุคคลผู้ทรงคุณสูงกว่า
ถ้าไม่ได้อะไรเลยก็จงอย่ากล้าพยากรณ์ผู้อื่น เพราะพยากรณ์พลาดจากความเป็นจริง มีโทษหนักในทาง
ปฏิบัติ เพราะเราจะกลายเป็นโมฆโยคีไป คือประกอบความเพียรด้วยการไร้ผล ในฐานะที่อาจเอื้อม
ยกตนเหมือนพระอริยะ เป็นกรรมหนักมาก ควรละเว้นเด็ดขาด

สีของจิต 
           สีของจิตนี้ ในที่บางแห่งท่านเรียกว่า “น้ำเลี้ยงของจิต” ปรากฏเป็นสีออกมาโดยอาศัยอารมณ์
ของจิตเป็นตัวเหตุ สีนั้นบอกถึงจิตเป็นสุข เป็นทุกข์ อารมณ์ขัดข้องขุ่นมัว หรือผ่องใส ท่านโบราณาจารย์
ท่านกล่าวไว้ดังนี้ 
          ๑. จิตที่มีความยินดีด้วยการหวังผลอย่างใดอย่างหนึ่ง กระแสจิตมีสีแดงปรากฏ
          ๒. จิตที่มีอารมณ์โกรธ หรือมีความอาฆาตจองล้างจองผลาญ กระแสจิตมีสีดำ
          ๓. จิตที่มีความผูกพันด้วยความลุ่มหลง เสียดายห่วงใยในทรัพย์สิน และสิ่งที่มีชีวิต กระแสจิต
มีสีคล้ายน้ำล้างเนื้อ
          ๔. จิตที่มีกังวล ตัดสินใจอะไรไม่ได้เด็ดขาด มีความวิตกกังวลอยู่เสมอ กระแสจิตมีสีเหมือน
น้ำต้มถั่วหรือน้ำซาวข้าว
          ๕. จิตที่มีอารมณ์น้อมไปในความเชื่อง่าย ใครแนะนำอะไรก็เชื่อ โดยไม่ใคร่จะตริตรอง
ทบทวนหาเหตุผลว่าควรหรือไม่เพียงใด คนประเภทนี้เป็นประเภทที่ถูกต้มถูกตุ๋นเสมอๆ จิตของคน
ประเภทนี้กระแสมีสีเหมือนดอกกรรณิการ์ คือ สีขาว
          ๖. คนที่มีความเฉลียวฉลาด รู้เท่าทันเหตุการณ์เสมอ เข้าใจอะไรก็ง่าย เล่าเรียนก็เก่ง
จดจำได้ดี ปฏิภาณ ไหวพริบก็ว่องไว คนประเภทนี้ กระแสจิตมีสีผ่องใสคล้ายแก้วประกายพรึกหรือ
ในบางแห่งท่านว่า คล้ายน้ำที่ปรากฏกลิ้งอยู่ในใบบัว คือมีสีใสคล้ายเพชร

สีของจิตโดยย่อ
           เพื่อประโยชน์ในการสังเกตง่ายๆ แบ่งสีของจิตออกเป็นสามอย่าง คือ
           ๑. จิตมีความดีใจ เพราะผลอย่างใดอย่างหนึ่ง กระแสจิตมีสีแดง 
           ๒. จิตมีทุกข์เพราะความปรารถนาไม่สมหวัง กระแสจิตมีสีดำ 
           ๓. จิตบริสุทธิ์ผ่องใสไม่มีกังวล คือสุขไม่กวน ทุกข์ไม่เบียดเบียน จิตมีสีผ่องใส

         กายในกาย เมื่อรู้ลักษณะของจิตแล้ว ก็ควรรู้ลักษณะของกายในไว้เสียด้วยในมหาสติปัฏ-
ฐานสูตร พระพุทธเจ้าตรัสถึงกายในกายไว้ สำหรับนักปฏิบัติขั้นต้นก็ถือเอาอวัยวะภายใน เป็นกายในกาย
ส่วนท่านที่ได้จุตูปปาตญาณแล้ว ก็ถือเอากายที่ซ้อนกายอยู่นี้เป็นกายในกาย กายในกายนี้มีไดอย่างไร
ขอตอบว่า เป็นกายประเภทอทิสมานกายคือดูด้วยตาเนื้อไม่เห็น ต้องดูด้วยญาณจึงเห็น ตามปกติกาย
ในกายหรือกายซ้อนกายนี้ก็ปรากฏตัวให้เจ้าของกายรู้อยู่เสมอในเวลาหลับ ในขณะหลับนั้น ฝันว่าไปไหน
ทำอะไรที่อื่นจากสถานที่เรานอนอยู่ ตอนนั้นเราว่าเราไป และทำอะไรต่ออะไรอยู่ความจริงเรานอนและ
เมื่อไปก็ไปจริงจำเรื่องราวที่ไปทำได้ บางคราวฝันว่าหนีอะไรมา พอตื่นขึ้นก็เหนื่อยเกือบตาย กายนั้น
แหละ ที่เป็นกายซ้อนกาย หรือกายในกาย ตามที่ท่านกล่าวไว้ในมหาสติปัฏฐาน ตามที่นักเจโตปริยญาณ
ต้องการรู้ กายในกายนี้แบ่งออกเป็น ๕ ขั้น คือ

 ๑. กายอบายภูมิ มีรูปร่างลักษณะ คล้ายกับคนขอทานที่มีแต่กายเศร้าหมองอิดโรยหน้าตา
ซูบซีดไม่ผ่องใส พวกนี้ตายแล้วไปอบายภูมิ 
          ๒. กายมนุษย์ มีรูปร่างลักษณะค่อนข้างผ่องใส เป็นมนุษย์เต็มอัตรา กายมนุษย์นี้ต่างกันบ้าง
ที่ มีส่วนสัดผิวพรรณ ขาวดำ สวยสดงดงามไม่เสมอกัน แต่ลักษณะก็บอกความเป็นมนุษย์ชัดเจน พวกนี้
ตายแล้วไปเกิดเป็นมนุษย์อีก
          ๓. กายทิพย์ คือกายเทวดาชั้นกามาวจร มีลักษณะผ่องใส ละเอียดอ่อน ถ้าเป็นเทพชั้นอากาศ
เทวดา หรือรุกขเทวดาขึ้นไป ก็จะเห็นสวมมงกุฎแพรวพราว เครื่องประดับสวยสดงดงามมาก ท่านพวกนี้
ตายแล้วไปเกิดเป็นเทวดาชั้นกามาวจรสวรรค์ 
           ๔. กายพรหม มีลักษณะคล้ายเทวดา แต่ผิวกายละเอียดกว่า ใสคล้ายแก้ว มีเครื่องประดับ
สีทองล้วน แลดูเหลืองแพรวพราวไปหมด ตลอดจนมงกุฎที่สวมใส่ ท่านพวกนี้ตายไปแล้ว ไปเกิดเป็น
พรหม 
           ๕. กายแก้ว หรือกายธรรม ที่เรียกว่าธรรมกายก็เรียก กายของท่านประเภทนี้ เป็นกายของ
พระอรหันต์ จะเห็นเป็นประกายพรึกทั้งองค์ ใสสะอาดยิ่งกว่ากายพรหมและเป็นประกายทั้งองค์ ท่าน
พวกนี้ตายแล้วไปนิพพาน การที่จะรู้กายพระอรหันต์ได้ต้องเป็นพระอรหันต์เองด้วย มิฉะนั้นจะดูท่าน
ไม่รู้เลย 
           ตามที่กล่าวมา ตั้งแต่ข้อหนึ่งถึงข้อสี่นั้น กล่าวว่า ท่านพวกนั้นตายแล้วไปเกิดที่นั้นๆ หมายถึง
ว่าท่านพวกนั้นไม่สร้างกรรมดีหรือกรรมชั่วที่มีกำลังแรงกว่าที่เห็น พวกไปสร้างกรรมดีหรือกรรมชั่ว
ที่แรงกว่า ก็ย่อมไปเสวยผลตามกรรมที่ให้ผลแรงกว่า 
           เจโตปริยญาณมีผลตามที่กล่าวมาแล้ว การรู้อารมณ์จิตนั้นมีประโยชน์มาก โดยเฉพาะก็คือ
การรู้อารมณ์จิตของตนเองนั่นแหละสำคัญมาก จะได้คอยสกัดกั้นอารมณ์ชั่วร้ายที่เป็นกิเลสและอุปกิเลส
ไม่ให้มาพัวพันกับจิต ด้วยการคอยตรวจสอบกระแสจิตดูว่าขณะนี้จิตเราจะมีสีอะไร ควรรังเกียจสีทุก
ประเภท อย่าให้สีทุกอย่างแม้แต่นิดหนึ่งปรากฏแก่จิต เพราะสีทุกอย่างที่ปรากฏนั้น เป็นอาการของ
กิเลสทั้งสิ้น สีที่ต้องการและสนใจเป็นพิเศษก็คือ สีใสคล้ายแก้ว ควรแสวงหาให้มีประจำจิตเป็นอันดับแรก
ต้องเป็นแก้วทั้งแท่ง อย่าให้มีแกนที่เป็นสีปนแม้แต่นิดหนึ่ง สีที่เป็นแก้วนี้ เป็นอาการของจิตที่ทรง
ฌาน ๔ ท่านผู้ทรงฌานหนึ่ง หรือที่เรียกว่า ปฐมฌานจะมีกระแสจิตเหมือนเนื้อที่ถูกแก้วบางๆ เคลือบไว้
ภายนอก ท่านที่ทรงฌานสอง หรือที่เรียกว่าทุติยฌานมีเสมือนแก้วเคลือบหนาลงไปครึ่งหนึ่ง ท่านที่ทรง
ฌานสาม หรือที่เรียกว่าตติยฌาน มีภาพเหมือนแก้วเคลือบหนามาก เห็นแกนในสั้นไม่เต็มดวง และเป็น
แกนนิดหน่อย ท่านที่ทรงฌานสี่ หรือที่เรียกว่า จตุตถฌาน กระแสจิตจะดูเป็นแก้วทั้งดวง เป็นเสมือน
ก้อนแก้วลอยอยู่ในอก 

จิตของพระอริยะ

          ๑. ท่านที่มีอารมณ์วิปัสสนาญาณเล็กน้อย เรียกว่าได้เจริญวิปัสสนาญาณพอมีผลบ้าง จะเห็น
จิตเริ่มมีประกายออกเล็กน้อย เป็นลักษณะบอกชัดว่า ท่านผู้นั้นได้เจริญวิปัสสนาญาณได้ผลบ้างแล้ว 
          ๒. พระโสดาบัน กระแสจิตจะเกิดเป็นประกายคลุมจิตเข้ามา ประมาณหนึ่งในสี่ 
          ๓. พระสกิทาคามี กระแสจิตจะมีประกายออกประมาณครึ่งหนึ่ง 
          ๔. พระอนาคามี กระแสจิตจะเป็นประกายเกือบหมดดวง จะเหลือส่วนที่ไม่เป็นประกาย
นิดหน่อย 
          ๕. ท่านได้บรรลุอรหันต์กระแสจิตจะเป็นประกายหมดทั้งดวง คล้ายดาวประกายพรึกลอยอยู่
ในอก กระแสจิตที่เป็นประกายทั้งดวงนี้ ควรเป็นกระแสจิตที่นักปฏิบัติสนใจและพยายามแสวงหามา
ให้ได้ ถึงแม้ว่าจะต้องเสียชีวิต เพราะได้มาซึ่งกระแสจิตผ่องใสเป็นประกายแล้ว ก็ควรเอาชีวิตเข้าแลก
ประกายจิตไว้ เพราะถ้าได้จิตเป็นประกายก็จะหมดทุกข์สิ้นกรรมกันเสียที มีพระนิพพานเป็นที่ไป จะพบ
แต่สุขอย่างประเสริฐ ไม่มีทุกข์ภัยเจือปนเลย 
          ท่านที่ได้เจโตปริยญาณ มีผลเพื่อเสริมสร้างความบริสุทธิ์ผุดผ่องของจิตอย่างนี้ และสามารถ
ควบคุมจิตให้สะอาดผ่องใส ปราศจากละอองธุลี อันเป็นผลของกิเลสตลอดเวลา รวมทั้งรู้อารมณ์จิต
ของผู้อื่นด้วย การรู้อารมณ์จิตของท่านผู้อื่นก็มีประโยชน์มาก เพราะถ้ารู้ว่าท่านผู้ใดทรงคุณธรรม
สูงกว่า เพราะกระแสจิตผ่องใสกว่า จนพยากรณ์ไม่ได้ แสดงว่าสูงกว่าเราด้วยคุณธรรมแน่แล้ว ก็ควร
รีบเข้าไปกราบไหว้ท่าน ขอให้ท่านเป็นครูบาอาจารย์สั่งสอนเพื่อผลต่อไป ถ้าเห็นว่าด้อยกว่า ก็ควรคิด
ให้อภัยเมื่อผู้นั้นล่วงเกิน หรือพลั้งพลาด ถ้าเป็นครูสอนสมณธรรม ก็ได้ประโยชน์มาก จะได้ให้กรรมฐาน
ที่พอเหมาะพอดีแก่อัชฌาสัยและจริตศิษย์ จะได้ผลว่องไวในการปฏิบัติ 
          สำหรับทราบกายในกายก็เหมือนกัน กายคือจิต จิตก็คือกาย เพราะเวลาถอดกายในออก
ก็มีสภาพเป็นกาย ไม่ใช่เป็นก้อนเป็นแท่งตามที่คนทั่วไปคิด เมื่อถอดกายในกายออก กายในจะปรากฏ
ตามบุญญาธิการที่สั่งสมอบรมไว้ ถ้าบุญมีผลเพียงเทวดา กายในกายก็จะมีรูปเป็นเทวดา เมื่อออก
จากร่างนี้ไปสู่ภพอื่น ถ้ามีฌาน ร่างกายในก็จะปรากฏเป็นพรหม ถ้าหมดกิเลส กายในกายก็จะสด
สะอาด มีประกายออก ร่างใสคล้ายแก้วสุกสว่างมีแสงสว่างมาก ร่างอย่างนี้จะปรากฏเมื่อถอดกาย
ในกายออกท่องเที่ยว 
           เจโตปริยญาณนี้ นอกจากจะรู้ความรู้สึกนึกคิดของตนและสัตว์แล้ว ก็ยังรู้ภาวะของจิตใจคน
และสัตว์ที่มีบุญและบาปสั่งสมไว้มากน้อยเพียงใด ที่มีประโยชน์มากที่สุดก็คือรู้อารมณ์จิตของตนเองว่า
ขณะนี้เป็นจิตที่ประกอบด้วยกุศลหรืออกุศล จิตมีกิเลสอะไรสั่งสมอยู่มากน้อยเพียงใด กิเลสที่สำคัญก็คือ 
กิเลสที่เป็นอนุสัย คือกิเลสที่มีกำลังน้อยไม่ค่อยจะแสดงอาการปรากฏชัดเจนนัก แต่ก็ฟูขึ้นในบางขณะ
ยามปกติก็มีอาการนิ่งสงบ เช่น อารมณ์สมถะที่เป็น อุปกิเลสของวิปัสสนาญาณ อารมณ์ของสมถะนั้น
จะแสดงอาการสงบแนบนิ่งมาก จนความไหวทางจิตในเรื่องความใคร่ ความโกรธแค้นขุ่นเคือง
ความสั่งสมผูกพันไม่มีอาการปรากฏ จนเจ้าของเองคิดว่า เรานี่สำเร็จมรรคผลเสียแล้วหรือ แต่พอ
นานๆ เข้าก็มีฟูขึ้นน้อยๆ เกิดขึ้นในยามสงัด คือไม่มีวัตถุเป็นเครื่องล่อ เช่น ครุ่นคิดถึงความสวยสด
งดงามของรูป ความไพเราะเพราะพริ้งจากเสียง ความหอมหวนจากกลิ่นรสอันโอชะจากรสต่าง ๆ
และความนิ่มนวลของสัมผัส อาการเหล่านี้จะเกิดขึ้นในยามที่ว่างจากสิ่งเหล่านั้น แต่จิตคิดไปและจะ
ระงับได้ เพราะการพิจารณาในกรรมฐานที่มีอาการตรงกันข้าม เช่น อสุภะเป็นต้น ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะ
กำลังฌานในสมถะ ก็มีกำลังที่จะกดขี่กิเลสให้สงบระงับแนบสนิทได้ แต่มิใช่ว่าทำลายกิเลสให้สิ้น
อำนาจเด็ดขาด เป็นแต่ปรามให้สงบระงับไปได้ชั่วคราวเท่านั้น ในยามที่อำนาจสมถะปรามกิเลสให้สงบนี้
ท่านที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์จึงหลงผิด คิดว่าสำเร็จมรรคผล ถ้าเราสำรวจตรวจจิตไว้เสมอตลอดวันเวลา
แล้วเราก็จะทราบชัดว่า จิตเราสะอาดจริง หรือยังมีสิ่งโสมมแปดเปื้อนอยู่ จะรู้ได้เพราะสีของจิต สีจะชัด
หรือใสจางก็ตามและจะเป็นสีอะไรก็ตาม ขึ้นชื่อว่าสีจะเป็นสีแดง สีดำ สีอย่างใดอย่างหนึ่งก็ตาม เว้นไว้
แต่สีใสและสีประกายพรึกเต็มดวงของจิต สีใสที่ไม่มีประกายหรือสีใสมีประกายไม่เต็ม ยังมีสีใสปกติ
ปนอยู่ ก็จงเร่งตำหนิตนเองได้แล้วว่า นี่เรายังคบความเลวไว้มากมาย เพราะสีใสชื่อว่าเป็นสีประเสริฐ
คือเป็นการแสดงออกของอุเบกขาจิตแต่ทว่าสีใสธรรมดาที่ไม่มีประกายนั้นเป็นสีใสของฌานโลกีย์ มีอัน
ที่จะสลายตัวกลับมาเป็นสีขุ่นมัวคือสีแดง สีดำเต็มขนาดได้เพราะฌานโลกีย์ยังมีเสื่อม ยังจัดเป็นจิตเลว
สำหรับนักปฏิบัติเพื่อมรรคผล ต่อเมื่อไรชำระจิตให้ใสสะอาดเป็นปกติ และมีประกายเต็มดวงโดยที่
ไม่ต้องคอยปรับปรุงแก้ไข มองดูด้วยญาณเมื่อไรก็เป็นประกายแพรวพราว ถึงแม้จะประสบกับศัตรู
เก่าที่เคยอาฆาตคุมแค้นกันมาแต่ปางก่อน จะถูกเสียดสีถากถางด้วยวาจาปรามาสอย่างไรก็ตาม
จิตสงบระงับ อำนาจโทสะ ไม่ฟูออก จิตใจมีอาการปกติ สม่ำเสมอ ตรวจดูด้วยญาณ ตรวจขณะที่ถูกด่า
ก็พบว่าจิตใสประกายแพรวพราว แม้อารมณ์ราคะหรืออื่นใดก็ตามมายั่วเย้า จิตใจก็สดใสเป็นปกติ
อย่างนี้ใช้ได้ นักปฏิบัติเพื่อมรรคผลแต่ไม่ชมตัวเอง แต่ต้องคอยตำหนิตัวเองตลอด ๒๔ ชั่วโมง
ตรวจจิตซ้ำๆ ซากๆ  ตลอดวันเวลา อย่างนี้จึงจะสมควร และเป็นผู้ไม่ประมาท เป็นนักปฏิบัติเพื่อ
มรรคผลจริง หากทำได้อย่างนี้ ท่านมีหวังถึงพระนิพพานในชาตินี้ เพราะอารมณ์จิตที่ผ่องใสเป็น
ประกายเต็มดวงนั้น เป็นจิตที่ชำระกิเลสไม่เหลือ เป็นจิตของพระอรหันต์เท่านั้น ท่านจึงยกย่อง
นักปฏิบัติที่ได้เจโตปริยญาณว่า เป็นผู้ใกล้ต่อพระนิพพานมากกว่าการได้ญาณ อย่างอื่น ท่านที่กล่าว
อย่างนี้ก็เพราะว่า ญาณนี้สามารถคอยชำระจิต คือตรวจสอบจิตของตนได้ตลอดเวลา แม้แต่อารมณ์
กิเลสที่เป็นอนุสัยก็ยังรู้ ฉะนั้น นักปฏิบัติผู้หวังความพ้นทุกข์แก่ตนแล้ว จงพยายามฝึกฝนตนให้ชำนาญ
ในเจโตปริยญาณนี้และเล่นให้คล่องแคล่วว่องไวจะได้ผลตามที่กล่าวมาแล้ว
 

๓. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ
           ญาณนี้ เป็นญาณระลึกชาติได้ คือถอยหลังชาติต่างๆ ที่เกิดมาแล้ว เป็นจำนวนหลายหมื่น
หลายแสนชาติ ฝึกระลึกตามลำดับชาติตามลำดับ คือตั้งแต่ชาติที่หนึ่ง เป็นลำดับไปจนถึงชาติที่หมื่น
แสน แล้วก็ย้อนจากชาติปลายสุดกลับมาหาชาติปัจจุบัน แล้วพยายามฝึกระลึกชาติสลับชาติ คือคิดว่า
จะระลึกชาติในระดับไหนก็ให้ได้โดยฉับพลันทำอย่างนี้ให้คล่อง จะมีประโยชน์มาก เพราะ
          ๑. จะกำจัดมานะทิฏฐิ ความถือตัวถือตนว่าเป็นผู้วิเศษเสียได้เป็นอย่างดี เพราะเมื่อพบสัตว์
เดียรัจฉานเราก็เอาญาณนี้ช่วย โดยคิดว่าเราเคยเป็นสัตว์เดียรัจฉานอย่างนี้บ้างหรือไม่ ? เราก็จะพบว่า 
สัตว์อย่างนี้เราเคยเป็น และอาจจะเคยเกิดเป็นสัตว์อย่างนี้มาแล้วตั้งหลายครั้งหลายหน เมื่อพบตัวเองว่า
เคยเป็นสัตว์เราก็คิดค้นคว้าหากฎของความเป็นจริงต่อไปว่า สัตว์อย่างนี้ เราเคยเป็นมาก่อน บัดนี้เรา
เป็นมนุษย์ เขายังเป็นสัตว์เขาเอากำเนิดมาจากไหน คิดทบทวนไปก็จะพบว่า เรานี้เองเป็นต้นตระกูล –
สัตว์ บัดนี้ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ สัตว์นี้ก็ไม่ใช่ใคร คือทายาทของเราเอง เราจะมารังเกียจทายาทของเรา
เพื่อประโยชน์อะไร เรารังเกียจเขา เราควรรังเกียจเราเองดีกว่า เพราะเราเลวมาก่อน ถ้าเราไม่เลว
มาก่อนจนกระทั่งเป็นต้นตระกูลสัตว์แล้ว สัตว์พวกนี้ก็จะไม่มีในโลก นี่เราเลวมากจนลืมทายาทของ
ตนเอง รังเกียจทายาทของตนเอง พบคนที่น่ารังเกียจโดยสุขภาพ ทุพพลภาพ ชาติ ตระกูล ก็จงระลึก
ชาติถอยไปหาสมัยเมื่อเราเคยเกิดเป็นอย่างนั้น 
           ๒. ป้องกันความน้อยเนื้อต่ำใจ เพราะเห็นท่านที่มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ โดยฐานะหรือชาติ
ตระกูล เมื่อเห็นเขาทรงอำนาจราชศักดิ์ เราก็ถอยไปหาชาติที่เคยดำรงความดำรงชีวิตอย่างนั้น
เมื่อพบแล้ว ก็สอบต่อไปถึงความสุขความทุกข์ที่ได้รับผลในชาตินั้นๆ ตลอดจนต้องพลัดพรากจาก
ฐานะความเป็นอยู่ในสมัยที่ต้องตายจากอัตภาพนั้นๆ ก็จะเห็นว่าความเป็นผู้ทรงเกียรติทรงอำนาจ
มีเงินมีทองของให้มาก ๆ  ไม่ได้ช่วยให้สิ้นทุกข์ ไม่มีทางจะกีดกันความป่วยไข้ไม่สบายและห้าม
ความตายก็ไม่ได้ ต้องมีทุกข์มีความป่วยไข้ไม่สบาย ต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจ ตายจาก
อัตภาพนั้นๆ ความจริงเป็นอย่างนี้เราจะทะเยอทะยานไปเพื่ออะไร ในเมื่อเรากับเขาก็ตายเหมือนกัน
ก่อนตายก็ต้องแก่ต้องป่วยไข้  ต้องประสบกับความกลัดกลุ้มขัดข้องเหมือนเรา เรามีฐานะน้อย ก็มีห่วง
กังวลน้อย คนที่มีฐานะใหญ่ ก็มีห่วงมีกังวลมาก เราสบายกว่าเพราะกังวลน้อยกว่า ในเมื่อเกิดมาเพื่อ
ตายจะสะสมไปเพียงไหนให้หนัก เราพอใจในความเป็นอยู่ของเรา เรามีเท่านี้พอแล้ว คนที่เขายากจน
กว่าเราถมไป แต่ทว่าเราหรือใครก็ตามในโลกนี้ ตายเหมือนกันหมด เราจะมัวมาหลงติดโลกามิส
อยู่เพื่ออะไร เราเกิดมาก็มาก ตายมาก็หลายครั้งหลายคราเกิดแต่ละคราวก็เต็มไปด้วยความทุกข์
จะกินข้าวสักคำ กินน้ำสักอึก ก็ต้องฝ่าฟันอุปสรรคนานาประการ อาหารก่อนจะได้กินก็ต้องเหน็ดเหนื่อย
เพราะการแสวงหาทรัพย์มาเป็นค่าอาหาร กว่าจะได้มาแต่ละบาทก็ต้องทรมานตน ทนหนาวทนร้อน
คอยหลบหลีกอันตราย นี้เพียงค่าของอาหารมื้อเดียว ทุกข์อย่างอื่นของมนุษย์ยังมีอีกมาก คิดทบทวนถึง
ค่าเสื้อผ้า ค่าของใช้ ค่ายารักษาโรค รวมความแล้วโลกนี้เป็นโลกของความทุกข์  หาความสุขสดชื่น
ไม่ได้เลย เมื่อคำนึงถึงทุกข์ เพราะอาศัยญาณนี้เป็นตัวค้นคว้า อย่างนี้เป็นเหตุให้เห็นอริยสัจได้โดยง่าย
เมื่อคนใดเห็นอริยสัจ คนนั้นก็เป็นคนพ้นทุกข์ เพราะหมดกิเลส มีผลให้เข้าถึงพระนิพพานอย่างไม่ยากนัก 
 

๔. อตีตังสญาณ 
           อตีตังสญาณ ญาณนี้เป็นญาณรู้เรื่องในอดีต คือเหตุการณ์ที่ล่วงมาแล้วทั้งในชาติปัจจุบัน
และหลายแสนหลายล้านชาติ อาการของญาณนี้ดูเป็นญาณที่มีสภาพเช่นเดียวกันกับปุพเพนิวาสานุส-
สติญาณ แต่ทว่าปุพเพนิวาสานุสสติญาณนั้น ท่านหมายเอาการรู้เรื่องหนหลังของตนเอง อตีตังสญาณนี้
ท่านหมายเอาการรู้เรื่องหนหลังของคน สัตว์ และสิ่งของ สถานที่ ภายนอกตนออกไป สำหรับกฎการ
กระทำเพื่อรู้ก็ไม่มีอะไรแตกต่างกัน เพียงแต่กำหนดจดถามในเรื่องของคน สัตว์ สิ่งของ สถานที่นั้นๆ
เท่านั้น การกำหนดรู้นั้นในขั้นแรกให้กำหนดจิตเพื่อรู้ก่อน ถ้ากำหนดรู้ยังรู้ไม่ชัดเจน ท่านให้กำหนด
จิตถาม การกำหนดจิตเพื่อรู้และถามก็ทำดังที่กล่าวมาแล้ว คือเข้าฌาน ๔ ออกจากฌาน ๔มาหยุดอยู่
เพียงอุปจารสมาธิ แล้วกำหนดรู้หรือกำหนดถามแล้วเข้าฌาน ๔ ออกจากฌาน ๔ มาหยุดอยู่เพียง
อุปจารฌาน เท่านี้ก็จะรู้เรื่องละเอียด คือภาพในอดีตจะปรากฏแก่จิตคล้ายดูภาพยนต์ และรู้เรื่องไป
ตลอดเหมือนกับเราร่วมความเป็นไปกับภาพนั้น สร้างความเพลิดเพลินเจริญใจเป็นอันมาก พวกฤาษี
มุนีไพร และท่านที่ได้ฌานสมาบัติ จนได้ฌานต่างๆ ที่ท่านอยู่ป่าช้า ป่าใหญ่ ภูเขาถ้ำต่างๆ จัดว่าเป็นสิ่ง
ที่สงัดเงียบ ปราศจากผู้คนอยู่อาศัย ท่านคิดว่าท่านพวกนี้ท่านอยู่กันอย่างพระพุทธรูป คือหมดเรื่องรู้
และการเพลิดเพลินต่าง ๆ นั้น ตามที่คนส่วนมากเข้าใจกัน ความจริงเป็นความเข้าใจที่ผิดถนัด
ตามความจริงแล้วท่านเป็นผู้อยู่สงัดจริง แต่เป็นการสงัดจากสังคมที่เป็นบาป คือกลุ่มชนที่หนาด้วย
กิเลสและตัณหา แต่ทว่าท่านมีความเพลิดเพลินรื่นเริงในส่วนที่เป็นกุศล คือเพลิดเพลินในญาณ
เป็นเครื่องรู้ ท่านสามารถสังคมกับเทวดาและพรหม สนทนาปราศรัยโดยธรรม มีความชื่นบานในการ
รู้เรื่องในอดีตและกาลต่อไปในอนาคต รู้ความเกิดขึ้นและความสูญสลายตน ของสรรพวัตถุและสิ่งที่
มีชีวิต เอาสิ่งเหล่านั้นมาเปรียบเทียบกับตนเพื่อความรู้แจ้งในอนัตตา เป็นการฝึกฝนสั่งสมอารมณ์
วิปัสสนาญาณให้แจ่มใส ตัดกังวลภายในและภายนอก คือตัดกังวลความห่วงใยในร่างกายจนเกินพอดี
รู้สภาพว่ากายนี้ต้องพังทลายแน่นอน และเห็นสภาพภายนอกที่เป็นสรรพวัตถุที่จะต้องสลายตัวเช่นเดียว
กัน ตัดความมัวเมาในตนและสรรพวัตถุภายนอกเสียได้โดยสิ้นเชิง มีความหวังในพระนิพพานได้อย่าง
แน่นอน ผลของอตีตังสญาณสร้างความเพลิดเพลินในการรู้เรื่องราวในอดีต และสร้างพลังจิตให้เกิด
ปัญญาในส่วนวิปัสสนาญาณได้อย่างนี้ ฉะนั้น ท่านจึงนิยมสร้างสมาธิให้ได้ฌาน ๔ และสร้างญาณ
ให้เกิดแก่จิตเพื่อหวังในมรรคผลนิพพาน เพราะการได้ทิพยจักษุญาณแล้ว ถ้าปฏิบัติเพื่อมรรคผล
นิพพานย่อมเป็นไปได้อย่างถูกต้อง ไม่หลงผิด ทั้งนี้ถ้าคิดสงสัยในปฏิปทาของตนว่า จะผิดหรือถูก
ประการใด ก็เข้าฌาน ออกฌานอธิษฐานถามได้ เป็นการศึกษาโดยตรงจากท่านที่บรรลุแล้ว เป็นแนว
ทางที่ถูกที่ตรงและไม่มีอะไรยากอย่างพวกเราสอนกันเองดังที่ท่านอาจารย์ท่านหนึ่งในจังหวัดพระนคร
ในสมัยปัจจุบันนี้ท่านเคยพูดในสถานที่อบรมนักปฏิบัติว่า การปฏิบัติสมณธรรม ต้องทำไปให้ถึงระดับ 
ได้อาจารย์ที่ไม่ใช่มนุษย์ แล้วคอยรับการสั่งสอนจากท่านนั้น ๆ เป็นการปฏิบัติกรรมฐานที่เข้าระดับ
กรรมฐานที่เอาตัวรอดได้ ถ้านักปฏิบัติทั้งหลายยังคอยคำสอนของอาจารย์ที่เป็นมนุษย์ฝ่ายเดียว หรือ
แกะหนังสือดูตำราเป็นสำคัญแล้ว ท่านนักปฏิบัติท่านนั้นยังเอาตัวไม่รอด ท่านพูดของท่านอย่างนี้ถูก
ขอท่านผู้อ่านฟังของท่านไว้ แล้วสนใจปฏิบัติให้ได้ถึงจะทราบว่า คำพูดของท่านตรงต่อความเป็นจริง
ทุกประการ

การถาม 

           ท่านผู้อ่านอาจคิดว่า จะถามใคร ในขณะที่สงสัยในความเป็นอดีตของคน สัตว์ และสถานที่ 
การกำหนดถามนั้นก็ถามท่านผู้รู้เหตุ จะกำหนดเอาใครก็ได้ตามที่เราคิดว่าท่านจะรู้ แต่ตามที่นักปฏิบัติ
ส่วนใหญ่นิยมถามจะเป็นเรื่องใดก็ตาม ท่านนิยมถามพระพุทธบารมีของพระพุทธเจ้า เพราะพวกเรา
เชื่อกันว่า การรู้ทั้งหมดและรู้ไม่ผิดพลาดนั้นมีพระพุทธเจ้าองค์เดียว ท่านอาจสงสัยต่อไปว่า ก็สมัยนี้
พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้วจะเอาพระพุทธเจ้าที่ไหนมาบอก? ข้อนี้ขอตอบอย่างนักปฏิบัติว่าท่านทำ
ไปก่อน ทำให้ได้ทิพยจักษุญาณในระดับฌาน ๔ แล้วท่านจะรู้เองว่าการถามพุทธบารมีนั้น ถ้าถาม
แล้วจะมีอะไรปรากฏขึ้น การที่ตอบอย่างนี้ไม่ใช่เป็นคำตอบที่เล่นสำนวน เพราะการตอบให้เข้าใจใน
สิ่งที่คนถามยังไม่รู้ ไม่มีอะไรเป็นประโยชน์ ตอบไปก็เหนื่อยเปล่า ในบทพระพุทธคุณตอนหนึ่งว่า
พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า มีผลเป็นปัจจัตตัง คือผู้ปฏิบัติที่มีอารมณ์จิตเข้าถึงทิพยจักษุญาณ
แล้วจะรู้เอง ฉะนั้น ถ้าจะนั่งพรรณนาให้คนที่ไม่มีญาณฟังพูดไปก็เหนื่อยเปล่า มีผลไม่คุ้มเหนื่อย
ดีไม่ดีก็จะพลอยทำให้อารมณ์เศร้าหมองขุ่นมัว ฉะนั้น ใครอยากรู้ว่าพุทธบารมีเป็นอย่างไร ยังจะช่วย
อะไรผู้ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบได้อยู่หรือประการใด ก็ขอให้พยายามประพฤติปฏิบัติในฌาน และสร้างญาณ
ให้บังเกิดแก่จิตก็จะทราบชัดแก่ตนเอง ถ้ายังขืนคิดว่าไม่ต้องทำฌานให้เกิดก็รู้ได้จากตำราแล้ว ท่าน
ก็เป็นคนที่น่าสงสารมาก เพราะท่านจะไม่มีโอกาสเป็นพุทธศาสนิกชนชนิดเนื้อแท้จริงจังตามปาก
ท่านพูดเลย วาจาที่ท่านกล่าวว่า ท่านเป็นพุทธศาสนิกนั้นอาจเป็นวาจาที่พูดกันจนติดปากมากกว่า
การพูดด้วยความจริงใจ พูดกันตามภาษาไทยๆ ก็เรียกว่าพูดส่งเดชไปตามเขาอย่างนั้นเอง 

อธิษฐานไว้ก่อน


           การอธิษฐานเพื่อรู้นี้ ส่วนใหญ่ของนักปฏิบัติที่ชำนาญในฌานและญาณ การต้องการทราบ
เรื่องราวต่างๆ เช่น รู้การตายการเกิดของคนและสัตว์ รู้ผลกรรมของคนและสัตว์ รู้ชาติก่อนๆ ของ
ตนเอง รู้เรื่องอดีตและอนาคต ปัจจุบัน ทั้งของตนและสิ่งภายนอก ท่านนิยมอธิษฐานไว้ก่อน คือพอ
ตื่นนอนจากการหลับเวลาเช้ามืด ท่านอธิษฐานจิตไว้ว่า เหตุใดที่เกี่ยวเนื่องแก่ข้าพเจ้าแล้ว ขอข้าพเจ้า
จงรู้เหตุนั้นได้โดยไม่ต้องกำหนดจิต นี่การอธิษฐานอย่างนี้ท่านนิยมทำไว้เสมอ เมื่ออธิษฐานแล้วก็เข้า
สมาบัติเต็มอัตรา สมาบัติที่ได้ ได้แค่ ๔ ก็เข้าเต็ม ๔ได้หมดทั้ง ๘ ก็เข้าหมด ๘ ถ้าได้มรรคผล ก็เข้า
ผลสมาบัติตามผลการเข้าสมาบัติตอนเช้ามืดนี้ดีมาก เพราะจะเป็นการตอบสนองความดีของท่านพุทธ-
ศาสนิกชนที่สงเคราะห์ได้เป็นอย่างดี เพราะผลของสมาบัติให้ผลมีกำลังสูงมาก ย่อมสามารถให้ผลเป็น
ความสุขแก่ท่านผู้สงเคราะห์ในชาติปัจจุบัน การอธิษฐานไว้แล้วอย่างนั้น  ถ้าเดินไปหรือสนทนาอยู่ 
ถ้าเหตุอะไรที่เนื่องกับตนพึงมีในขณะนั้น ภาพนั้นก็จะปรากฏแก่ใจทันที โดยที่ไม่ต้องเข้าฌานออกฌาน
ตามระเบียบ เป็นผลดีมากแก่นักปฏิบัติ 
 

๕. อนาคตังสญาณ และ ๖. ปัจจุปปันนังสญาณ 
           ญาณทั้งสองนี้เอามาพูดควบกัน เพราะไม่มีอะไรจะพูดมากนัก ได้พูดมามากในญาณต้นๆ
แล้ว พูดมากไปก็รำคาญท่านผู้อ่านเปล่าๆ อนาคตังสญาณเป็นญาณรู้เรื่องในกาลต่อไปว่า คน สัตว์
สรรพวัตถุเหล่านี้ต่อไปจะเป็นอย่างไร รู้ได้ตามภาพที่ปรากฏ ถ้าภาพปรากฏไม่ชัดก็อธิษฐานถาม
ก็จะรู้ชัดและไม่ผิด ส่วนใหญ่ท่านนักปฏิบัติระดับสูง ท่านอธิษฐานถามกันเป็นสำคัญ เพราะท่านทราบดี
ว่า ถ้าท่านกำหนดรู้เอง อาจถูกอุปาทานหลอกหลอนเอาได้ ท่านชำระจิตของท่านให้แจ่มใส แล้วท่าน
ก็อธิษฐานถามจะได้รับความรู้อย่างถูกต้องไม่ผิดพลาด 
           สำหรับปัจจุปปันนังสญาณ เป็นญาณรู้เรื่องปัจจุบันว่า ขณะนี้ใครทำอะไรอยู่ มีสภาพเป็น
อย่างไร อย่างนี้เป็นต้น เป็นการรู้ผลในขณะนั้น การถามหรือกำหนดรู้ก็เป็นไปเช่นเดียวกับญาณอื่นๆ

๗. ยถากัมมุตาญาณ
           ญาณนี้เป็นชื่อของการรู้ผลกรรม คือรู้ว่าใครที่มีความสุขความทุกข์อยู่ในปัจจุบันนี้  เป็นผล
กรรมอะไร ตั้งแต่ชาติใด จะแก้ไขได้หรือไม่ประการใด การแก้ไขนั้นต้องทำอย่างไร แก้ไขแล้วจะมีผล
เป็นอย่างไร ถ้าต้องการรู้ผลในชาติต่อไปก็ได้ ใช้อตีตังสญาณตรวจดูอดีต แม้อนาคตก็เช่นเดียวกัน
ญาณนี้เป็นประโยชน์ในการรู้ผลกรรม  มีประโยชน์แก่ตนเองดังนี้ เมื่อเห็นเขามีทุกข์ในการเกิด หรือ
ทุกข์ที่ต้องเกิดในอบายภูมิเพราะผลกรรมอะไร จะได้ยับยั้งตนเองไม่ให้สนใจในกรรมนั้น ถ้าเห็นท่าน
ที่เสวยผลในทิพยสมบัติ หรือในพรหมโลก หรือท่านที่เข้าสู่พระนิพพานท่านมีความสุขเพราะผลกรรม
ที่มีปฏิปทาเป็นประการใด ท่านสร้างสมบุญกุศลไว้อย่างไร เราก็แสวงหาความดีตาม ก็จะให้ผลตาม
เช่นท่าน กรรมนี้มีประโยชน์แก่ตนและคนอื่นมากอย่างนี้

ญาณทั้งเจ็ด 
          ในผลทางปฏิบัติ ท่านจะเห็นว่า ญาณที่กล่าวมาแล้วทั้งเจ็ดอย่าง คือ 
          ๑. จุตูปปตาญาณ การรู้ว่าสัตว์ตายแล้วเกิดที่ใด สัตว์ที่มาเกิดนี้มาจากไหน 
          ๒. เจโตปริยญาณ รู้อารมณ์จิตของคนและสัตว์ 
          ๓. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติในกาลก่อนได้ไม่จำกัดชาติ 
          ๔. อตีตังสญาณ รู้เหตุการณ์ในอดีตของคน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ได้ไม่จำกัดกาลเวลา 
          ๕. อนาคตังสญาณ รู้เหตุการณ์ต่อไปในอนาคตของคน สัตว์ สิ่งของสถานที่ได้โดยไม่จำกัด
กาลเวลา 
          ๖. ปัจจุปปันนังสญาณ รู้เหตุปัจจุบันของคน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ได้ตามความเป็นจริง 
          ๗. ยถากัมมุตาญาณ รู้ผลกรรมของคนและสัตว์ได้ ทั้งอดีต อนาคต และปัจจุบัน
ญาณทั้งเจ็ดนี้ เมื่อท่านอ่านอยู่ ท่านอาจจะหนักใจว่า ตั้งเจ็ดอย่างมากมายเหลือเกิน ชีวิตนี้ทั้งชีวิต
หรือเกิดอีกหลายๆ ชาติอาจไม่มีหวัง ถ้าท่านคิดอย่างนั้น ผู้เขียนก็เห็นใจท่านทั้งผู้เขียนเองก็มี
ความรู้สึกอย่างเดียวกับท่านมาก่อน แต่พอได้โอกาสสอบทานตามพระไตรปิฎกและได้สนทนาปราศรัย
กับท่านผู้ทรงคุณธรรมพิเศษตามที่ท่านได้ญาณทั้งเจ็ดอย่างในสมัยผู้ที่เขียนเป็นนักนิยมไพร คำว่า
นักนิยมไพรของผู้เขียน ไม่เหมือนนักนิยมไพรของชาวบ้าน ชาวบ้านชอบนิยมทำลายไพรและทำลาย
สัตว์ในไพร แต่ผู้เขียนเป็นนักนิยมเดินในไพรนอนค้างอ้างแรมในไพร และนิยมคอยหลบหลีกหนีสัตว์
ในไพร ไม่ชอบรบราฆ่าฟันสัตว์ในไพร ตั้งแต่เข้าป่ามาแล้วเกินสิบวาระ คราวละไม่น้อยกว่าสามเดือน
ไม่เคยทำลายต้นหญ้าให้ขาดติดมือมาเลยแม้แต่ต้นเดียว ทั้งนี้หมายถึงมีเจตนาอย่างนั้น แต่ถ้าเดิน
ไปหญ้าขาดหรือตายเพราะการเดินไม่คิดเอามารวม นั่นเป็นไปเพราะไม่เจตนา ท่านผู้ทรงญาณ
ที่อยู่ในป่า ท่านพูดตรงตามพระไตรปิฎกว่า ญาณทั้งเจ็ดอย่างนี้ไม่มีอะไรมากเมื่อได้ฌาน ๔ คล่องแคล่ว
เสียอย่างเดียว ญาณทั้งเจ็ดก็ได้หมด ทุกท่านอธิบายเหมือนกันอย่างนี้ ขอท่านผู้อ่านลองทำตามดูบ้าง
อาจจะมีผล สำหรับผู้เขียนเชื่อแน่ ไม่มีอะไรสงสัย

(ขอยุติวิชชาสามไว้เพียงเท่านี้)

by admin admin ไม่มีความเห็น

กสิณ ๓ เป็นบาทของทิพจักขุญาณ

กสิณ ๓ เป็นบาทของทิพจักขุญาณ

ต่อไปนี้จะได้แนะถึงวิธีปฏิบัติในกสิณ ๓ อย่าง คือ เตโชกสิณ โอทาตกสิณ อาโลกกสิณ ๓ อย่างนี้แต่เพียงพอเป็นทางปฏิบัติ เพื่อบำเพ็ญเพื่อได้ทิพจักขุญาณ แต่ท่านอย่าลืมนะว่าการปฏิบัติกรรมฐานจะต้องหาครูผู้สอน ถ้าทำเองโดยไม่มีใครแนะนำและควบคุมแล้ว ดีไม่ดีจะเกิดสำเร็จเร็วกว่าความเป็นจริง ตัวอย่างในปัจจุบันมีไม่น้อย พอเห็นอะไรนิด ๆ หน่อย ๆ ก็คิดว่าสำเร็จเสียแล้วเลยไม่พบดีกัน

ขณะที่เขียนหนังสือนี้อยู่ มีนักปฏิบัติกลุ่มหนึ่งมาถามว่า “ฉันได้ไปสอบกับครูผู้สอน คุณครูบอกว่าได้องค์ธรรมแล้ว ท่านช่วยตรวจด้วยเถอะว่าฉันได้แค่ไหนแล้ว?” ทำเอาข้าพเจ้างงงันคอแข็งไปเลย ไม่มีแบบมีแผนที่ไหนที่ผู้ปฏิบัติถึงธรรมแล้ว กลับไม่รู้ว่าตัวได้ แปลกมาก ธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นปัจจัตตัง เมื่อได้แล้วต้องรู้เอง ไม่ใช่ไปขอร้องให้คนอื่นช่วยบอก แล้วครูเอาอะไรเป็นเครื่องวัดว่าลูกศิษย์ได้ดวงธรรม ในเมื่อเจ้าตัวเองก็ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวสักนิด ข้าพเจ้าได้วินิจฉัยดูเห็นว่า ก. ข. ยังไม่กระดิกหูเลย จึงย้อนถามว่าใครเป็นครู ท่านกลุ่มนั้นก็บอกครูและสำนัก ถามถึงระเบียบการสอนก็บอกให้ทราบ ดูแล้วช่างไม่ถูกไม่ตรงเสียแล้ว เสียดายธรรมของพระพุทธเจ้า สงสารพระพุทธเจ้า อุตส่าห์พร่ำสอนเสียเป็นวรรคเป็นเวร เกือบล้มเกือบตาย แต่ลูกศิษย์ลูกหาไม่ได้เชื่อฟัง กลับเอาลัทธิหลอกลวงมาใช้ แล้วแอบอ้างเอาพระนามของพระองค์มารับรอง น่าสงสารแท้ ๆ ธรรมที่ว่าสอบได้นั้น เขาบอกว่า เห็นดวงเล็กบ้างใหญ่บ้าง เห็นพระบ้าง โธ่! น่าสงสาร ของเท่านี้ยังไกลต่อคำว่าได้อีกหลายล้านเท่า ท่านระวังไว้นะ! ดีไม่ดีจะไปพบครูจระเข้แบบนี้เข้าจะลำบาก

ทิพจักขุญาณนี้ ความจริงแล้วอาจจะได้จากกรรมฐานกองอื่นก็ได้ ไม่เฉพาะกสิณ ๓ อย่างนี้ เมื่อทำสมาธิถึงแล้ว และรู้จักวิธีปฏิบัติแม้กรรมฐานกองอื่นก็ทำทิพจักขุญาณให้บังเกิดได้ แต่ที่แนะนำไว้ในที่นี้ว่าให้ปฏิบัติในกสิณ ๓ ก็เพราะว่ากสิณ ๓ นี้เป็นบาทของทิพจักขุญาณโดยตรง แนะตามคัมภีร์วิสุทธิมรรค ท่านว่าไว้อย่างนี้ ก็เขียนไปตามท่าน แต่ถ้าใครตามได้คนนั้นก็ได้ทิพจักขุญาณจริง

อาโลกกสิณ กสิณกองนี้ ตามในวิสุทธิมรรคท่านกล่าวว่า เป็นกสิณที่เหมาะแก่ทิพจักขุญาณที่สุด มีวิธีปฏิบัติดังต่อไปนี้ ในวิสุทธิมรรคท่านกล่าวไว้ดังต่อไปนี้ ผู้ใดที่เคยเจริญ อาโลกกสิณ มาแต่ชาติก่อน ชาตินี้แม้เพียงแลดูแสงจันทร์หรือแสงอาทิตย์ที่ส่องลอดช่องฝามาเท่านั้น ก็สำเร็จ“อุคคหนิมิต” ( คือรูปนั้นติดตาแม้หลับแล้วก็ยังเห็นภาพนั้นติดตาติดตาอยู่ เรียกว่า “อุคคหนิมิต” ) และ “ปฏิภาคนิมิต” ( คือ เห็นแสงนั้นสว่างไสวคล้ายแสงดาวประกายพรึก สว่างจ้าเหมือนลืมตาเห็นดวงอาทิตย์ ) ได้ง่ายดาย สำหรับผู้ที่ฝึกหัดใหม่นั้นท่านให้เพ่งดูแสงจันทร์และแสงอาทิตย์ ที่ส่องลงมาตามช่องฝาเป็นแสงกลม ลืมตามองดูแล้วตั้งใจจดจำไว้ว่า แสงที่ส่องลงานั้นเป็นอย่างไร มีรูปคือลักษณะช่องกลมอย่างไร แล้วบริกรรมว่า โอภาโส ๆ หรือจะภาวนาว่า อาโลโก ๆ อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ จนกว่าภาพนั้นจะติดตา คือ ภาวนาไปด้วย นึกถึงภาพนั้นไปด้วย เมื่อภาพนั้นติดตาแล้วก็ให้กำหนดใจว่าขอภาพนั้นจงใหญ่ขึ้น เมื่อภาพนั้นใหญ่ขึ้น ก็นึกให้เล็กลง ภาพนั้นก็เล็กลง นึกว่าภาพนี้จงสูงขึ้น ภาพนั้นก็สูงขึ้น นึกว่าขอภาพนี้จงต่ำลง ภาพนั้นก็ต่ำลง อย่างนี้เรียกว่าได้ “อุคคหนิมิต” เป็นอุปจารสมาธิ ถึงอุปจารฌาน ต้องให้ได้จริง ๆ นึกขึ้นมาเมื่อไรต้องเห็นอย่างนั้นเป็นอย่างนั้น แม้ไม่มีแสงให้ดูภาพนั้นก็ยังติดตาติดใจอยู่




และเมื่อต้องการจะเห็นภาพนั้นเมื่อไร คือ เมื่อกำลังง่วงต้องการเห็นต้องการบังคับ ก็เห็นได้บังคับได้ เมื่อกำลังเหนื่อย เมื่อหิว เมื่อตื่นนอนใหม่ ๆ เห็นได้บังคับได้ทุกขณะทุกเวลา จึงชื่อว่า ได้อุคคหนิมิตที่แท้ ต่อไปให้ฝึกอย่างนั้นจนชำนาญ จนได้ “ปฏิภาคนิมิต” คือ เห็นแสงสว่างผ่องใสเป็นแท่งหนาทึบ คล้ายแสงมากองรวมกันอยู่ คล้ายดวงจันทร์หรือดวงอาทิตย์ที่มองเห็นในขณะลืมตา อย่างนี้เรียกว่า“ปฏิภาคนิมิต”



เมื่อได้ปฏิภาคนิมิตแล้วก็ชื่อว่าจิตสมควรแก่การที่จะได้ “ทิพจักขุญาณ” เมื่อประสงค์จะเห็นอะไร ให้เพ่งนิมิตนั้นก่อน เมื่อเห็นนิมิตชัดเจนแล้ว ให้กำหนดจิตว่า ขอภาพนิมิตจงหายไป ภาพที่ต้องการจงปรากฏขึ้น เพียงเท่านี้ภาพที่ต้องการก็ปรากฏขึ้น จะเป็นภาพนรก สวรรค์ พรหมโลก หรือ ญาติที่ตายไป และจะเป็นอะไรก็ได้ เมื่อได้แล้วให้ฝึกไว้เสมอ ๆ จะได้ชำนาญและคล่องแคล่วใช้งานได้ทุกขณะ

สำหรับข้าพเจ้าเห็นว่าควรจะหัดให้คล่องทั้งลืมตาและหลับตา เพราะจะเป็นประโยชน์มาก เพื่อว่าถ้าเราอยากจะรู้อะไร ในขณะที่คุยกับเพื่อนหรือไปในระหว่างคนมาก ถ้ามัวไปหลับตาอยู่ เขาจะคิดว่าเรานี่ท่าทางคงจะไม่ใคร่ตรง ดีไม่ดีพวกจะพาส่งโรงพยาบาลบ้าเสียก็ได้ เพราะฉะนั้น ควรฝึกให้คล่องเสียทั้งสองอย่าง ทั้งลืมตาและหลับตา

เอาละนะ! แนะนำไว้แบบเดียวก็พอจะได้ไม่ยุ่ง ทิพจักขุญาณนี้มีประโยชน์มาก เหมาะแก่การพิสูจน์ประวัติต่าง ๆ เช่น พระพุทธบาท ปฐมเจดีย์ หรือเรื่องราวเก่า ๆ ที่สงสัย ถ้าปรารถนาจะรู้แล้วจะรู้ได้เลย ภาพเก่า ๆ จะปรากฏคล้ายดูภาพยนตร์ พร้อมทั้งรู้เรื่องรู้ชื่อคน ชื่อสถานที่ไปในตัวเสร็จ แต่ระวังใช้ให้ถูกทาง อย่านำไปใช้ในทางลามก ถ้าทำอย่างนั้นจะเสื่อมเร็ว

ขอความสุขสวัสดีจงมีแต่ท่านผู้อ่านทุกท่าน …สวัสดี

by admin admin ไม่มีความเห็น

ภพภูมิ…อสุรกาย พวกที่ ๑-๒ และ สัมภเวสี

ท่านสาธุชนทั้งหลาย วันนี้มาพบกับบรรดาท่านพุทธบริษัทในเรื่องไตรภูมิตามเดิม ในตอนก่อนได้พาบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทไปนอนพักอยู่ในแดนเปรตมาสิ้นเวลา ๗ วัน หวังว่าบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย คงจะเห็นเปรตได้ชัดว่าดินแดนของเปรตเป็นดินแดนนี่น่าอยู่เพียงใด หรือว่าใครจะไม่อยากอยู่ก็เป็นเรื่องของญาติโยมพุทธบริษัท วันนี้ออกเดินทางต่อไป ลาเปรตเสีย บรรดาเปรตทั้งหลายถ้าหากว่าเราจะพูดกัน เรื่องพูดมีมาก แต่ทว่าเกรงบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทจะรำคาญ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะพูดไปพูดมามันก็เรื่องของเปรต เป็นอันว่าบรรดาเปรตทั้งหลายเป็นสภาวะที่เราไม่น่าอยู่ เราไม่น่าพิสมัย

ทั้งนี้ ดินแดนที่เราจะเดินทางต่อไป ตอนนี้เราเดินทางกลับมาเมืองมนุษย์กันก่อนดีกว่า ออกจากดินแดนของเปรต หันหน้ามาทางทิศนะวันตก เป็นทางขาวใหญ่ เดินต่อมาเรียงแถวกันให้ดีนะ ดีไม่ดีตอนระหว่างสุดทางของนรก แล้วก็สุดทางของมนุษย์ สุดแดนของสวรรค์ ด้านขวามือนั้นมีนรกสำคัญอยู่ขุมหนึ่ง ที่เราเรียกกันว่าโลกันตนรก เดินไปอีกหน่อยสมมุติว่าเดินผ่านมา เข้าถึงจุด ๓ จุดที่เข้ามาชนกัน คือเรียกว่าแดน ๓ แดนชนกันที่สุดของนรก ที่สุดของมนุษย์ และที่สุดของสวรรค์ มองไปทางขวามือจะเห็นภูเขาลูกใหญ่ปากช่องโต ภายในมีถ้ำ ในนั้นมีความเยือกเย็นมาก ในถ้ำนั่นแหละ เราเรียกกันว่าโลกันตนรก มันไม่เป็นเรื่อง พูดมาแล้วนี่ ไม่ต้องแวะเข้าไปดู ตานี้มาเดินกันต่อไป จะเสียเวลา พอเดินมาถึงทาง ๔ แพร่ง ก็พบว่าท่านเทวดาอินยืนยิ้มอยู่ พวกเราก็ยกมือไหว้ท่านเสียหน่อยซี ท่านเป็นเทวดา ทั้งนี้เพราะอะไร? เพราะยังไงๆ ก็ตามเขาก็เป็นเทวดา ขึ้นชื่อว่าเทวดาย่อมมีความดี ๒ ประการ คือ มีหิริ และโอตตัปปะ หิริแปลว่าความอายบาปอายความชั่ว โอตตัปปะเกรงกลัวผลของความชั่ว นี่ใครจะถือว่าเป็นพระเป็นเจ้าเป็นนักบุญ นับถือพระพุทธศาสนา ไม่ควรจะไหว้เทวดา นั่นไม่จริง เทวดานี่ควรไหว้ เพราะเขามีความดี ถ้าหากว่าเขาไม่ดีละเขาก็เป็นเทวดากันไม่ได้ ไหว้เทวดาเถอะ ไม่เสียหายอะไร อย่างน้อยที่สุดเทวดาก็มีความดีกว่ามนุษย์อยู่มาก ลาท่านเทวดาอินเสีย เดินเข้ามาดูบนดินแดนของมนุษย์ ภาพข้างหน้าเกลื่อนกล่นไปด้วยผี บรรดาผีทั้งหลายนี่เราเรียกกันว่า อสุรกายบ้าง สัมภเวสีบ้าง สภาพของอสุรกาย บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เรามองดูแล้วจะมีอยู่ ๒ แบบด้วยกัน คือ แบบที่ ๑ พวกที่ ๑ เป็นพวกอสุรกายที่ยังมีกรรมหนัก ร่างกายทรุดโทรมหน้าตาซีดเซียว เรียกว่าไม่มีความสง่าผ่าเผยผอมกะหร่อง ผมเผ้ารุงรังน่าเกลียด ไม่ใช่น่ากลัว เรียกว่าเป็นการน่าเกลียด น่าสะอิดสะเอียน อสุรกายพวกนี้มีความดีกว่าเปรตอยู่อย่างหนึ่ง คือหากินได้ แต่ทว่าจะต้องหากินประเภทของที่เขาทิ้งแล้ว บูดเน่าแล้วอย่างซากศพ คนตาย สุนัขตาย ควายตาย สัตว์ตายหรือเศษอาหารที่เขาทิ้งไว้เน่าๆ พวกนี้กินได้ เวลาที่เราเห็นเขากิน ก็เหมือนกับเห็นว่าเรากินธรรมดามีการเคี้ยว มีการกลืนเหมือนกัน มีสภาพเหมือนว่ากินเนื้อสัตว์เข้าไป กินอาหารเข้าไปหมด แต่ทว่าน่าแปลกที่ซากยังเหลืออยู่ พวกนี้กินอะไร? กินอาหารที่เป็นนามธรรม คือว่ากินอาหารที่ไม่ใช่รูปธรรม พวกอสุรกายพวกนี้ต้องลำบากแบบนี้ แต่ว่าดีกว่าเปรต ยังกินได้ ที่เรียกว่าอสุรกายเพราะมีรูปร่างหน้าตาไม่สวย คอยหลบหน้าคนอยู่เสมอ มีความไม่กล้าเป็นปกติ ท่านจึงเรียกว่าอสุรกาย

ตานี้ อสุรกายอีกพวกหนึ่ง มีความดีมาก ใกล้จะพ้นความเป็นอสุรกายแล้ว คือว่าโทษทัณฑ์ที่เป็นเศษกรรมในภาวะของการเป็นอสุรกายใกล้จะหมดไป ตอนนี้มีรูปร่างหน้าตาอ้วนท้วนใหญ่โต แต่ทว่าผิวดำมะเมื่อม อสุรกายพวกนี้มีกำลังมาก มักจะชอบรับสินบนจากชาวบ้าน แล้วก็ปลอมแปลงตัวเป็นเจ้าเข้าทรง บางทีก็ไปหลอกพระ พระที่มีความเข้าใจไม่ถึง ก็คิดว่าบรรดาอสุรกายพวกนี้แหละเป็นผู้วิเศษ ถ้าใครนิยมพระศรีอาริย์ เขาก็จะเข้าไปสอดแทรกแล้วก็บอกว่าเขาเป็นพระศรีอาริย์ หรือว่าใครนิยมจ้าวองค์ใดองค์หนึ่งก็ตาม เทวดาองค์ใดองค์หนึ่งก็ตาม พวกนี้นิยมเข้าไปแทรก บอกว่าเขาเป็นคนนั้น บรรดาพวกเข้าทรงทั้งหลาย ถูกพวกนี้ปลอมมาก เคยพบมาหลายราย พวกนี้มีรูปร่างหน้าตาแข็งแรงใหญ่โตทะมัดทะแมง ผู้พูดเองก็เคยถูกอสุรกายพวกนี้ปลอมเล่นงานอยู่หลายครั้ง แต่ก็จับตัวได้ ทั้งนี้เพราะอะไร? 

เพราะบุคคลที่เขาอ้างถึง รู้จักหมด เป็นอันว่าโกหกกันไม่ได้ นี่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย มองไปซี โลกนี้บรรดาอสุรกายทั้ง ๒ ประเภทและก็สัมภเวสีเกลื่อนกลาดไปหมด 

นี่หากว่าบรรดามนุษย์ทั้งหลายสามารถเห็นอสุรกายหรือสัมภเวสีได้ทุกคน หรือเปรตได้ทุกตน เปรตก็เหมือนกัน ลอยอยู่บนดินแดนของมนุษย์เกลื่อนไปหมด ถ้าเราเห็นได้เราก็เดินตรงทางไม่ได้ ต้องหลีกกันย่ำแย่เรียกว่าเดชะบุญนะที่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทส่วนใหญ่ ไม่สามารถจะเห็นอสุรกายและเห็นพวกผีทั้งหลายได้ จึงไม่ต้องหลีกใคร เป็นอันว่าเรื่องราวของอสุรกายนี้เป็นเศษกรรมอันหนึ่ง แต่ว่าดีกว่าเปรตที่ว่ายังหากินได้ แต่ผีระวังนะ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ระวังอสุรกายปลอมผู้ที่เข้าทรง นับถือจ้าว นับถือเทวดา ระวังให้มาก พวกนี้มีความรู้มากเหมือนกัน ถ้าใครตายแล้วไปเกิดที่ไหน เขาสามารถจะบอกได้ ใครบนบานศาลกล่าวอะไรใครไว้เขาก็รู้เหมือนกัน แล้วเขาก็มีอำนาจบางอย่างที่จะรักษาโรคได้ จะบันดาลอะไรได้บางอย่างตามสมควร แต่ว่ากำลังไม่เสมอเทวดา 

พวกนี้จะต้องสังเกตได้ว่าจะแสดงท่าทางผิดปกติจากพระหรือเทวดาธรรมดา นี่มีในที่แห่งหนึ่งเขานิยม เขาบอกว่าในก๊กของเขา หรือในกลุ่มของเขาเป็นศาสนาพระศรีอาริย์ แล้วก็กลุ่มนี้อยู่ในถ้ำๆ หนึ่งอาตมาเองไปพบ วันนั้นก็ไปคุยกัน คุยกันไปคุยกันมาก็ถึงเวลาถวายทาน พระองค์นั้นท่านบอกว่าท่านเองน่ะ เข้าถึงพระศรีอาริย์เป็นปกติ ตานี้เวลาถวายทาน ท่านก็ว่าอะไรของท่านพึมพำๆ ไปตามเรื่อง เวลาที่ลูกน้องเจริญกรรมฐานทำสมาธิ เขากล่าวคำให้ทานกันแล้วให้ลูกน้องทำสมาธิ เมื่อลูกน้องทำสมาธิก็ปรากฏว่าพระองค์นี้สวด นั่งสวดแทนที่จะสงบ เป็นแบบสวดมนต์ แล้วก็ใช้ภาษาที่มนุษย์ไม่สามารถจะรู้เรื่องได้ 

อาตมากับเพื่อนคนหนึ่งไปร่วมในพิธีนั้น เห็นตัวดำมะเมื่อม ผลที่สุดก็ทราบว่าอสุรกาย ก็เลยเฉยไว้ เมื่อพระองค์นั้นสวดเสร็จแล้ว ถามว่าสวดทำไม เวลานี้ลูกน้องทำสมาธิท่านสวดทำไม เขาก็บอกว่า พระศรีอาริย์มายืนอยู่ข้างหลัง บอกให้สวด ก็เลยบอกว่าพระศรีอาริย์ที่ไหน ผมเห็นไอ้ดำมันยืนอยู่ข้างหลังท่านนี่ ไอ้ดำตัวนี้มันเป็นอสุรกาย มันปลอมเข้ามาในพิธี การสวด มันก็ไม่ถูกแบบแผน แบบแผนของพระพุทธเจ้าน่ะ เวลาที่ลูกน้องทำสมาธิต้องใช้เวลาสงบสงัด แต่ไอ้การทำแบบนี้มันไม่ถูกนี่ขอรับ พระองค์นั้นน่ากลัวจะไม่ชอบใจ เพราะว่าไปพูดไปว่าเขาต่อหน้าลูกศิษย์เขานี่ มันก็ไม่ดีเหมือนกัน แต่หากจะถามว่าพูดทำไม ก็เพราะว่าเป็นการผิดแนว ถ้าเราจะปล่อยกันไปพระองค์นั้นก็นุ่งเหลืองห่มเหลืองแล้วก็โกนหัวเหมือนกัน เขาจะหาว่าพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาน่ะเลอะเทอะเหมือนกันหมด จึงบอกว่า ทางที่ดีละก็ ท่านควรจะทำใจของท่านให้ดีไปกว่านี้ 

ให้รู้ว่าใครมันไปใครมันมา เวลานี้ศาสนาของพระพุทธเจ้ามีนามว่า พระสมณโคดมน่ะยังไม่หมด ยังอยู่ในระหว่างเขตศาสนาของท่าน แล้วการที่จะมาประกาศศาสนาใหม่ บอกว่าเวลานี้เป็นยุคใหม่แล้วไม่ใช่ยุคเก่า เป็นยุคของพระศรีอาริย์ แบบนี้ ดูท่ามันจะไม่เหมาะ ถ้ากระไรก็ดี เราก็เป็นลูกพ่อเดียวกัน อย่าทำอะไรให้มันนอกรีตนอกรอยไปเลย นี่ว่ากันเท่านี้นะพูดให้ฟังว่าอสุรกายพวกนี้มันปลอมตัวได้ แต่ว่าถ้าคนไม่เข้าใจมันจริงๆ ละก็ มันเล่นงานเสียหลายรายแล้ว

ต่อแต่นี้ไป ก็มาพูดถึงสัมภเวสี ประเดี๋ยวก่อน ญาติโยมพุทธบริษัท บางทีญาติโยมจะสงสัยว่า อสุรกายนี่ต้องลำบากอยู่สักเท่าไร ถ้าบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายถามแบบนี้ อาตมาก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน เพราะว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้บอกเวลาไว้ว่าจะเสวยผลประเภทนี้ไปสักกี่ปี กี่เดือน กี่วัน เป็นแต่เพียงท่านบอกว่า ถ้าพ้นจากสภาวะความเป็นอสุรกายแล้วก็ต้องเป็นสัตว์เดียรัจฉาน รู้กันไว้เท่านี้ก็แล้วกันนะ อาตมาจะบอกให้เลยไปกว่านี้ก็บอกได้ เป็นของไม่ยาก แต่ว่าบอกแล้วเวลาอาตมาตายไปแล้วไปลงนรกไม่บอกดีกว่า ถ้าตายแล้วต้องลงนรกนี่ไม่เอานา มันไม่ใช่ของดี

เอาละ ต่อแต่นี้ไปก็เลยอสุรกายไปนิด ความจริงมันไม่ใช่เลย เรามายืนอยู่ในขอบเขตของเมืองมนุษย์นี่แหละ แต่ว่าเป็นผี คนพวกนี้มีอิสระ ไม่อยู่ในอำนาจของใครไม่ใช่เปรต ไม่ใช่อสุรกาย เป็นใคร? ที่เราเรียกกันว่า สัมภเวสี คือ ว่าคนที่ตายแล้วยังไม่ถึงอายุขัย เรียกว่ามีกรรมที่เรียกกันว่าอุปฆาตกรรม เข้ามาริดรอน ตัดรอนเสียตั้งแต่ยังไม่หมดอายุขัย ท่านพวกนี้เวลาตายแล้วทางนรกไม่ต้องการ ทางสวรรค์ไม่ต้องการ บุญที่ทำไว้ยังไม่ให้ผล หรือว่าบาปที่เขาทำยังไม่ให้ผล ยังไม่ถึงเวลาที่เขาจะเรียกเข้าไปสอบสวนและจัดการลงโทษ มีสภาพ

เหมือนกับคนออกจากบ้านนี้แล้วเข้าบ้านโน้นไม่ได้ จะกลับเข้าบ้านนี้ก็ไม่ได้ เดินไปเดินมาไม่ใช่ว่าแบบหนุ่มเจ้าสำราญนะ เดินแบบลำบาก หาอะไรกินไม่ได้ ผีประเภทนี้เราเรียกกันว่า สัมภเวสี แปลว่าพวกแสวงหาที่เกิด หมายความว่าแสวงหาที่อยู่แน่นอน บรรดาคนที่ตายในสภาพนี้ ที่บรรดาหมอผีทั้งหลายชอบเรียกเอาไปเลี้ยงก็เพราะว่าเขาเป็นคนหิว เขาไม่มีที่อยู่อาศัย ไม่มีอาหารเป็นเครื่องบริโภค ในเมื่อสภาพของเขาเป็นคนหิวแบบนี้แล้วใครชวนก็ไป 

ก็แบบเดียวกับเรา เราก็เหมือนกัน เมื่อที่อยู่ไม่มี ใครชวนไปอยู่ด้วยก็ไป ไปทำไม? ไปเพื่อประทังชีวิตให้มีความสุข พวกนี้ต้องการเครื่องเซ่นสรวงบูชา แล้วสำหรับคนที่ตายประเภทนี้ ที่หมอเขาบอกว่าสะเดาะเคราะห์ได้จะไม่ตาย นี่เป็นความจริงเพราะว่ากรรมที่กระทำให้พวกเขาตาย เรียกว่าอุปฆาตกรรม กรรมเข้ามาตัดรอนในระหว่างอายุขัย ยังไม่ถึงเวลาที่เขาจะต้องตาย แต่ถ้าหากว่า เราทำความดีอย่างใดอย่างหนึ่งที่จะเป็นการชดเชยกับความชั่วที่จะเข้ามาริดรอนเสียได้ อายุเข้าก็จะยืนต่อไป ที่เรียกกันว่าการต่ออายุ

แต่ทว่าการต่ออายุนี่ต้องระวังนะ ส่วนใหญ่ที่เคยได้ฟังมา มันเป็นการต่ออายุหมอไป หมอที่ทำพิธีน่ะ ได้รับการต่ออายุหมดเคราะห์ แต่ว่าคนที่เข้าไปสะเดาะเคราะห์กลับเพิ่มเคราะห์เข้ามาอีก ทั้งนี้เพราะอะไร? เพราะเชื่อหมอนี่ หมอบอกว่า ถ้าไม่ทำละก้อ ต้องตายเมื่อนั้นเมื่อนี่ ถ้าทำเสียแล้วจะมีความดี หมอก็ตั้งราคาไว้สูง จะต้องหาเงินให้หมดเป็นพันเป็นหมื่น พิธีกรรมก็มากมายถ้าทำไปแล้ว ถ้าไม่ถูกพิธีกรรม การสะเดาะเคราะห์นั้นไม่มีผล แต่เราต้องเสียสตางค์ เราเสียสตางค์ก็ชื่อว่าเพิ่มเคราะห์เข้ามา สำหรับหมอ หมดเคราะห์ไป เราเสียไปให้พันบาท เรื่องการสะเดาะเคราะห์ คือเป็นการต่ออายุ แบบนี้ระวัง ระวังต้องให้พอเหมาะพอดีกับกฎของกรรม ถ้าจะทำกันให้ถูกจริงๆ ละก็ ไปหาพระที่ท่านได้ทิพยจักขุญาณ หรือว่าอตีตังสญาณ อนาคตังสญาณ ความจริงมันก็ไม่ต่างกัน ได้ทิพยจักขุญาณอย่างเดียวเท่านั้นเหละมันก็ได้ทั้งหมด

เมื่อท่านทราบชัดว่า กรรมเดิมมีอะไรบ้างที่จะเข้าริดรอน ท่านก็จะสอบถามว่ากฎกรรมประเภทนี้ จะต้องชดใช้ด้วยอะไร เมื่อทราบชัดท่านก็จะบอกให้ ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าเฉพาะพระเท่านั้นที่จะรู้ ฆราวาสที่เขารู้ก็มีถมไป ฆราวาสสมัยนี้ มีความดีจนพระควรจะอายมีเยอะ มีไม่น้อย เป็นอันว่าถ้าใช้ถูกจังหวะ ราคาก็ไม่แพง และผลก็จะได้สมความปรารถนาที่เขาจะต้องตายไป 

ก่อนที่เขาจะหมดอายุขัย ก็เพราะไม่มีความเข้าใจในเรื่องนี้ ตานี้ เรื่องการสะเดาะเคราะห์หรือการต่ออายุก็ต้องดูกันใหม่ ดูกันไปว่าควรไม่ควรเพียงใด คนที่ถึงอายุขัยแล้วต่อไม่ไหว เมื่อพูดมาถึงตอนนี้บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทที่ติดตามมาทัศนาจรดูอสุรกายและสัมภเวสีอาจสงสัยว่าหลวงตาองค์นี้ น่ากลัวจะพูดผิดเรื่องเสียแล้ว 

พระพุทธเจ้า ไม่เคยต่ออายุใครนี่ แล้วก็ตาเถรหัวล้านนี่มาพูดกันยังไงกัน ทำไมมาแนะนำให้ชาวบ้านต่ออายุ ถ้าบรรดาท่านพุทธบริษัทสงสัยตอนนี้ละก็ไปเปิดพระธรรมบทดู ที่บอกให้เปิดธรรมบทที่เขาลงท้ายว่าขุททกะ ขุททกนิกาย นิกายแปลว่าหมู่ ขุททกะแปลว่าเล็กๆ น้อยๆ คือเรื่องราวที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้เล็กๆ น้อยๆ กระจุ๋มกระจิ๋มเป็นวิชาเกล็ด ท่านพุทธโฆษาจารย์ท่านรวมไว้อีกจุดหนึ่งแล้วไปเปิดดูเรื่องอายุวัฒนกุมาร ว่าพระพุทธเจ้าเป็นหมดดูหรือเปล่า แล้วก็พระพุทธเจ้าเป็นนักต่ออายุคนหรือเปล่า นี่นักสมถวิปัสสนา นักเข้าวัดละมักจะสวดพระสวดคนที่เขาทำสมถกรรมฐาน เจริญวิปัสสนากรรมฐาน ถ้าใครเขาดูด้วยอำนาจของญาณ ทำพิธีกรรมละบอกว่านอกรีตนอกรอย ทำไม่ถูก พระพุทธเจ้า สอนไว้ว่าการเป็นหมอดูเป็นไม่ได้ ทำพิธีกรรมแบบนี้ทำไม่ได้ คนเมื่อจะถึงคราวตายเป็นอำนาจกฎของกรรม ทำแล้วมันไม่ถูกนอกรีตนอกรอยนอกประเพณี นอกคำสอนของพระพุทธเจ้า นี่แหละบรรดาญาติโยมคนรู้มากก็ยากนาน รู้น้อยพลอยรำคาญ แต่ว่าคนพึ่งคลานได้นี่ซิ กลับไปด่าคนพึ่งคลานได้แบบนี้ นี่ซิ กลับไปด่าคนที่เขาวิ่งแข็งแล้วว่าทำไม่ถูก คนเกิดมาจะต้องคลานอย่างนี้ นี่ซิ มันเป็นแบบนี้ ลักษณะแบบนี้มันมีอยู่มาก อ่านหนังสือไม่ทันจะจบ

ตานี้ถ้าไปดูเรื่องอายุวัฒนกุมาร อายุวัฒนกุมารนี่เกิดมาเป็นเด็กตัวเล็กๆ ยังไม่ ๗ ขวบ นั่งไม่ได้ จะต้องตายในระหว่างนั้น พ่อแม่ของอายุวัฒนกุมาร มีลูกเป็นคนแรก มีพราหมณ์อยู่คนหนึ่งเป็นเพื่อนกัน พราหมณ์คนนี้ แกได้ทิพยจักขุญาณ แกได้ญาณต่าง ๆ มีอตีตังสญาณ อนาคตังสญาณ ก็ว่ากันไปตามเรื่อง แต่ว่ากำลังญาณ กำลังญาณของแกยังอ่อนกว่าพระพุทธเจ้า แกรู้ตัวว่าแกสู้พระพุทธเจ้าไม่ได้ แกก็ยอมรับว่าพระพุทธเจ้าดีกว่าแก สองคนตายายพ่อแม่ของเด็กอายุวัฒนกุมารคนนี้ 

ทราบข่าวว่าเพื่อนฤาษีคนนี้เข้ามาในเขตของเมือง ก็พากันไปหา เพราะเป็นเพื่อนกันมาก่อน เมื่อคุยกันด้วยดีพอสมควรแก่เวลา ท่านพ่อก็ส่งลูกให้แก่แม่ กราบลาเพื่อนกลับ เพื่อนก็บอกว่าท่านจงมีอายุยืนยาว ทีฆายุโก โหตุ นะ ภาษาบาลี นึกจะไม่พูดให้ฟัง เพราะภาษาบาลีมันขัดคอคนฟัง ทีฆายุโก โหตุ ท่านจงมีอายุยืนยาวเถิด ตานี้เมื่อท่านพ่อกราบลาแล้ว ท่านแม่ก็ส่งลูกให้ท่านพ่อ ท่านแม่กราบบ้าง ท่านพราหมณ์ก็ว่าอย่างนั้น ว่า ขอให้ท่านเป็นผู้มีอายุยืนยาว อีตอนหลัง ก็จับลูกของเขาให้กราบ ลุงพราหมณ์คนนี้แกนิ่งเฉย แกไม่พูดแบบนั้น ท่านพ่อท่านแม่แกก็สงสัยว่า เอ๊ะ ! นี่เรากราบเพื่อนของเรา บอกว่าจงเป็นผู้มีอายุยืนยาว แต่ว่าเวลาที่เราให้ลูกชายของเรากราบ เอาละซีเพื่อนนิ่งเสีย 

สงสัย ถามว่าเวลาที่ผมกับเมียกราบท่าน ลาท่าน ท่านบอกว่าจงเป็นผู้มีอายุยืนยาว แต่เวลาที่ให้ลูกกราบทำไมจึงนิ่งเฉย ๆ ท่านพราหมณ์ก็บอกว่า ก็ลูกของแกอายุมันไม่ยาวนี่ จะต้องตายภายใน ๗ วัน ถ้าหากว่าฉันพูดแบบนั้นฉันก็พูดผิดน่ะซิ ไม่ได้แล้ว ฉันไม่พูด เขาก็เลยถามว่า ท่านรู้วิธีแก้ไหม ท่านพราหมณ์ก็เลยบอกว่าไอ้รู้ว่าจะตายน่ะรู้ แต่วิธีแก้น่ะ ไม่รู้หรอก คนที่รู้วิธีแก้มีอยู่คนเดียว คือรู้วิธีแก้ไม่ผิด คือพระสมณโคดม พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าหากว่าท่านต้องการจะแก้ไม่ให้ลูกของท่านตายละก็ไปหาพระสมณโคดมเถิด ท่านแก้ได้ นี่คน

โบราณที่เขาดีจริง ๆ น่ะเขาดี เขาไม่ได้ทะนงตัวนะ ว่าเขาดีแค่นี้ละก้อไม่มีคนดีกว่าเขา ไม่เหมือนบรรดาอาจารย์สมัยปัจจุบัน หวงลูกศิษย์กันนัก ลูกศิษย์ของตัวจะไปหาใครละบอกว่าอย่าเชียวนะ อย่า มาหาฉันแล้วจะไปหาคนอื่นไม่ได้นะ รดน้ำมนต์จากฉันแล้วอย่าไปให้คนอื่นรดเชียวนะ มาเป็นลูกศิษย์ฉันแล้ว อย่าไปเป็นลูกศิษย์คนอื่นเดี๋ยวจะพากันเลอะเทอะ ไม่ได้ของฉันเป็นผู้วิเศษ ดีไม่ดี เป่าขม่อมไปให้แล้วละก้อ อย่าไปให้ใครเป่าทับเชียวนะ 

ถ้าใครเขาเหาะเหินเดินอากาศไม่ได้ละก็อย่าเชียวแน่ะ เอาเข้ายังนั้น พรรคพวกเรามันเป็นยังงี้นะโยมนะ พรรคพวกเราเป็นแบบนี้อยู่เสมอ ที่ดีท่านก็มี ที่เป็นประเภทนี้ก็มีมาก

ตานี้เมื่อพราหมณ์ ๒ ตายายพ่อแม่ของเด็กทราบว่า เด็กจะตายใน ๗ วัน ก็ตกใจ เพราะเป็นลูกคนแรก ลูกผู้ชายเสียด้วย ออกจากสำนักของพราหมณ์เพื่อนที่แนะนำก็พากันไปเฝ้าพระพุทธเจ้า พอไปถึงสำนักของพระพุทธเจ้า ก็ทำแบบนั้นแหละ เวลาลากลับพระพุทธเจ้าก็พูดเหมือนกับพราหมณ์ อีตอนลูกชายลาท่านก็เฉยเสีย พราหมณ์ก็ถาม ท่านก็บอกว่าลูกชายคนนี้จะตายภายใน ๗ วัน เขาก็ถามว่าทำยังไงจึงจะแก้ไขไม่ให้ตายได้เล่าพระพุทธเจ้าข้า พระพุทธเจ้าบอกว่าได้ ถ้าต้องการแบบนั้นได้ เพราะกรรมประเภทนี้เป็นอุปฆาตกรรม

ไม่ใช่อายุขัย ถ้าอายุขัยตถาคตก็แก้ไม่ได้ คือเป็นกรรมที่เข้ามาแทรกระหว่างกลาง ซึ่งผลของความดีเด็กนี้ยังมีอยู่มาก ถ้าไม่ตายก่อน จะได้เป็นพระอรหันต์ในพระพุทธศาสนา แล้วจะมีอายุถึง ๑๒๐ ปี แต่อาศัยเวลานี้ กรรมที่เป็นอกุศลเข้ามาริดรอน จึงเป็นเหตุให้เด็กคนนี้จะต้องตายใน ๗ วัน เมื่อเขาทราบชัดก็ถามสมเด็จพระทรงธรรมว่า ทำยังไงจึงจะไม่ให้เด็กตายพระพุทธเจ้าข้า ท่านก็ตรัสแนะว่าพราหมณ์กลับไปบ้านไปทำโรงพิธีเข้าแล้วก็นิมนต์พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาไปนั่งล้อมเจริญพระปริตรตลอด ๗ วัน เมื่อทำได้อย่างนี้ละก็ลูกของท่านจะพ้นจากความตาย ไอ้เรื่องกลัวเปลืองไม่มีสำหรับคนที่ลูกจะตาย ก็เลยทำตามสั่ง ไปถึงก็ทำโรงพิธีเข้า นิมนต์พระไป พระสมัยนั้นมีมาก ไปนั่งล้อมกันไม่ต้องให้สายสิญจน์ เมื่อล้อมกันแล้วก็เจริญพระปริตร สวดบ้างไม่สวดบ้าง แต่ก็นั่งล้อมกันแบบนั้น พระมาสับเปลี่ยนกันไป ไม่ใช่ไปชุดเดียวแล้วนั่งเจ็ดวันเจ็ดคืน มันคงแย่เหมือนกัน พอถึงวันที่เจ็ดปรากฏว่าพระพุทธเจ้าเสด็จเอง 

แล้วเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จ พรหมก็มา เทวดาก็มา แล้วคนที่จะเอาชีวิตของเด็กก็เป็นยักษ์ธรรมดา ๆ เป็นลูกน้องของท้าวเวสสุวัณณ์ อีตอนนี้เอง ในเมื่อเจ้านายชั้นผู้ใหญ่มา พลทหารก็ต้องไปยืนสุดกู่ องค์สมเด็จพระบรมครูก็นั่งอยู่จนครบรอบของวันที่ ๗ คือเริ่มต้นของวันท่านก็ไปนั่งจนที่สุดของวันคืออรุณใหม่ เพราะว่ายักษ์ตนนี้ได้รับพรจากท้าวเวสสุวัณณ์ว่าจะมาเอาขีวิตของเด็กคนนี้ได้ภายใน ๗ วัน ถ้าเลย ๗ วันแล้วไม่มีโอกาส ฉะนั้น เมื่อแกมาคอยอยู่ ๖ วันแล้วพระก็นั่งล้อมรอบอยู่แบบนั้น แกก็เข้าไม่ได้ 

ได้แต่ตั้งท่าว่าพระเผลอเมื่อไรจะเอาเมื่อนั้น แต่พอวันที่ ๗ วันสุดท้ายแกตั้งใจว่า วันนี้จะต้องเอาชีวิตเด็กคนนี้ให้ได้ ให้มันตายจากความเป็นมนุษย์ เพราะอะไร ? เพราะกรรมเดิมสร้างไว้มาก ที่เป็นปาณาติบาต แล้วความดีก็มีแยะ ในเมื่อเห็นท่าเอาไม่ได้แน่แล้วก็ต้องตั้งท่าให้พระเผลอ พระพุทธเจ้าเสด็จเสียเอง เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จ พรหมลงมา ตายักษ์คนนี้แกก็ถอยหลังลงไปพ้นเขตพรหม เทวดาลงมาแกมีบุญน้อยกว่าแกก็ถอยหลังออกไป ในที่สุดแกต้องไปนั่งอยู่ขอบจักรวาล

เพราะพรหมและเทวดามาก มีปริมาณมากแล้วสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงนั่งเสียหมดเวลา เป็นอันว่าเด็กคนนั้นไม่ต้องตายเกินเวลาเจ็ดวันยักษ์ทำอันตรายไม่ได้ นี่แหละบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายที่ติดตามรับฟังและติดตามทัศนาจรในภพต่าง ๆ กลับมาภพมนุษย์ด้วยกัน 

ทราบไว้ว่ากรรมที่เป็นอุปฆาตกรรม คือบรรดาสัมภเวสีพวกนี้ ที่เดินอยู่ข้างหน้า เดินเกลื่อนไปเกลื่อนมา มีรูปร่างหน้าตาคล้ายคนธรรมดา เวลาที่เขาตาย เวลาที่ตายแต่งตัวแบบไหนนุ่งผ้าประเภทไหนก็แต่งตัวแบบนั้น แล้วก็สำรวยต่าง ๆ ท่าทางแข็งแรง แต่ดูเหมือนว่ามีความกังวลอยู่อย่างหนึ่ง คือมีความทุกข์ใจไม่รู้จะเกิดที่ไหน ไม่รู้จะพักผ่อนที่ไหนได้แน่นอน บรรดาสัมภเวสีพวกนี้มีความลำบาก นี่ถ้าหากว่าบรรดาเขารู้ในด้านการตัดอุปฆาตกรรมเสียได้แล้วละก็เขาจะมีความสุขมาก

เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัท เรื่องนี้รับฟังไว้แล้วก็ควรจะฟังต่อสักนิดว่า ถ้าญาติของเราตาย ตายด้วยอำนาจของสัมภเวสี คือไม่สิ้นอายุ ฟ้าผ่าตาย สุนัขกัดตาย มดกัดตาย ยุงกัดตาย คลอดบุตรตาย ถูกฆ่าตาย ถูกยิงตาย รถชนตาย แต่ก็ไม่แน่นักนะ บรรดาพวกนี้ถึงอายุขัยก็มี แต่เผื่อเหนี่ยวไว้ก่อน สมมุติว่าเขาเป็นสัมภเวสี พอตายไปแล้วไม่ต้องทำบุญมาก ทำบุญให้ได้บุญชัดๆ หาอาหารชนิดที่ไม่มีบาป เอาผ้าไตรมา ๑ ไตร เอาพระพุทธรูปมา ๑ องค์ นิมนต์พระมารับสังฆทานที่บ้าน ทำเงียบๆ อย่าให้มีเหล้ายาปลาปิ้ง อย่าทุบแม้แต่ไข่สักหนึ่งฟอง เมื่อทำบุญเสร็จ อุทิศส่วนกุศลให้เฉพาะคนที่ตาย ไม่ให้ใครทั้งหมด ถ้าทำอย่างนี้ละท่านพวกนี้จะมีความสุข ได้รับผลบุญทันที มีความผ่องใส มีความอิ่มเอิบเมื่อเข้าถึงอายุขัย เมื่อใดก็เป็นอันว่าพวกนี้จะไปถึงด้านของสวรรค์ก่อน

สำหรับท่านอายุวัฒนะกุมารนั้น ปรากฏว่าเมื่อพ้นจากตอนนั้นมาแล้ว ถึงเวลาอายุ ๗ ขวบท่านก็เป็นสามเณร บวชเณร แล้วก็ได้อรหัตผลอยู่มาได้อายุ ๑๒๐ ปี ตรงตามที่องค์สมเด็จพระมหามุนีทรงตรัส

เอาละบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท วันนี้ท่องเที่ยวชมกันเท่านี้ก็พอนะ เพราะเวลามันหมด เดี๋ยวเจ้าหน้าที่ของสถานีเขาจะว่าเอา เกินเวลาเขาเสมอ เป็นอันว่าวันนี้พักอยู่แดนของอสุรกายอยู่สัก ๗ วัน พอครบ ๗ วันแล้วเดินกันใหม่นะ คราวนี้เดินเข้าไปหาดินแดนของสัตว์เดียรัจฉานและมนุษย์

เอาละนี่มันก็หมดเวลาแล้วนี่ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ก็นอนพักกันเสียก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผลจงมีแด่ บรรดาพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน สวัสดี. . 

หลวงพ่อฤาษีลิงดำ จากหนังสือไตรภูมิ

by admin admin ไม่มีความเห็น

สวรรค์ชั้นดาวดึงส์

สวรรค์ชั้นดาวดึงส์

ท่านสาธุชนทั้งหลาย เมื่อวันพุธก่อน ได้ให้บรรดาท่านพุทธบริษัทท่องเที่ยวอยู่ในดินแดนของพระอินทร์พักหนึ่ง มาวันนี้ จะพาบรรดาท่านพุทธบริษัทไปชมวิมานเบ็ดเตล็ดซึ่งเป็นเทวดาตัวอย่างสัก ๒-๓ องค์ตามที่เวลาจะอำนวย เพราะว่าเรื่องราวของสวรรค์ต้องว่ากับแบบรวมๆ

วันนี้ เรามาพูดกันถึงว่า คนที่เคยทำบาป แต่ทว่าตายแล้วไปเกิดบนสวรรค์ แล้วก่อนที่บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านจะทราบเรื่องราวของเทวดาต่างๆ ขอให้รู้อายุของเทวดาชั้นนี้ไว้เสียก่อน เทวดาบนสวรรค์ชั้น ดาวดึงส์เทวโลก ทุกองค์ มีอายุอยู่ ๑,๐๐๐ ปีทิพย์ ถ้าจะประมาณเปรียบเทียบอายุในเมืองมนุษย์ หนึ่งร้อยปี เท่ากับ ๑ วัน แล้วก็เดือนหนึ่ง ๓๐ วันปีหนึ่งมี ๑๒ เดือน ก็นั่งนับกันเอาเองก็แล้วกัน นั่งนับกันตามสบายแล้วสำหรับเทวดาที่เกิดในชั้นนี้ หรือชั้นอื่นก็เหมือนกัน ไม่แน่ว่าจะมีอายุเฉพาะกาลที่กำหนดไว้

สมมติว่าบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายเคยบวชพระด้วยตนเอง และปฏิบัติตามพระธรรมวินัยด้วยดี ท่านประเภทนี้เวลาบวชแล้วมีอานิสงส์อยู่เป็นเทวดาได้ ๖๐ กัป หมายความว่ามีอายุเป็นเทวดาได้ ๖๐ กัป สำหรับบิดามารดาผู้ให้บวช ผู้ให้กำเนิด ได้อานิสงส์คนละ ๓๐ กัป ต่อลูกชายบวช ๑ คน แล้วสำหรับคนที่เป็นเจ้าภาพ ไม่ใช่พ่อไม่ใช่แม่ เป็นเจ้าภาพให้กุลบุตรบวชในพระพุทธศาสนาได้อานิสงส์แห่งการบรรพชากุลบุตรใว้ในพระพุทธศาสนาคนละ ๑๒ กัปต่อ ๑ องค์ สำหรับท่านที่ได้ทำบุญอุปสมบทกุลบุตรไว้ในพระพุทธศาสนา 

ช่วยเขาคนละบาทสองบาท หรือช่วยด้วยกำลังแรง อย่างนี้ก็มีอานิสงส์องค์ละ ๘๐ กัป ไม่ใช่ ๘๐ นะ เอาแค่ ๘ เฉยๆ เอาศูนย์ออกเสีย มันจะเหนื่อยเผลอไป เป็นอันว่าถ้าหากว่าอยู่ถึงพันปีทิพย์หรืออยู่ตามกำหนดเทวดาชั้นนั้นๆ อานิสงส์นี่ยังไม่หมด เมื่อตายจากความเป็นเทวดาเมื่อครบกำหนดพันปีทิพย์สมมติเอาในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ท่านก็เกิดเป็นเทวดาใหญ่

เพียงแค่พริบตาเดียว ไม่ต้องป่วยไข้ หมดบุญก็หมดตัวพริบตาเดียว คนอื่นไม่รู้ เรียกว่า คนอื่นสังเกตไม่ทัน นี่ว่าถึงอานิสงส์แห่งการอยู่ในฐานะเทวดา ไม่ใช่เฉพาะว่าต้องมีอายุครบพันปีทิพย์แล้วก็ต้องไปที่อื่น ไม่ใช่ยังงั้น นี่สำหรับคนผู้บวช และสำหรับคนที่บวชสามเณรในพระพุทธศาสนา บวชตัวเอง หมายความว่าตัวเองได้บวช แล้วก็เป็นเณรอย่างดี ไม่ใช่เป็นเณรเปรต พระเปรต บวชเข้ามาแล้วไม่ปฏิบัติตามพระธรรมวินัย บวชเข้ามาแล้วประพฤติดีตามพระธรรมวินัย

มีอานิสงส์เป็นเทวดาได้ ๓๐ กัป สำหรับบิดามารดาได้คนละ ๑๕ กัป สำหรับพ่อกันแม่นี่ มีอานิสงส์เป็นพิเศษ ท่านกล่าวว่า เมื่อบิดามารดาคลอดบุตรออกมาแล้ว พ่อกับแม่จากไป ไม่รู้ว่าลูกชายเป็นใคร ลูกชายไม่รู้ว่าพ่อแม่ชื่ออะไร รูปร่างหน้าตาเป็นยังไง เป็นยังไงไม่รู้จักกัน เวลาลูกชายบวชเมื่อไร พ่อแม่อยู่ที่ไหนก็ตาม 

มีอานิสงส์เต็มที่ คือสามารถเป็นเทวดาได้ ๑๕ กัป เฉพาะลูกชายบวชเณร ถ้าลูกชายบวชพระ ก็มีอานิสงส์เป็นเทวดาได้ ๓๐ กัป นี่การบวชกุลบุตรในพระพุทธศาสนามีอานิสงส์พิเศษแบบนี้ ซึ่งไม่เหมือนกับอานิสงส์อย่างอื่น การทำบุญอย่างอื่น ต้องอุทิศส่วนกุศลให้ พ่อแม่มีโอกาสโมทนาก็ได้บุญ ถ้าพ่อแม่ไม่มีโอกาสโมทนาก็ไม่ได้บุญ ฉะนั้น การบวชตัวเองก็ดี บวชคนอื่นไว้ในพระพุทธศาสนาก็ดี บวชลูกบวชหลานไว้ในพระพุทธศาสนาก็ดี ต้องให้ลูกให้หลานปฏิบัติให้ดีตามพระธรรมวินัย จะมีอานิสงส์ตามที่กล่าวแล้ว ถ้าลูกหลานปฏิบัติไม่ดี หรือว่าเวลาบวชสร้างบาปไว้มากๆ เวลาจะบวชลูกหลานสักคราว ฆ่าเป็ด ฆ่าไก่ ฆ่าหมู ฆ่าวัว ฆ่าควาย อย่างนี้ เขาเรียกว่าไม่ใช่บวชซื้อบุญ เป็นการลงทุนซื้อบาป การบวชในคราวนั้นไม่มีผล เพราะอะไร? เพราะว่าจิตไม่มีกุศล จิตเป็นอกุศลเป็นบาปไปเสียหมด เลี้ยงเหล้ายาปลาปิ้งซึ่งกันและกัน ไม่ทำอย่างนั้นก็เกรงว่าชาวบ้านจะติเอา เขาทำแล้วเขาเลี้ยงกันแบบนี้ เราเองเราทำเราไม่เลี้ยง หน้าตามันจะไม่เสมอเขา ยังงี้เขาไม่เรียกว่าปรารถนาหน้าตาเป็นเทวดา 

ปรารถนาหน้าตาเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดียรัจฉาน เพราะว่าน้องใช้หนี้กรรมเขามาตามนั้น นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท อายุของเทวดาแต่ละชั้นมีจำกัดก็จริง แต่ทว่าท่านพุทธบริษัทชายหญิงที่ทำบุญเข้าไปแล้ว 

อย่างบวชพระบวชเณรเป็นต้น เมื่อครบอายุก็ตายปุ๊บเกิดปั๊บ เป็นเทวดาชั้นนั้นต่อไป นี่ว่ากันถึงว่าเป็นเทวดาธรรมดาไม่สร้างบารมีพิเศษ ถ้าไปสร้างบารมีเป็นพิเศษ อาจจะมีบุญก้าวขึ้นไปสู่ชั้นอื่นก็ได้ เอาละ สำหรับเรื่องนี้ของดไว้ จะพูดต่อไปถึงเทวดาตัวอย่างคนทำบาปไว้มาก แต่ว่าเกิดเป็นเทวดาได้

ตัวอย่างท่านสุปติฏฐเทพบุตร ปรากฏว่าในสมัยที่เป็นมนุษย์ ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเป็นอาจิณกรรม ไม่เคยทำบุญ วันดีไม่ละวันพระไม่เว้น ใครเขาบอกบุญบอกทานเห็นแล้วทำเป็นไม่เห็น ได้ยินแล้วแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน ไม่ต้องการ กินเหล้าเมายาตลอดเวลา เมื่อเวลาจะตายขึ้นมาจริงๆ เวลานั้นมองเห็นทรัพย์สิน เห็นลูกเห็นเมีย ข้าทาสหญิงชายนั่งกันสะพรั่งตัวเองมีทุกขเวทนาอย่างหนัก ก็มาคิดในใจว่าคนทั้งหลายนี้เป็นคนของเรา เราสร้างฐานะมาด้วยความลำบาก จนกระทั่งเป็นคหบดี คนทั้งหลายเหล่านี้ไม่มีโอกาสจะช่วยเราได้ เราตายคราวนี้เห็นจะรับโทษคนเดียว เพราะว่าพระพุทธเจ้ากล่าวว่าใครทำบาปแล้วไปตกนรกคนเดียว

ตอนนี้ เกิดกลัวนรกขึ้นมา จิตใจเลยน้อมนึกไปว่า พระพุทธเจ้าก็ดี พระธรรมก็ดี พระสงฆ์ก็ดี ย่อมช่วยคนในยามมีทุกข์ นี่เป็นยังงั้นนะ บรรดาพระนี่เป็นยังงั้น ถ้าคนไม่เห็นทุกข์ คนก็ไม่ค่อยจะเห็นพระ 

ถ้ามีทุกข์ขึ้นมาเมื่อไรก็เห็นพระเมื่อนั้น พระก็ประเภทเดียวกับหมอดู แต่ว่าหมอดูได้เปรียบกว่าพระ เพราะมีโอกาสได้ค่าจ้างรางวัล ดีไม่ดีก็ยุให้สะเดาะเคราะห์ไปเลย เป็นอันว่าคนดูมีเคราะห์เพิ่มขึ้น หมอดูหมดเคราะห์ นี่เป็นเรื่องของท่าน คราวนี้ มาว่ากันไปถึง สุปติฏฐเทพบุตร เมื่อเป็นมนุษย์นึกถึงความชั่วของตัวจะให้ผล ก็นึกถึงความดีขององค์สมเด็จพระทศพล ตอนนี้เอง จิตใจน้อมนึกถึงคุณพระรัตนตรัย มีพระพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ และสังฆรัตนะ นึกในใจว่า พุทโธ ธัมโม สังโฆ น้อมจิตไปด้วยความเลื่อมใส ภาวนาได้ไม่กี่คำก็พอดีตาย ตายแล้วก็ไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เทวโลก 

เรื่องนี้บรรดาท่านพุทธบริษัทหลายท่านเคยค้านท่านฤๅษีลิงดำว่า คนทำความชั่วมามาก ทำไมหนอจะมีโอกาสไปสวรรค์ได้แม้ว่าตัวเองจะทำบุญนิดเดียว อันนี้บรรดาท่านพุทธบริษัทต้องคิดดูสักนิด จะเปรียบเทียบให้ฟัง 

สมมติว่าเราเองนี่นะ เป็นหนี้เขาอยู่มาก เป็นหนี้เขาอยู่หลายแสนบาท เจ้าหนี้เขาทวงซึ่งอีกไม่กี่วันเขาจะฟ้องล้มละลาย จะยึดทรัพย์ยึดสินจนหมด แต่ก่อนหน้าที่เจ้าหนี้จะฟ้องล้มละลาย บังเอิญทีเดียว เขาไปถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่ ๑ เข้า เวลานี้ได้ล้านบาทเศษ พอได้เงินล้านบาทเศษทำยังไง?

เขาไม่ใช้หนี้ โน่น เดินทางไปต่างประเทศที่ไม่มีความสัมพันธ์กัน ไปนั่งเป็นเศรษฐีมหาเศรษฐีที่นั่นตามสบาย แต่ทว่า ถ้าหมดเงินเมื่อไร กลับมาเมื่อไร เมื่อนั้นแหละ เจ้าหนี้เขาก็ฟ้องตามหน้าที่ที่เขาจะต้องทำ เวลานั้นเขาหนีไปได้เงินทองที่มีอยู่ก็ไม่ต้องเสียไป ไม่ต้องใช้หนี้เขา ข้อนี้มีอุปมาฉันใด แม้คนเราก็เหมือนกัน ทำความชั่วไว้มาก แต่เวลาจะตายถ้าทำใจผ่องใสนึกถึงสิ่งที่เป็นกุศล อันนี้ 

สมเด็จองค์พระทศพลทรงตรัสเป็นพุทธภาษิตไว้ว่า จิตเต สังกิลิฏเฐ ทุคติปาฏิกังขา เมื่อเราจะตายถ้าจิตเศร้าหมอง ทำบุญไว้มากมายเท่าไรก็ตาม ไปรับผลของกรรมชั่วก่อน จิตเต ปริสุทเธ สุคติปาฏิกังขา เมื่อเวลาจะตายถ้าจิตใจผ่องใส จะทำบาปไว้เท่าไรก็ตาม เราไปรับผลของบุญก่อน ตัวท่านสุปติฏฐเทพบุตรทำบาปไว้มาก เมื่อเวลาจะตายจิตใจน้อมนึกถึงคุณพระรัตนตรัย อารมณ์เกิดผ่องใส คิดว่าพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ต้องช่วยเราได้ ภาวนาด้วยความเลื่อมใสและความมั่นใจอันนี้ 

ท่านกล่าวว่าเป็นพุทธานุสสติ คือระลึกนึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ ธรรมานุสสตินึกถึงคุณพระธรรมเป็นอารมณ์ สังฆานุสสตินึกถึงคุณพระสงฆ์เป็นอารมณ์ ฉะนั้น เมื่อท่านตายไปแล้ว แทนที่จะไปเกิดในนรก ก็เกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เทวโลก

แต่ในฐานะที่ตนเองเป็นคนประมาทมาก่อน เป็นเทวดาก็เป็นเทวดาประมาทไม่สร้างความดีต่อ สมัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปแสดงธรรมโปรดพุทธมารดา ปรากฏว่า ท่านสุปติฏฐเทพบุตรจะหมดอายุจากความเป็นเทวดา เมื่อหมดแล้วต้องต้องหาใช้หนี้กรรมเก่ารู้ตัวว่าจะต้องตกอเวจีมหานรกสิ้น ๑ กัป เพราะบาปที่ทำปาณาติบาตเป็นอาจิณกรรม ออกจากนั้นแล้วก็ไปเสวยผลในนรกบริวารอีก ๔ ขุม แล้วก็มานั่งไล่เบี้ยในยมโลกียนรกอีก ๑๐ ขุม เพราะทำบาปครบถ้วน จากนั้นก็มาเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดียรัจฉานแล้วก็เป็นแร้ง ๕๐๐ ชาติ เป็นกา ๕๐๐ ชาติ เป็นสุนัขบ้า ๕๐๐ ชาติ พ้นจากนั้นแล้ว ก็มาเป็นคนหูหนวด ๕๐๐ ชาติ เพราะเขาบอกบุญรู้แล้วได้ยินแล้วแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน ตาบอด ๕๐๐ ชาติเห็นแล้วแกล้งทำเป็นไม่เห็น มาเป็นคนบ้า ๕๐๐ ชาติเพราะการดื่มสุราเมรัยเป็นคนง่อยเปลี้ยเสียขาเดินไม่ได้ ๕๐๐ ชาติ เพราะเศษกรรมของปาณาติบาตทรมานสัตว์ ทำสัตว์ให้ตาย เมื่อแกรู้เข้าแบบนี้ก็ตกใจ วิ่งโร่เข้าไปหาพระอินทร์ขอให้พระอินทร์ช่วย พระอินทร์ก็บอกว่าช่วยไม่ได้ 

ฉันก็เป็นเทวดาเหมือนกัน พระอินทร์พาไปหาพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าพิจารณาว่า เทวดาองค์นี้ ถ้าเราเทศน์อภิธรรม ๗ คัมภีร์ไม่มีผล เพราะบารมีไม่ถึง เทศน์อะไรจึงจะดี องค์สมเด็จพระชินสีห์ ก็ทราบด้วยอำนาจพระพุทธญาณ ว่าเราเทศน์อุณหิสวิชัยสูตร เทวดาองค์นี้เมื่อฟังจบ ก็จะได้บรรลุพระโสดาปัตติผล 

บาปกรรมที่ตนทำไว้ไม่มีโอกาสจะให้ผล เป็นอันว่าสมเด็จพระทศพลจึงได้เทศน์อุณหิสวิชัยสูตร พอเทศน์จบท่านสุปติฏฐเทพบุตรก็เป็นพระโสดาบัน เป็นอันว่าอบายภูมิทั้ง ๔ คือ นรก เปรต อสุรกาย เดียรัจฉานฉานไม่มีโอกาสจะให้ผล

นี่แหละบรรดาท่านพุทธศาสนิกชน คนที่เป็นบาปนะเขาทำกันแบบนี้ เรียกว่าเขาทำกันแบบนี้ เวลาจะตายหาความดีเข้าไว้ ฉะนั้นองค์สมเด็จพระจอมไตรจึงได้สอนพุทธบริษัทให้เจริญพระกรรมฐานเข้าไว้ ข้อใดข้อหนึ่งให้จิตชิน เมื่อมีอารมณ์ชินแล้ว เวลาจะตายจิตก็จับอารมณ์นั้นเข้าไว้ อารมณ์จะผ่องใส บาปกรรมทั้งหลายจะตามไม่ทัน นี่เป็นเทวดาตัวอย่างพูดให้ฟัง เชื่อก็เชื่อ ไม่เชื่อก็ตามใจ นี่ หนึ่งละนะ

มาคนที่ ๒ คนทำบุญเล็กๆ น้อยๆ ดูเจตนาเขาให้ดีนะ เทวดานางหนึ่ง เรียกว่านางฟ้าก็แล้วกัน นางฟ้านางหนึ่งมีนามว่า สาตจีเทพธิดา สาตจีเทพธิดานี่เป็นคนจนในสมัยเป็นมนุษย์ ในขณะเป็นมนุษย์จนมาก ตัดฟืนขายทุกวัน โอกาสที่จะบำเพ็ญกุศลไม่มี เช้าก็ป่า ตอนเย็นก็กลับมาบ้านขายฟืนเสร็จหุงข้าวกิน เช้าก็ต้องเข้าป่า เป็นแบบนี้ทุกวัน 

พระจะมาบิณฑบาตหรือจะมาบอกบุญบอกทานไม่มีใครมีโอกาสได้พบเธอ ไม่ใช่ว่าไม่มีศรัทธา ศรัทธามี แต่โอกาสไม่มี วันหนึ่ง สาตจีเทพธิดาเข้าป่า ไปพบดอกบวบขมเข้า มีสีเหลืองคิดถึงพระว่าดอกบวบขมนี่ มีสีคล้ายๆ จีวรพระ ตอนเย็นวันนี้ เรากลับไป เราจะเด็ดเอาไปบูชาเจดีย์ที่เขาบรรจุอัฐิธาตุของพระอรหันต์ เวลากลับบ้านเธอก็เก็บมาจริงๆ มาถึงบ้านขายฟืนแล้วหุงข้าวกินเสร็จอาบน้ำอาบท่านแต่งตัวดี จึงได้นำดอกบวบขมชุดนี้

ตั้งใจจะเอาไปบูชาเจดีย์ที่เขาบรรจุพระธาตุของพระอรหันต์ แต่ว่าระหว่างที่นางเดินทางไปนั้น ปรากฏว่า มีวัวแม่ลูกอ่อนขวิดตาย ขณะที่นางจะตายจิตใจก็นึกว่าเราจะไปบูชาพระรัตนตรัย นี่แหละ บรรดาท่านพุทธบริษัท จิตใจของนางนี้นั้น จัดว่าเป็นสังฆานุสสติกรรมฐาน เพราะตั้งใจจะไปบูชากระดูกพระอรหันต์ ด้วยอานุภาพแห่งการตั้งใจบูชา ตั้งใจทำบุญด้วยจิตเป็นกุศลจริงๆ 

เมื่อชีวิตของนางออกจากร่าง ก็ไปบังเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เทวโลก มีวิมานทองคำเพราะอาศัยมีสีเหลืองเป็นสำคัญ เครื่องประดับกายของนางก็ดี เครื่องประดับวิมานของนางก็ดี มีสีเหลืองเป็นทองไปหมด แล้วมีนางฟ้า ๕๐๐ เป็นบริวาร มีความสุขสำราญอยู่ที่นั่น นี่คนที่ ๒ ละนะ ดูเวลามีพอไหม ถ้ามีพอว่าต่อไป

อีกท่านหนึ่งไม่เคยทำบุญอะไรมาเลยเช่นเดียวกับนางสาตจีเทพธิดา แต่ทว่าก็ไม่เคยทำบาป ท่านองค์นี้คือท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตร ท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตรนี่เป็นลูกของเศรษฐี มีทรัพย์นับได้ ๘๐ โกฏิ แต่เศรษฐีนี่ท่านก็เศษจริงๆ เป็นคนที่ไม่เคยให้ทานเลย ขี้เหนียวตลอดกาลตลอดสมัย ทั้งนี้เป็นเพราะอะไร เพราะถือว่าทรัพย์ของเรา เราหาเอาไว้ พ่อแม่หาให้ คนอื่นไม่เกี่ยว มีลูกชายคนหนึ่งเวลาที่ลูกชายป่วยหนักท่านรักษาของท่านคนเดียว ไปเก็บยามาให้ 

แต่ว่าขณะนั้นอาการไม่ดีขึ้น ในที่สุดท่านก็คิดว่าลูกชายของเราใกล้จะตาย ดีไม่ดีญาติพี่น้องทั้งหลายพากันมาเยี่ยม ลูกชายนอนอยู่ในห้องแบบนี้ เมื่อเห็นทรัพย์สินเข้า คนนั้นจะขออย่างนั้น คนนี้จะขออย่างนี้ เราก็จำจะต้องให้ ไม่เอา ไม่เอา อีท่านี้ไม่ดี เลยพาลูกชายไปนอนที่ระเบียง เอาไปนอนที่ระเบียงบ้านเผื่อว่าใครเขามาเยี่ยมจะได้ไม่เห็นทรัพย์สมบัติอะไร 

ลูกชายก็มีอาการหนักเข้ามาทุกที เงินทองมีมากจะไปหาหมอมารักษา ท่านก็ไม่ทำ ในที่สุดลูกชายก็ใกล้ตายเต็มที วันนั้นบังเอิญองค์สมเด็จพระชินสีห์กับพระอานนท์เดินผ่านไป ท่านมัฏฐกุณฑลีเห็นเข้าก็มีจิตเลื่อมใส คิดว่าพ่อแม่ของเรานี้ไม่เป็นที่พึ่ง เป็นเศรษฐีใหญ่ แต่ว่าไม่ยอมจ่ายเงินเพื่อลูกชาย ฉะนั้นจึงได้คิดว่าพ่อแม่ก็ดี ทรัพย์สินก็ดี ไม่เป็นที่พึ่งที่อาศัยสำหรับเราได้ เห็นแต่พระรัตนตรัยเท่านั้น ที่จะเป็นที่พึ่งที่อาศัยได้เป็นอย่างดี ท่านมัฏฐกุณฑลีจะยกมือขึ้นมาไหว้ก็ไหว้ไม่ไหว ในที่สุดก็เอาใจน้อมไปถึงคุณพระรัตนตรัย มีพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ ไม่ช้าท่านก็ตาย 

เมื่อตายไปแล้วก็ไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เทวโลก มีวิมานทองคำ มีเครื่องประดับมาก มีนางฟ้า ๕๐๐ เป็นบริวาร นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านชมวิมานแล้วก็ดูเจตนาของเขานะ คนที่จะถึงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ได้นี่ ไม่ใช่ว่าจะมากันได้ง่ายๆ ต้องมีกำลังใจชั้นดีจริงๆ ถ้าหากจะบูชาพระรัตนตรัยนึกถึงพระรัตนตรัยก็ต้องจิตมั่นคง ไม่ใช่สักแต่ว่าสวดมนต์ส่งเดชตามประเพณี ภาวนาส่งเดชตามประเพณี อย่างนี้มาสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ไม่ได้ อย่างดีก็ไปเกิดเป็นรุกขเทวดา หรือดีไม่ดี บุญกุศลที่กระทำประเภทนั้นโดยไม่ตั้งใจจริงก็จะพาลงนรกไป เพราะว่าไม่ได้เคารพกราบไหว้บูชาด้วยจริงใจ นี่เล่าให้ฟังนะ เขาตัดใจกันจริงๆ

ตานี้ มาดูคนอีก ๒ คน เวลาเหลืออีกนิดหนึ่ง มาดูอีก ๒ คน คือพระอินทร์กับอังคุละเทพบุตร เวลาที่พระพุทธเจ้าเสด็จเข้าไปใหม่ๆ ไปถึงบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ พระอินทร์ไปนั่งข้างขาเบื้องขวา อังคุละเทพบุตรนั่งข้างขาเบื้องซ้าย พอเทวดาผู้ใหญ่มาเข้าอังคุละเทพบุตรถอยไปๆ ถอยจนกระทั่งไปอยู่ข้างหลังเพื่อน 

สำหรับพระอินทร์ไม่ถอย พระพุทธเจ้าประสงค์จะประกาศผลของคนที่ทำบุญในพระพุทธศาสนามีอานิสงส์มาก จึงได้ถามอังคุละเทพบุตรว่า อังคุละ เมื่อตถาคตมาใหม่ๆ เธอนั่งใกล้อยู่กับพระอินทร์ เวลานี้เธอไปนั่งอยู่ไกลสุด ในสมัยที่เป็นมนุษย์เธอทำอะไรไว้? อังคุละเทพบุตรจึงได้กราบทูลตอบสมเด็จพระจอมไตรว่า ภันเต ภควา ข้าแต่องค์พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญ เมื่อข้าพระพุทธเจ้าเป็นมนุษย์ เป็นมหาเศรษฐีใหญ่ตั้งใจให้ทานอยู่ ๒ หมื่นปี คือตั้งเตาไว้ ๑ โยชน์ ตั้งเตา ๑ เตา ๑ โยชน์ตั้ง ๑ เตา เพื่อตั้งโรงครัว ๘๐ โยชน์ ๘๐ เตา เลี้ยงคนกำพร้าและคนเดินทางตลอดเวลา แต่เวลานั้นเป็นเวลาที่ไม่มีพระพุทธเจ้าตรัส เป็นเวลานอกพระศาสนา

อานิสงส์ที่ทำบุญแบบนี้มา ๒ หมื่นปี ตายขึ้นมาเป็นเทวดาที่มีบุญน้อยที่สุด ต้องอยู่หลังเทวดาอื่นทั้งหมด เพราะอานุภาพไม่เท่าเขา องค์สมเด็จพระผู้มีภาคเจ้าจึงได้ถามพระอินทร์ว่า สมัยที่เป็นมนุษย์พระองค์ทำอะไรไว้ จึงมีศักดาใหญ่ ไม่ต้องถอยหลังให้แก่ใครเป็นเทวดาชั้นหัวหน้า พระอินทร์ก็กราบทูลสมเด็จพระสมมาสัมพุทธเจ้าว่า สมัยเป็นมนุษย์ข้าพเจ้าถวายสังฆทานเป็นปกติ คือนิมนต์พระมาแล้วก็ถวายสังฆทาน อานิสงส์แห่งการถวายสังฆทานนี้มีอานิสงส์มาก เป็นเหตุให้ข้าพระพุทธเจ้านี่เป็นเทวดาอื่นทั้งหมดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เรื่องการชมดาวดึงส์ก็ขอยุติเพียงแค่นี้นะ ถ้าจะนำชมกับจริงๆ ละก็อีกหลายตอน สัก ๑๐๐ ตอนก็ไม่จบเพราะว่าเรื่องนี้จะให้จบภายใน ๒๔ ตอน เอากันแค่นี้ก็แล้วกัน มาพูดไว้ตอนนี้เพื่อให้รู้ว่า การที่จะมีวิมานเข้าสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ได้ ต้องใจดีจริงๆ แล้วการทำบุญนอกเขตพระพุทธศาสนากับการทำบุญในเขตพระพุทธศาสนามีอานิสงส์ไม่เหมือนกัน รวมความว่าทำบุญกับพระ กับการทำบุญกับชาวบ้านน่ะ มีอานิสงส์ไม่เหมือนกัน ดูตัวอย่างอังคุละเทพบุตรกับท่านพระอินทร์ก็แล้วกัน

ตานี้ ทำบุญกับพระก็เหมือนกัน ทำบุญกับพระที่มีศีลบริสุทธิ์ก็สู้ทำบุญกับพระที่ได้ฌานสมาบัติไม่ได้ ทำบุญกับพระที่ได้ฌานสมาบัติก็สู้ทำบุญกับท่านที่เป็นอริยสงฆ์ไม่ได้

เอาละ จะพูดมากไป เวลามันเลยไปสักนิดหนึ่งกระมัง เลยหรือไม่เลย? ถ้าเลยก็ขออภัยท่านเจ้าหน้าที่ด้วย สำหรับวันนี้ ก็ขอชวนบรรดาท่านพุทธบริษัทและพระคุณเจ้าที่เคารพ เดินทางเที่ยววนไปวนมาอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์สัก ๗ วันนะขอรับ วันพุธหน้าผมจะพาท่านเที่ยวใหม่ สำหรับวันนี้ หมดเวลาแล้ว ต้องขอลาก่อน

ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้ติดตามรับฟังทุกท่าน สวัสดี. .

หลวงพ่อฤาษีลิงดำ หนังสือไตรภูมิ

by admin admin ไม่มีความเห็น

อัชฌาสัยฉฬภิญโญ

อัชฌาสัยฉฬภิญโญ
อัชฌาสัยของท่านที่ชอบมีฤทธิ์มีเดช ทำอะไรต่ออะไรเกินกว่าสามัญชนจะทำได้ เรียกว่า อัชฌาสัยของท่านผู้มีฤทธิ์ หรือท่านผู้ทรงอภิญญา ๖ 
อภิญญา ๖ นี้ เป็นคุณธรรมพิเศษสำหรับนักปฏิบัติอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งจะต้องฝึกฝนตนเป็นพิเศษ ให้ได้คุณธรรมห้า ประการก่อนที่จะได้บรรลุมรรคผล หมายความว่าในระหว่างที่ทรงฌานโลกีย์นั้น ต้องฝึกฝนให้สามารถทรงคุณสมบัติห้าประการดังต่อไปนี้
๑. อิทธิฤทธิ์ แสดงฤทธิ์ต่างๆ ได้ 
๒. ทิพยโสต มีหูเป็นทิพย์ สามารถฟังเสียงในที่ไกล หรือเสียงอมนุษย์ได้ยิน 
๓. จุตูปปาตญาณ รู้การตายและการเกิดของคนและสัตว์ 
๔. เจโตปริยญาณ รู้ความรู้สึกในความในใจของคนและสัตว์ 
๕. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติต่างๆ ที่ล่วงมาแล้วได้ 
ทั้งห้าอย่างนี้ จะต้องฝึกให้ได้ในสมัยที่ทรงฌานโลกีย์ ต่อเมื่อฝึกฝนคุณธรรมหกประการนี้ คล่องแคล่วว่องไวดีแล้ว จึงฝึกฝนอบรมในวิปัสสนาญาณต่อไป เพื่อให้ได้อภิญญาข้อที่ ๖ คือ อาสวักขยญาณ ได้แก่การทำอาสวะให้หมดสิ้นไป 
วิธีฝึกอภิญญา
วิธีฝึกอภิญญานี้ หรือฝึกวิชชาสาม และปฏิสัมภิทาญาณ โปรดทราบว่า เอามาจากวิสุทธิมรรค ไม่ใช่ผู้เขียนเป็นผู้วิเศษทรงคุณพิเศษตามที่เขียน เพียงแต่ลอกมาจากวิสุทธิมรรค และดัดแปลง สำนวนเสียใหม่ให้อ่านง่ายเข้าใจเร็ว และใช้คำพูดเป็นภาษาตลาดที่พอจะรู้เรื่องสะดวกเท่านั้นเอง โปรดอย่าเข้าใจว่าผู้เขียนแอบเป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณไปเสียแล้ว นรกจะเล่นงานผู้เขียนแย่ ส่วนใหญ่ในข้อเขียนก็เอามาจากวิสุทธิมรรค และเก็บเล็กผสมน้อยคำสั่งสอนของครูบาอาจารย์บ้าง ตามแต่จะจำได้ สำหรับอภิญญาข้อ ๓ ถึงข้อ ๕ ได้อธิบายมาแล้วในวิชชาสาม สำหรับในอภิญญานี้ จะอธิบายเฉพาะข้อ ๑ กับข้อ ๒ เท่านั้น
อิทธิฤทธิ์
ญาณข้อ ๑ ท่านสอนให้ฝึกการแสดงฤทธิ์ต่างๆ การแสดงฤทธิ์ทางพระพุทธศาสนานี้ ท่านสอนให้ปฏิบัติดังต่อไปนี้
ท่านให้เจริญคือฝึกในกสิณแปดอย่างให้ชำนาญ กสิณแปดอย่างนั้นมีดังนี้ 
๑. ปฐวีกสิณ เพ่งธาตุดิน
๒. อาโปกสิณ เพ่งธาตุน้ำ 
๓. เตโชกสิณ เพ่งไฟ 
๔. วาโยกสิณ เพ่งลม 
๕. ปีตกสิณ เพ่งสีเหลือง ๖. นีลกสิณ เพ่งสีเขียว 
๗. โลหิตกสิณ เพ่งสีแดง 
๘. โอทาตกสิณ เพ่งสีขาว 
เหลือกสิณอีกสองอย่างคือ อาโลกสิณ เพ่งแสงสว่าง และอากาสกสิณ เพ่งอากาศ ท่านให้เว้น เสีย ทั้งนี้จะเป็นเพราะอะไรท่านไม่ได้อธิบายไว้ แต่สำหรับท่านที่ทรงอภิญญาจริงๆ ที่เคยพบในสมัย ออกเดินธุดงค์ท่านบอกว่า ท่านไม่ได้เว้น ท่านทำหมดทุกอย่างครบ ๑๐ กอง ท่านกล่าวว่า กสิณนี้ถ้าได้ กองแรกแล้ว กองต่อไปไม่มีอะไรมาก ทำต่อไปไม่เกิน ๗ วันก็ได้ กองยากจะใช้เวลานานอยู่กองแรก เท่านั้นเอง ต่อไปจะได้อธิบายในการปฏิบัติกสิณพอเป็นตัวอย่าง 
ปฐวีกสิณ 
กสิณนี้ท่านให้เพ่งดิน เอาดินมาทำเป็นรูปวงกลม โดยใช้สะดึงขึงผ้าให้ตึงแล้วเอาดินทา เลือกเฉพาะดินสีอรุณ แล้วท่านให้วางไว้ในที่พอเหมาะที่จะมองเห็นไม่ใกล้และไกลเกินไป เพ่งดูดิน ให้จำได้แล้วหลับตานึกถึงภาพดินนั้น ถ้าเลือนไปจากใจก็ลืมตาดูดินใหม่ จำได้ดีแล้วก็หลับตานึกถึง ภาพดินนั้น จนภาพนั้นติดตา ต่อไปไม่ต้องดูภาพดินภาพนั้นก็ติดตาติดใจจำได้อยู่เสมอ ภาพปรากฏ แก่ใจชัดเจน จนสามารถบังคับภาพนั้นให้เล็ก โต สูง ต่ำ ได้ตามความประสงค์อย่างนี้เรียกว่าอุคหนิมิต หยาบ ต่อมาภาพดินนั้นจะค่อยๆ เปลี่ยนสีไปที่ละน้อย จากสีเดิมไปเป็นสีขาวใส จนใสหมดก้อน และ เป็นประกายสวยสดงดงามคล้ายแก้วเจียระไน อย่างนี้เรียกว่าถึงอุปจารฌานละเอียด ต่อไปภาพนั้น จะสวยมากขึ้นจนมองดูระยิบระยับจับสามตา เป็นประกายหนาทึบ อารมณ์จิตตั้งมั่นเฉยต่ออารมณ์ ภายนอกกายคล้ายไม่มีลมหายใจ อย่างนี้เป็นฌาน ๔ เรียกได้ว่าฌานปฐวีกสิณเต็มที่แล้ว 
เมื่อได้อย่างนี้แล้ว ท่านผู้ทรงอภิญญาท่านนั้นเล่าต่อไปว่า อย่าเพิ่งทำกสิณกองต่อไป เรา จะเอาอภิญญากัน ไม่ใช่ทำพอได้ เรียกว่าจะทำแบบสุกเอาเผากินไม่ได้ต้องให้ได้เลยทุกอย่าง ได้อย่างดีทั้งหมด ถ้ายังบกพร่องแม้แต่นิดหนึ่งก็ไม่ยอมเว้น ต้องดีครบถ้วนเพื่อให้ได้ดีครบถ้วน ท่านว่าพอได้ตามนี้แล้ว ให้ฝึกฝนเข้าฌานออกฌาน คือเข้าฌาน ๑. ๒. ๓. ๔. แล้วเข้าฌาน ๔. ๓. ๒. ๑. แล้วเข้าฌานสลับฌาน คือ ๑. ๔. ๒. ๓. ๓. ๑. ๔. ๒. ๔. ๑. ๒. ๓. สลับกันไปสลับกันมา อย่างนี้จนคล่อง คิดว่าจะเข้าฌานระดับใดก็เมื่อใดก็ได้

ต่อไปก็ฝึกนิรมิตก่อน ปฐวีกสิณเป็นธาตุดิน ตามคุณสมบัติท่านว่า สามารถทำของอ่อน ให้แข็งได้ สำหรับท่านที่ได้กสิณนี้ เมื่อเข้าฌานชำนาญแล้ว ก็ทดลองการนิรมิต ในตอนแรก ท่านหาน้ำใส่แก้วหรือภาชนะอย่างใดก็ได้ ที่ขังน้ำได้ก็แล้วกัน เมื่อได้มาครบแล้วจงเข้าฌาน ๔ ในปฐวีกสิณ แล้วออกฌาน ๔ หยุดอยู่เพียงอุปจารฌาน คือ พอมีอารมณ์นึกคิดได้ ในขณะที่อยู่ในฌานนั้น นึกคิดไม่ได้ เมื่อถอยจิตมาหยุดอยู่ที่อุปจารฌานแล้วอธิษฐานว่า ขอน้ำตรงที่เอานิ้วจิ้มลงไปนั้น จงแข็งเหมือนดินที่แข็ง แล้วก็เข้าฌาน ๔ ใหม่ ถอยออกจากฌาน ๔ หยุดอยู่เพียงอุปจารฌาน ลองเอานิ้วมือจิ้มน้ำดู ถ้าแข็งก็ใช้ได้ แล้วก็เล่นให้คล่องต่อไป ถ้ายังไม่แข็งต้องฝึกฝนฌานให้คล่องและมั่นคงกว่านั้น เมื่อขณะฝึก นิรมิต อย่าทำให้คนเห็น ต้องทำที่ลับเฉพาะเท่านั้น ถ้าทำให้คนเห็น พระพุทธเจ้าท่านปรับโทษไว้

เราเป็นนักเจริญฌาน ต้องไม่หน้าด้านใจด้านจนกล้าฝ่าฝืนพระพุทธอาณัติ เมื่อเล่นน้ำในถ้วยสำเร็จ ผลแล้ว ก็คำว่าสำเร็จนั้น หมายความว่าพอคิดว่าเราจะให้น้ำแข็งละน้ำก็แข็งทันที โดยเสียเวลาไม่ถึง เสี้ยวนาที อย่างนี้ใช้ได้ ต่อไปก็ทดลองในแม่น้ำและอากาศ เดินบนน้ำ บนอากาศ ให้น้ำในแม่น้ำ และอากาศเหยียบไปนั้น แข็งเหมือนดินและหิน ชำนาญดีแล้วก็เลื่อนไปฝึกกสิณอื่น ท่านว่าทำคล่อง อย่างนี้กสิณเดียว กสิณอื่นพอนึกขึ้นมาก็เป็นทันที อย่างเลวสุดก็เพียง ๗ วัน ได้กอง เสียเวลาฝึก อีก ๙ กองเพียงไม่เกินสามเดือนก็ได้หมด เมื่อฝึกครบหมดก็ฝึกเข้าฌานออกฌานดังกล่าวมาแล้ว และนิรมิตสิ่งต่างๆ ตามความประสงค์ อานุภาพของกสิณ จะเขียนไว้ตอนว่าด้วยกสิณ ๑๐
(จบอิทธิฤทธิ์ไว้เพียงเท่านี้)

by admin admin ไม่มีความเห็น

หลวงพ่อเล่าเรื่องเมืองนิพพาน

หลวงพ่อเล่าเรื่องเมืองนิพพาน“วันหนึ่งสมเด็จท่านพามาที่วิมาน นิพพานที่มันกว้างลิ่ว และบ้านนี่นะนานๆจะได้ไปสักที ส่วนมากก็ไปนั่งป๋ออยู่ที่วิมานพระพุทธเจ้า ถ้าเราไปอยู่ที่นั่นแล้ว เวลาเราตายมันจะไปไหน อาตมาเป็นคนเกาะ พุทธานุสสติกรรมฐานเป็นอารมณ์ตลอดเวลา ถ้าวันไหนไม่ได้เห็นพระพุทธเจ้าวันนั้นตายดีกว่า มันจะเป็นยังไงก็ตาม ยิ่งป่วยยิ่งไข้ยิ่งหนัก ป่วยนิดเดียวจิตจะไม่ยอมคลาดพระพุทธเจ้า เราถือว่าถ้าเราเกาะพระพุทธเจ้าอยู่ มันจะตายลงนรกก็ยอม ท่านคงไม่ยอมให้ลง แล้วท่านก็พาไปดูที่วิมาน ชี้ให้ดูบอกว่า “คณะของคุณมันมาก เพราะคุณใช้เวลาบำเพ็ญบารมีถึง ๑๖ อสงไขยกับแสนกัป และเป็นฝ่ายวิริยาธิกะ”
เป็นอันว่าคณะของเราที่ตามกันมาเป็นระยะ ไอ้ที่เขาหนีไปนิพพานแล้วนับไม่ถ้วน พวกนั้นขี้ขลาดสู้เราไม่ได้ ไอ้เราต้องมาตกระกำลำบาก ช่วยกันวิ่งโน่นวิ่งนี่ ไอ้ที่จะกินก็ยังไม่มี แต่ยังพยายามหาเลี้ยงคนอื่น ใช่ไหม….วันนี้มีเวลาลองสอบดูนิดหนึ่ง ถามว่า “คณะของข้าพระพุทธเจ้ามีกี่สาย จากหลังบ้านไปนี่”
ท่านบอกว่า “มี ๓๗ สาย”
ถามว่า “สายหนึ่งมีระยะยาวเท่าไร….?”ท่านบอกว่า “สองแสนโยชน์ของนิพพาน”
แล้วก็ไปดูเห็นหมดทั้ง ๓๗ สาย สองฝั่งของถนนวิมานเต็มหมด มันไม่มีจุดพร่อง สายหนึ่งประมาณ ๒ แสนโยชน์ แต่ละสาย ๓๗ คูณด้วย ๒ วิมานมันจะตั้งสายละสองฝั่งถนน ๓๗ ถนนยาวเหยียด ถนนกลายเป็นแก้วแพรวเป็นประกายสวยสดงดงามไปหมดบอกไม่ถูก วิมานแต่ละหลังก็แพรวพราวหาที่ติไม่ได้เลย หัวหน้าทีมตั้งบ้านใหญ่อยู่ด้านหน้า ต่อไปก็มีถนนซอยเข้าไปทางด้านของนิพพานนี่เขาอยู่กันเป็นกลุ่มๆ อย่างกลุ่มของพระกกุสันโธ ท่านก็อยู่กลุ่มหนึ่ง วิมานของพระพุทธเจ้าก็ตั้งข้างหน้า บริวารก็เป็นสายอยู่ข้างหลัง พระโกนาคม ท่านก็อยู่กลุ่มหนึ่ง พระพุทธกัสป ก็ตั้งอยู่จุดหนึ่ง ของสมเด็จพระสมณโคดม ท่านก็ตั้งอยู่จุดหนึ่งตอนนี้ของอาตมาก็เป็นจุดที่แปลก วิมานตั้งอยู่ในเกณฑ์เรียงของพระพุทธเจ้า ใหญ่คล้ายคลึงกัน แต่สวยสู้ของท่านไม่ได้ เพราะเราไม่ใช่พระพุทธเจ้า แต่ในฐานะที่ปรารถนาพุทธภูมิมาสิ้นระยะเวลา ๑๖ อสงไขยกับแสนกัปพอดี แต่ว่าต้องเกิดไปอีก ๗ ที ทนไม่ไหวไม่เอา แค่นี้พอ รอเกิดอีก ๗ ครั้ง ก็ในกัปนี้แหละ และต้องไปรอองค์ที่ ๒๒ หลังจากพระศรีอาริย์ ต้องไปนั่งรออยู่ชั้นดุสิต ไม่ไหวเปิดดีกว่า ฉะนั้นกลุ่มของพวกเราจึงมีวิมานตั้งอยู่ในระหว่างกลุ่มของพระพุทธกัสป และกลุ่มของพระสมณโคดมเป็นอันว่าหาจุดพร่องไม่ได้ตามสายของพวกเรา วิมานสวยไม่เต็มที่มีอยู่มากพอสมควร แต่ก็ไม่เต็มสาย ที่วิมานสวยไม่มากก็เพราะว่า จิตของบุคคลใดถ้ารักพระนิพพาน วิมานจะปรากฎที่นั่น แต่ถ้าจิตใจของท่านผู้นั้นยังไม่ถึงอรหัตผลเพียงใด วิมานจะสวยไม่เต็มที่ ไอ้จิตกับวิมานมันสวยเท่ากัน เดินไปจึงรู้ เป็นอันว่าวิมานมันนั่งคอยอยู่ เป็นอันว่าคนที่ติดตามมาไม่พลาดพระนิพพาน
สมเด็จท่านตรัสต่อไปว่าทุกคนที่เอาจริง ที่ตามแกมาตั้ง ๑๖ อสงไขยกับแสนกัปมันมีที่อยู่กันหมดแล้ว คำว่าถอยหลังไม่มี ประการที่สองให้เตือนไว้ว่าในระหว่างชีวิตที่ยังไม่ตาย
ใครจะปฏิบัติดีบ้างปฏิบัติชั่วบ้าง ขณะใดที่เราสร้างความดีเพราะจิตมันดี แต่บางครั้งจิตมันจะเศร้าหมองลงไปให้มีแต่ความวุ่นวาย นั่นต้องถือว่าเป็นเรื่องของกรรมที่เป็นอกุศลของชาติก่อนเข้ามาบันดาล แต่เรื่องนี้เราจะแพ้มันในระยะต้น เวลาตายน่ะไม่มีหรอก มันจะทำร้ายได้ชั่วคราวเท่านั้นเราจะให้มันในขณะที่มีชีวิตทรงอยู่เท่านั้น ถ้าใกล้ตายจริงๆ ไม่สามารถจะสังหารจิตเราได้ เมื่อใกล้จะถึงความตาย พอจิตเข้าถึงจุดนั้น ไอ้กิเลสไม่สามารถเข้ามายุ่งได้เลย เพราะว่ากรรมที่เป็นกุศลใหญ่ที่บำเพ็ญมาแล้วจะเข้าไปกีดกันหมด กรรมที่เป็นอกุศลเข้าไม่ถึง อาตมารับรองผลว่าทุกคนไม่ไร้สติ และไม่ไร้ความดีที่ปฎิบัติเพราะอะไรเพราะไปตรวจบ้านมาแล้วสบายใจ หมดเรื่องหมดราวเสียที ตามธรรมดาเราจะตำหนิกัน บางคนเราก็เห็นว่ามานั่งกรรมฐานกัน มาศึกษากัน กลับไปก็ดีบ้างไม่ดีบ้าง เอะอะโวยวาย ก็ถือว่าเป็นการชำระหนี้ชำระสินกันไป ถือว่าช่างมันไว้ ท่านบอกว่าไปบอกเขานะ เพื่อความมั่นใจเป็นอันว่าทุกคนที่มีวิมานอยู่ที่นิพพานละก็ควรจะภูมิใจว่าเราเข้าถึงกิจสูงสุดในพระพุทธศาสนาแล้ว ขึ้นชื่อว่าการถอยหลังกลับไปสู่อบายภูมิย่อมไม่มี ถึงแม้ว่าในชาตินี้เราจะประมาทพลาดพลั้งในด้านอกุศลกรรมเป็นธรรมดา ก็แต่ว่าจิตเราก็ต้องหน่วงเหนี่ยวเอาไว้ ถือว่าขันธ์ ๕ ไม่มีความหมายสำหรับเรา ว่าช่างมันๆเอาไว้ อารมณ์ดีก็ช่างมัน เวลาคันก็ช่างเผือก หมดเรื่องหมดราว อย่างนี้สลับกันไปสลับกันมา คำว่า ฌาน ก็คือ อารมณ์ชิน จิตมันชินอยู่อย่างนั้น จิตมันก็ตั้งอยู่ในอารมณ์พระนิพพานโดยเฉพาะ จิตก็เข้าถึงพระโสดาบัน เรื่องสกิทาคา อนาคา อรหันต์ เป็นของไม่ยาก ยากอยู่ที่พระโสดาบันเท่านั้นสมเด็จท่านตรัสเรื่องพระศาสนาว่า
“การขึ้นคราวนี้กว่าจะลงของพระพุทธศาสนา คนที่จะบรรลุมรรคผล คราวนี้นับโกฏิเหมือนกัน และจะไปโทรมเอา พ.ศ. ๔๕00 ช่วงนี้จะขึ้นเรื่อยๆต่อไปไม่ช้าคำว่าพระนิพพานจะพูดกันติดปาก ชินเป็นของธรรมดา จะเห็นเป็นเรื่องปกติ”ถ้าเราจะถอยหลังไปจากนี้ ๒0 ปี จะเห็นว่าจิตใจของคนเวลานี้ต่างกันเยอะ พูดถึงด้านความดีนะ เวลานี้ฟังแล้วทุกคนอยากไปนิพพาน สังเกตที่จดหมายมาบอกอยากจะไปนิพพานทั้งนั้นและจากนี้ไปอีกไม่ถึง ๒0 ปี จะมีพระอริยเจ้านับแสนไม่ใช่ฉันสอนเป็นผู้เดียวหรอกนะ คือว่าเขาสอนกันโดยทั่วๆไป แต่ว่ากลุ่มเราจะมาก หมายถึงว่าอาจจะไม่มีตัวมาแต่มีหนังสือมีเทป กาลเวลามันเข้ามาถึง เวลานี้คนที่เข้าถึงมุมง่ายแล้ว กำลังใจมันตีขึ้นมา ถามว่าตอนก่อนทำไมไม่ให้สอนแบบนี้ ท่านบอกว่า คนมันหาว่าง่ายเกินไป มันเลยไม่เอาเลย จะต้องยากๆ แต่พวกของแกไม่มีใครเหลือ ท่านชี้จุดเลย ก็เลยดีใจ แล้วท่านก็บอกว่า”ต่อไปภาระมันจะหนัก ต้องวางพื้นฐานไว้”
ก็ถามว่า “พื้นฐานจากพระองค์อื่นไม่มีหรือ”
ท่านก็บอกว่า “พระองค์อื่นเขาก็มีความสามารถ ไม่ใช่ไม่มี แต่สงสัยว่าคนที่เรียนกรรมฐาน ๔0 กับมหาสติปัฏฐานจนครบกันนี่มีกี่องค์ หมายถึงว่าทำได้ฌาน ๔ หมด”
บอก “ไม่เคยถามชาวบ้านเขาเลย” ท่านบอก “ไม่มีหรอก ปัจจุบันนี้ ไม่มีใครเขาจบ มันเหลืออยู่แกคนเดียว ท่านปานก็ตายเสียแล้ว”ท่านบอกว่า “ผู้ที่จะทรงกรรมฐาน ๔0 นี่ ต้องเป็นฝ่ายพุทธภูมิถึงขั้นปรมัตถบารมี ถ้ายังไม่เต็มปรมัตถบารมีนี่ยังไม่ได้กรรมฐาน ๔0 ครบ พระโพธิสัตว์ต้องเรียนวิชาครู”ท่านก็ถามว่า “คุณทำไมไม่หมั่นขึ้นมา”
ก็บอกว่า “เหนื่อยเต็มที ร่างกายเพลียมากก็ต้องชำระตัว เกรงว่าจะประมาท”
ท่านถามว่า “คนอย่างแกยังมีคำว่าประมาทหรือ….?”
เลยบอกท่านว่า มี
ท่านถามว่า “ทำไมว่ามี….?”
ก็เลยบอกว่า “ยังไม่รู้ตัวว่าดี”
ท่านบอกว่า “เออ ใช้ได้”คือว่าถ้ารู้ตัวว่าดีเมื่อไรก็เลวเมื่อนั้น รู้ตัวว่าเราวิเศษแล้วเราประเสริฐแล้ว เราสำเร็จแล้ว ทุกข์มันก็เกิด แต่ว่าอารมณ์จิตถึงระดับนี้แล้ว มันก็คิดงั้นไม่ได้แล้วนะ เรื่องตัวนี้ชำระกันอยู่ตลอดวันเป็นปกติ คำว่าชำระก็หมายความว่า พิจารณาว่าร่างกายไม่มีความหมาย โลกนี้ไม่มีความหมาย คำว่าไม่มีความหมายมันติดอารมณ์
สมเด็จท่านตรัสต่อไปว่า”งานสาธารณประโยชน์ มันเป็น ปรมัตถบารมี อย่างสูงสุด อันนี้จะทำให้เร็วที่สุด ทำให้เร่งรัดพวกเราให้เร็วที่สุด ท่านบอกว่าให้คุณบอกลูกหลานไว้ จะได้รู้ว่าเป็นจุดที่มีกำลังแรงให้เข้าถึงได้เร็วที่สุด เป็นการบั่นทอนไอ้กฎของกรรมต่างๆ ที่มันคอยกั้นขวางเรา งานนี้มันเป็นเมตตากฎของกรรมมันก็ดันไม่อยู่”ต่อไปเรื่อง “สมเด็จองค์ปฐม” ซึ่งทรงพระนามว่า พระพุทธสิกขี พระพุทธเจ้านี่มีชื่อซ้ำกันนะ อย่าง เรวัติ ก็มีชื่อซ้ำกัน พระพุทธสิกขีนี่องค์ปฐมจริงๆ
วันนั้นพบท่านเข้า พบจริงๆสมัยที่ พล.อ.ท.อาทร โรจนวิภาค อยู่ที่นครราชสีมา วันนั้นไปนั่งกรรมฐานกันเห็นพระพุทธเจ้าท่านเยอะ ยืนสองแถวพนมมือ เราคิดว่าพระพุทธเจ้าไหว้ใครไม่มี ใช่ไหม…ก็เลยถามหลวงพ่อปานว่า มีเรื่องอะไรกัน ท่านบอกว่า
“ประเดี๋ยวพระพุทธเจ้าองค์ปฐมจะเสด็จ”องค์ปฐม หมายถึงองค์แรกสุด ไม่มีครูสำหรับท่านเลย ต้องบำเพ็ญบารมีอย่างหนัก ต้องเข้มแข็ง เดี๋ยวท่านเดินมากลางพระพุทธเจ้า ยืนสองข้างพนมมือตลอดสวยสว่าง จิตเราเลยสว่างเห็นอะไรชัดหมด”จากหนังสือ “หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๓”
โดย พระราชพรหมยาน วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี


อ่านจบแล้วอย่าลืมอุทิศส่วนกุศลด้วยนะครับ


คำอุทิศส่วนกุศล
โดยพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ)
วัดจันทาราม(ท่าซุง) อ.เมือง จ.อุทัยธานีอิทังปุญญะผะลังผลบุญใดที่ข้าพเจ้าทั้งหลายได้บำเพ็ญแล้ว ณ โอกาสนี้ข้าพเจ้าทั้งหลายขออุทิศส่วนกุศลนี้ให้แก่เจ้ากรรมนายขอเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายจงโมทนาส่วนกุศลนี้ขอจงอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้าตั้งแต่วันนี้ ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน


และข้าพเจ้าทั้งหลาย ขออุทิศส่วนกุศลนี้ ให้แก่เทพเจ้าทั้งหลายที่ปกปักรักษาข้าพเจ้าและเทพเจ้าทั้งหลายทั่วสากลพิภพ และพระยายมราชขอเทพเจ้าทั้งหลาย และพระยายมราชจงโมทนาส่วนกุศลนี้ขอจงเป็นสักขีพยานในการบำเพ็ญกุศล ของข้าพเจ้าในครั้งนี้ด้วยเถิด

และขออุทิศส่วนกุศลนี้ ให้แก่ท่านทั้งหลาย ที่ล่วงลับไปแล้ว ที่เสวยความสุขอยู่ก็ดีเสวยความทุกข์อยู่ก็ดี เป็นญาติก็ดี มิใช่ญาติก็ดี ขอท่านทั้งหลายจงโมทนาส่วนกุศลนี้พึงได้รับประโยชน์ ความสุข เช่นเดียวกัน

by admin admin ไม่มีความเห็น

วิธีทำน้ำพุทธมนต์ รักษาโรคทุกชนิด

วิธีทำน้ำพุทธมนต์ รักษาโรคทุกชนิดโดยหลวงพ่อพระราชพรหมยานวัดท่าซุง อุทัยธานี


เอาน้ำสะอาดใส่ในบาตรหรือในถัง เอาจิตเพ่งดูน้ำ นึกถึงพระคุณของพระผู้มีพระภาคเจ้า พระธรรมพระอริยสงฆ์ สวดมนต์ อิติปิโสทั้ง 3 ห้อง เพ่งจิตลงในน้ำ อธิษฐานขอน้ำพุทธมนต์นี้ เป็นกระแสน้ำ ซาบซ่านไปทั่วสรรพางค์กาย กำจัดโรคร้ายภัยอันตรายของคนสัตว์ให้หายเกลี้ยง 
ทุกโรคทุกชนิด โดยไม่ต้องใช้ยาอื่น โดยฉับพลันทันใด เอามือวนรอบขอบถ้วยน้ำแล้วเพ่งจิตลงน้ำอธิษฐานซ้ำ
ด้วยเดชเดชะของพระพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ สรรพโรคา สรรพภยันตรายา ปิวินาสเมตุ ขอพ้นกัมมะถัมมา พุทธฤทธิ ธัมมฤทธิ สังฆฤทธิ อิติปิโสจะเตนะโม ขอน้ำพุทธมนต์นี้จงซาบซ่านเข้าไปในทั่วร่างกาย กำจัดโรคร้ายภัยอันตรายให้หายทุกโรคทุกชนิดโดยไม่ต้องใช้ยา แล้วให้คนไข้ดื่ม อาบ น้ำพุทธมนต์นั้น
พระคาถาหยุดฝน

สวด ชุมนุมเทวดาก่อน ว่าพระคาถาหยุดฝน อาโปธาตุ ปฐวีธาตุ (108 จบ)
สวด ชุมนุมเทวดาก่อน พระคาถาขอฝนขอลม อาโปธาตุ วาโยธาตุ (108 จบ)
สวด ชุมนุมเทวดาก่อน พระคาถาหยุดลมพายุ วาโยธาตุ ปฐวีธาตุ (108 จบ)
พระคาถาดับไฟ ระโชหะระนัง ระชังหะระติ (108จบ)
พระคาถาป้องกันไฟ พุทธะสังมิ (108 จบ) 

วิธีทำน้ำพุทธมนต์ด้วยพระพุทธรูปบูชา


จัดเครื่องสักการะบูชาเท่าที่หาได้ ไหว้พระด้วย นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ 3 จบ นำพระพุทธรูปใส่ไว้ในมือ ตั้งจิตอธิษฐานว่า ข้าพระพุทธเจ้า
ขออาราธนาบารมี พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์สาวกทั้งหลายสืบๆกันมา มีองค์หลวงปู่ปานและองค์หลวงพ่อพระราชพรหมยานเป็นที่สุด ตลอดถึง พระพรหมและเทพเทวดาทั้งหมด ขอพระพุทธรูปนี้(หรือวัตถุมงคลใดๆก็ตามที่มี เอ่ยชื่อตามวัตถุมงคลที่ขอท่านช่วยทำน้ำพุทธมนต์เพื่อรักษาโรค) ได้โปรดสงเคราะห์ทำน้ำนี้ให้เป็นน้ำพุทธมนต์ เป็นน้ำยาทิพย์อันศักดิ์สิทธิ์ ได้ดื่มกินและอาบ ซาบซ่านไปทั่วร่างกาย กำจัดโรคภัยไข้เจ็บทุกชนิดให้หมดไปทันทีทันใดด้วยเทอญ แล้วนำพระพุทธรูปหรือวัตถุมงคลแช่ลงในน้ำรอ 5 นาที แล้วกราบ 3 ครั้ง นำน้ำพุทธมนต์ให้คนป่วยดื่มแล้วลูบศีรษะ แขน ทั่วทั้งตัวผู้ป่วย สวดพระคาถา พระพุทธเจ้า 16 พระองค์กำกับไปด้วย ว่า นะมะนะอะ นอกอนะอะ กอนอนออะ นะอะกะอัง อุมิอะมิ มหิสุตัง สุนะพุทธัง สุอะนะอะ แล้วเป่าหัวคนป่วยด้วยพระคาถาขับผีว่า นะโมพุทธายะ หรือ คัจฉะ ปาปิมะ ถ้าเป็นผ้ายันต์ให้นำผ้ายันต์โบกเหนือขันน้ำ 3 ครั้งไม่ต้องแช่น้ำ
ทางสายเอก

รวบรวมโดยเกษร สุทธจิต จันทร์ประภาพ
วิธีปรับปรุงจิตใจเพื่อให้หมดทุกข์ตลอดกาล
1. มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งที่เคารพรักทางใจ
2. หมั่นรำลึกนึกถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออก
3. มีศีล 5 ครบ มีกุศลกรรมบท 10 มิให้ขาดหาย
4. ตายชาตินี้ มีที่ไปเป็นจุดมุ่งหมายของจิต คือ พระนิพพาน
5. การกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก สำคัญยิ่งในการระงับความวิตกกังวล ระงับการฟุ้งซ่านของจิต ระงับทุกขเวทนา เวลาป่วยไข้เจ็บปวดไม่สบาย จิตใจฉลาดสามารถคิดพิจารณาปัญหาธรรมะมี ปัญญามีวิปัสสนาญาณ แจ่มใสตัดกิเลสได้ง่ายดายและรวดเร็ว พระผู้มีพระภาคเจ้าและพระอรหันต์ ทุก ๆ พระองค์ ท่านก็ยังทรงสมถะภาวนากำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกอยู่ตลอดเวลา
เอกายโน อยัง ภิกขเว มัคโค สัตตานัง วิสุทธิยา ภิกษุทั้งหลาย ตัวเราจิตเรานี้ เป็นทางเอก เป็นทางของบุคคลคนเดียว คือ ตัวเรานี้แต่ผู้เดียวที่จะพ้นทุกข์ได้ก็ด้วยตัวของเราเอง จิตเราไม่ไปข้องเกี่ยวกับร่างกาย กับเวทนาอารมณ์สุข ๆ ทุกข์ๆ อารมณ์จิตของขันธ์ 5 ร่างกาย ปล่อยมันไปตามเรื่องของกาย เวทนา จิต ธรรมารมณ์ทางโลกทั้งหลาย จิตไม่สนใจร่างกาย ไม่สนใจความรู้สึกสุขทุกข์ทั้งหลายใดๆในโลก ทั้งหมด จิตเราก็จะได้ชื่อว่าจิตเป็นเอก เป็นหนึ่ง เป็นทางสายเอก ที่ถึงความบริสุทธิ์สะอาดสดใส คือมีจิตเป็นผู้รู้ ฉลาด ผู้ตื่นจากความหลงใหลในขันธ์ 5 หรือร่างกาย มีจิตสุขสดชื่นเบิกบานเป็นจิตที่มีพระนิพพานอยู่ในใจ พบพระนิพพานได้ง่ายๆ ในจิตเราที่เป็นทางสายเอกนี้

by admin admin ไม่มีความเห็น

พระจุฬามณีเจดีย์สถาน

ท่านสาธุชนทั้งหลาย เมื่อวันพุธก่อนได้นำท่านพุทธบริษัทมาปล่อยไว้ที่จุฬามณีเจดีย์สถาน หวังว่าพุทธบริษัททั้งหลายคงจะนั่งคอยอาตมาจนครบ ๗ วัน ถ้าวันนี้มีเสียกรอกๆ แทรกละก็ขออภัยด้วย เมื่อวันก่อนนี้เสียงขาดไปนิดหนึ่งกำลังนั่งบันทึกเสียง เกิดมีคนเขามารายงานเข้ามาในระหว่างความจริงมันผิดระเบียบไม่รู้ว่าเขาทำยังไงของเขาก็เลยต้องหยุดไปนิดหนึ่ง


สำหรับ วันนี้มาว่ากันใหม่ นี่บรรดาท่านพุทธบริษัทนั่งอยู่ที่เชิงบันไดพระจุฬามณีเจดีย์สถาน คงจะได้เห็นบรรดา?และพระเจ้าทั้งหลายพากันมานมัสการพระจุฬามณีกันแล้วกระมัง เพราะมันผ่านวันพระมาแล้ว จะได้ดูหรือไม่ได้ดูก็ช่าง วันนี้ เราขึ้นกันไปบนพระจุฬามณี ขึ้นไปบนเชิงพระจุฬามณีรองๆ บริเวณ ข้างล่างจะประดับประดาไปด้วยมณี ๗ ประการพื้นที่เหยียบอยู่ กำแพงทุกด้านของพระจุฬามณีเป็นทองคำ องค์พระจุฬามณีเป็นแก้ว ๗ ประการ ตามตำนานท่านกล่าวว่าพระจุฬามณีมีประตูสำหรับเข้าถึง ๑,๐๐๐ ประตู ความจริงจะมีเพียงใดไม่ต้องสนใจ จะสนใจไปทำไม ทีนี้ก่อนที่จะพูดถึงเรื่องราวต่างๆ จะอธิบายอะไรก็ตามควรที่พุทธบริษัทจะเดินชมเสียก่อน ที่พระจุฬามณีนี่ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของเวชยันต์วิมาน หรือว่าเป็นวิมานของพระอินทร์ ทีนี้เราเดินเข้าไปอีกหน่อย ขอโทษไม่ใช่ทิศเหนือ เป็นทิศตะวันออกของเวชยันต์วิมาน เดินเข้าไปทางด้านทิศตะวันตก ใต้ลงไปนิด เราจะเห็นสวนสำคัญเป็นที่รื่นรมย์ ที่เที่ยวของเทวดา มีความสุขมาก คล้ายๆ กับสวนสามพราน แต่ความจริงที่นั่นมีต้นไม้เต็มไปด้วยแก้วระยิบระยับเต็มไปหมด มีทั้งไม่ดอกไม้ผลไม้ใบอย่างดี สวนนี้มีนามว่านันทวันและก็ทางด้านทิศตะวันตกของเวชยันต์วิมาน อันนี้มีสวนดอกไม้โดยเฉพาะเรียงรายระยิบระยับเป็นแก้วแพรวพราย เรียกว่าสวนจิตรลดาวัน ที่นี้ออกไปทางด้านเหนือของเวชยันต์วิมาน มีสวนอีกสวนหนึ่งเรียกว่าสวนมิสกวัน นี่มีต้นไม้สวยเหมือนกัน แล้วก็ทางด้านทิศใต้มีสวนอีกสวนหนึ่งเรียกว่าสวนปารุสกวัน ที่รัฐบาลให้นามวังหนึ่งว่าวังปารุสก็เห็นจะเอานามชื่อนี้มาใช้ แล้วอีกจุดหนึ่งที่สำคับ ก็คือพระจุฬามณีเจดีย์สถานที่เรายืนอยู่ที่นี่ และจากพระจุฬามณีเจดีย์สถานไปทางทิศตะวันตก อันนั้นเหนือสวนนันทวันนิดหน่อยเขตติดๆ กันกับพระจุฬามณีเจดีย์สถาน นั่นคือเป็นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ มีเป็นสวนใหญ่มีกำแพงล้อมรอบ ๔ ด้าน อยู่ทางด้านตะวันออกของเวชยันต์วิมาน แล้วตรงกลางมีแท่นแก้ว ที่เรียกว่าแท่นแก้วมณีคือแก้วอะไร บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ หมายความว่าเป็นแก้วกัมพลมีสีแดง เป็นที่ประทับของพระอินทร์มีบริเวณกว้างมาก แก้วนี้มีสภาพคล้ายๆ กับเก้าอี้สปริง แท่นแก้วนะ มีสภาพคล้ายๆ เก้าอี้ของพระอินทร์แล้วก็ต่อแต่นั้นไปทางด้านทิศใต้ มีศาลาอยู่หลังหนึ่งเป็นที่ประชุมของเทวดา เป็นศาลาที่ประดับประดาไปด้วยแก้ว ๗ ประการ มีกำแพงล้อมรอบมีที่ระรื่นมีที่สำหรับพระอินทร์ประทับ อันนี้มีนามวาศาลาสุธรรมา เป็นที่ประชุมของเทวดา แล้วมาทางด้านทิศใต้ข้างหน้าของเวชยันต์วิมาน คือว่าใกล้ๆ กับจิตรลดาวัน-สวนลดาวันน่ะนะ มีสระอันหนึ่งเขาเรียกกันว่าสระโบกขรณี นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เวชยันต์วิมานเป็นวิมาน ๙ ยอด มีแก้ว ๗ ประการเป็นวัตถุสำหรับทำวิมาน แล้วก็เป็นวิมานที่สูงใหญ่มาก ท่านบอกว่ามีถึง ๑,๐๐๐ ชั้น มีนางฟ้าเป็นบริวารของพระอินทร์อยู่ในวิมานนั้นถึงแสนคน แหมมากเหลือเกิน แล้วก็รอบๆ เวชยันต์วิมาน มีวิมานสวยๆ ล้อมรอบอยู่ถึง ๓๒ วิมาน แล้ววิมานทั้งหลายเหล่านี้ อะไรเป็นอานิสงส์ให้ได้วิมานทั้งหลายที่กล่าวมา อันนี้ ก็จะขอยับยั้งไว้ก่อน นี่บอกให้ฟังว่ามีอะไรกันบ้าง คือจากพระจุฬามณีมาไล่กันง่ายๆ มีสวนนันทวันอยู่ทางทิศตะวันออกของเวชยันต์วิมาน สวนจิตรลดาวันอยู่ทางตะวันตกของเวชยันต์วิมาน แล้วก็มีบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์เป็นพระแท่นแก้วสำคัญ เป็นสวนเหมือนกัน อยู่ทางด้านทิศตะวันออกแต่ว่าติดกับพระจุฬามณีมาก ตะวันออกของเวชยันต์วิมานนะ แล้วก็มีธรรมเทวสภาเรียกว่า เทวสภา กับศาลาสุธรรมาประดับประดา คือทำด้วยแก้ว ๗ ประการมีพระแท่นแก้ว ๗ ประการ สำหรับพระอินทร์ประทับแสดงธรรม แล้วก็มีสระโบกขรณีอยู่ทางด้านทิศใต้ของเวชยันต์วิมาน ติดกันกับสวนจิตรลดาวัน นี่ ของที่น่าเที่ยวนี่ชมมีอย่างนี้นะ พูดมาแล้วแค่นี้ขอถอยหลังกลับไปถอยหลังกลับไปอีกนิด ไปหาพระจุฬามณี ตามที่กล่าวมาแล้วว่าพระจุฬามณีทำด้วยแก้ว ๗ ประการ อันนี้เป็นที่บรรจุพระจุฬามณี คือผมของพระพุทธเจ้าแต่ละองค์ เวลาที่ออกบวช ตัดผมเมื่อไหร่ พระอินทร์เอาผอบทองไปรับมาเมื่อนั้น แล้วก็เป็นที่บรรจุของพระเขี้ยวแก้ว ถึงเวลาวันพระ บรรดาเทวดาและพรหมทั้งหลายพากันเข้ามานมัสการอย่างคับคั่ง ท่านที่ได้อภิญญาหรือมโนมยิทธิ สำหรับมนุษย์ที่ได้ฌานก็พากันมาถวายนมัสการพระจุฬามณีเจดีย์สถาน เมื่อเข้าไปที่นั่นแล้ว ถ้าตาดีนะ ถ้ามีญาณพิเศษดีจะเห็นว่ามีพระอยู่องค์หนึ่ง สวยสดงดงามมาก มีรัศมีพวยพุ่งออกจากพระวรกายแสดงธรรมเป็นประจำ แต่ทว่า ถ้าคนตาไม่ดี สมาธิไม่ดีก็เห็นเป็นพระพุทธรูปไป บางคนไม่เห็นพระทอง แต่ปาไปเห็นเป็นพระพุทธรูปขนาดไหนล่ะ ขนาดทำด้วยอิฐทางสีขาว นี่เป็นเรื่องราวของที่นี่ แล้วก็พระจุฬามณีก็เหมือนกัน บางคนก็เห็นเป็นปูนบ้าง บางคนก็เห็นเป็นสีทองบ้าน อันนี้เรียกว่าสมาธิดีไม่พอ ถ้าสมาธิดี จิตสะอาดดีจะเห็นเป็นแก้ว ๗ ประการทั้งองค์ อันนี้ขอเลยไป 



ตานี้ เรามาว่าถึงเรื่องอะไร อ๋อ จะเลยไปเสียก็ไม่ได้ ประเดี๋ยวจะมีคนถามว่าพระจุฬามณีเจดีย์สถานนี่น่ะ บรรจุพระเขี้ยวแก้วกับพระเมาลี คือผมของพระพุทธเจ้ากี่พระองค์ ก็ขอตอบว่าบรรจุทุกพระองค์ ถ้าถามว่าสร้างขึ้นมาเมื่อไร ใครเป็นคนสร้างอีตรงนี้ไม่ต้องตอบ ทำไมจึงไม่ต้องตอบ? ก็เพราะว่าตอบไม่ได้ ไม่รู้ว่าสร้างเมื่อไหร่ใครเป็นคนสร้าง บนสวรรค์นี้ไม่มีนายช่างสร้างของในเมืองมนุษย์เป็นตึกเป็นรามก็ตาม บนเทวดานี่เขาไม่สร้างกัน เกิดขึ้นจากอำนาจบุญ เป็นบุญของใคร? เป็นบุญของพระพุทธเจ้าองค์แรก แล้วพระพุทธเจ้าองค์แรกมีพระนามว่ายังไง? ไม่ตอบ ทำไมจึงไม่ตอบก็ของบอกว่าเกิดไม่ทัน ถ้าจะถามว่าตำรับตำราไม่มีรึ ก็ตอบว่าตำรานี่ซีทำยุ่ง เพราะเรียงชื่อพระพุทธเจ้าไม่เป็นไปตามลำดับ ในที่แห่งนี้เรียงแบบนี้ ที่แห่งโน้นเรียงแบบโน้น เป็นอันว่าเอาแน่นอนไม่ได้ว่าพระพุทธเจ้าองค์แรกคือใคร พูดไปก็เป็นเรื่องเถียงกัน ไม่ม่ประโยชน์ เอาละ เที่ยวกันลัดๆ ออกจากพระจุฬามณีเจดีย์สถาน เรามาแวะบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์กันก่อน


ที่บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์นี้ มีบริเวณล้อมรอบไปด้วยกำแพงแก้ว ๗ ประการ พื้นก็เป็นแก้ว ๗ ประการ มีพระแท่นแก้ว เป็นศิลานะ ศิลาอาสน์ อาสนะทำด้วยศิลา ใหญ่มาก แล้วก็รอบๆ นั้น ทางด้านทิศใต้และทิศเหนือก็มีสวนสวย บริเวณกว้าง อันนี้เกิดด้วยอำนาจบุญบารมีของพระอินทร์กับเพื่อนที่พากันปลูกต้นทองหลาง เข้าไว้ แล้วก็เอาหินมาวางเป็นแท่นไว้ในสมัยเป็นมนุษย์ พระอินทร์องค์นี้ก็คือมาฆะมานพในสมัยนั้นปลูกเข้าไว้เพื่อตั้งใจว่าคนทั้ง หลายที่เดินไปเดินมาระหว่างทางเป็นระยะทางไกล มีความร้อนจะได้นั่งพักให้สบาย ต้นทองหลางบันดาลให้เกิดความเย็น แล้วก็แท่นที่วางไว้เป็นแท่นหินจะได้นั่งพักให้สบาย หายเมื่อยหายขบแล้วก็เดินต่อไป เวลาที่ท่านตายจากมนุษย์ อานิสงส์ที่ท่านปลูกต้นทองหลาง กลายมาเป็นต้นปาริชาต มีกลิ่นหอมมากเวลาที่มีดอกผุดขึ้นมาพื้นที่วางเรียงรายอยู่รอบต้นทองหลาง กลายมาเป็นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ นี่พูดถึงอานิสงส์ให้ฟัง ว่าการทำบุญน่ะไม่เสียเปล่า เวลาตายแล้วจะได้รู้ ว่าอะไรมันดีไม่ดี แล้วมาอีกที่หนึ่งมาเวชยันต์วิมาน เวชยันต์วิมานนี่เป็นวิมานใหญ่มาก เป็นที่ประทับของพระอินทร์แล้วก็มีวิมานรอบๆ เวชยันต์วิมานอีก ๓๒ หลัง รวมทั้งเวชยันต์วิมานเป็น ๓๓ หลังด้วยกัน วิมาน ๓๓ หลังนี้เกิดด้วยอำนาจอะไร? ก็เพราะว่าในสมัยนั้น ท่านมาฆะมานพกับพวกอีก ๓๒ คนรวมเป็น ๓๓ คนด้วยกัน เห็นว่าการสร้างต้นไม้ไห้เป็นที่พักมีความสบายจริงแล แต่ทว่าสบายไม่พอ สร้างศาลา คนเดินไปเดินมานี่ เขาจะได้พัก เขาจะได้นอนสบาย ก็เลยร่วมมือร่วมใจกันสร้างศาลาขึ้นเต็มหลัง เวลานั้น ก็มีนายช่างอีกคนหนึ่ง มีช้างตัวหนึ่งที่พระราชาให้เป็นพาหนะ เมื่อสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ให้เป็นที่พักของคนเพื่อเป็นสาธารณประโยชน์ คนก็ได้พักพาอาศัย เพราะอานิสงส์แห่งการสร้างศาลาเป็นสาธารณประโยชน์ คณะของท่านพากันตายหมด (คงไม่ใช่ตายพร้อมกัน) ท่านมาฆะมานพตายขึ้นมาเป็นพระอินทร์ มีเวชยันต์วิมานตั้งอยู่กลางเพื่อน เพื่อนอีก ๓๒ คนขึ้นมาเป็นเทวดา มีวิมานล้อมรอบเวชยันต์วิมานคนละหลังๆ แทนที่จะเข้าไปอยู่ยัดเยียดกันหลังเดียว ๓๓ คน เปล่า เมืองเทวดานี่ให้กำไรมาก สร้าง ๑ หลัง ๓๓ คน เมื่อตายไปเป็นเทวดาแล้วก็ได้ ๓๓ หลัง แล้วสำหรับนายช่าง วัฒกีคือนายช่าง ก็มาเกิดเป็นวิษณุกรรมเทพบุตร มีวิมานอีกหลังหนึ่ง สำหรับช้างที่ช่วยเป็นพาหนะบรรทุกไม้ ลากไม้ เป็นเครื่องทุนแรง ก็มาเกิดเป็นเทวดามีนามว่าเอราวัณเทพบุตร นี่บรรดาท่านพุทธบริษัทฟังแล้วก็จำอานิสงส์ไว้ จะได้เป็นประโยชน์ว่าการทำความดีน่ะไม่เสียผล ไม่ใช่ทำบุญสูญเปล่า ไหว้เจ้าดีกว่า กลับมาได้กิน


ตานี้นอกจากเวชยันต์วิมานแล้ว เหลียวไปดูอะไรข้างหน้า ทางด้านทิศใต้ ข้างหน้านั้น เราจะพบสระโบกขรณี นี่เรามองข้างสวนจิตรลดาวันไปเสียหน่อยหนึ่งก่อน ข้ามไปตั้งใจข้ามนะ ไม่ใช่ลืม มองข้ามสวนจิตรลดาวันไปเห็นสระโบกขรณี เป็นสระใหญ่มาก มีท่าเป็นที่ลงมากมาย น้ำในสระก็แพรวพราวใสสะอาด มองแล้วคล้ายๆ กับแก้วต้องแสงอาทิตย์แลดูระยิบระยับ สระนี้เกิดขึ้นได้จากผลอะไร จะขอพูดให้ฟังอย่างย่อๆ คือเกิดขึ้นจากอำนาจของท่าน ๓๓ คนนั่นแหละ มีมาฆะมานพเป็นประธาน พากันสร้างศาลาแล้วมาคิดว่า คนเรามานั่งที่ศาลา เดินมาร้อน ต้องการน้ำ ปลูกต้นไม้ยังไม่พอ ทำแท่นนั่งสบายไม่พอ ทำศาลา ทำศาลาแล้วก็มาคิดต่อไปว่าคนที่มาพักศาลานี่เขาเดินร้อน เขาก็ต้องการน้ำ จะอาบน้ำอาบท่า จะกินน้ำก็ตามใจ จะได้เกิดความสบายให้มากขึ้น ท่านก็พากันปลูกสระ ขุดสระ พูดผิดไป สระนี่มันปลูกไม่ได้ หลวงตาแก่นี่อดเพ้อไม่ได้ พากันขดสระขึ้นให้เป็นที่อาศัยของบรรดาประชาชน ขุดแล้วมีตาน้ำ น้ำใสขึ้นมา คนที่มาพักที่ศาลาก็ได้อาบได้กินมีความสุข ฉะนั้น เมื่อเวลาที่ท่านทั้งหลายเหล่านั้นตายขึ้นมาเป็นเทวดา สระในเมืองมนุษย์ก็ตามมา แต่เป็นสระที่ใหญ่กว่า มีน้ำใสสะอาดกว่ามีความสุขสวยสดงดงามกว่า เป็นที่สบายของบรรดาเทวดาและนางฟ้าทั้งหลายชอบเล่นน้ำในสระนี้ นี่ว่ากันถึงเรื่องราวของผู้ชาย ทีนี้ ว่ากันถึงเรื่องราวของผู้หญิงบ้าง ท่านมาฆะมานพในสมัยที่เป็นมนุษย์มีเมีย ๔ คน ความจริงท่านก็ทำถูกแล้วนี่นา ๔ ทิศ หรือว่าธาตุ ๔ มีเมียอยู่ ๔ คน คนต้นชื่อว่านางสุธรรมา คนรองชื่อว่าสุจิตรา คนรองมาอีกคนชื่อสุนันทา และคนสุดท้ายชื่อว่าสุชาดา เวลาที่ท่านทำบุญ อาศัยที่ท่านมีเมียมาก เมียคงจะทะเลาะกันมาก น่ากลัวนะ อดไม่ได้ ท่านคงจะรำคาญผู้หญิง เบื่อผู้หญิง คิดว่าต่อแต่นี้ไปเราทำบุญอะไรก็ตาม ไม่ให้ผู้หญิงร่วม เราจะไม่ขอร่วมกับผู้หญิงต่อไปเพราะสร้างความรำคาญไม่หยุดหย่อน ก็ปาไปมีเมียตั้ง ๔ คน แต่เพียงคนเดียวก็รำคาญหูทนไม่ค่อยจะไหวอยู่แล้ว นี่ล่อเข้าตั้ง ๔ คนมันก็ยุ่งน่ะซี ในเมื่อท่านไม่ให้ทำ ท่านเมียใหญ่เขาฉลาด เมื่อนายช่างทำศาลายังทำไม่เสร็จดี ไปจ้างนายช่าง ๑ พันบาท บอกว่าทำช่อฟ้าให้ฉันทีเถอะ ไอ้ศาลานี่มันต้องใช้ช่อฟ้ามันจึงจะสวย ฉันให้แก ๑ พันบาท นายช่างก็ทำให้บอกว่าทำให้พอเหมาะกับศาลานะ แล้วสลักชื่อไว้ว่าศาลาสุธรรมา เอาเข้าแล้ว มาแล้วผู้ชายมักอดเสียท่าผู้หญิงไม่ได้ สลักชื่อไว้ว่าศาลาสุธรรมา นายช่างก็ทำให้ แล้วก็บอกว่าต่อไปสร้างศาลาเสร็จ ถ้าพวกผู้ชายเขาต้องการช่อฟ้าละก็แกอย่าทำให้นะ มาเอาช่อฟ้าของฉันนี่ไปใส่ จำไว้ให้ดี ฉันให้เงินพิเศษ ๑ พันกหาปณะ เงินนี่มันเข้าใครออกใครที่ไหน มาเจอะกันเข้ามันก็เป็นแบบนี้ นายช่างทำแล้วก็ปิดปากเงียบ เมื่อทำศาลาเสร็จบรรดามาฆะมานพกับเพื่อนฝูงก็จะทำช่อฟ้า นายช่างบอกทำไม่ได้ไม้มันสด ช่อฟ้าต้องมีไม้แห้งๆ ทำ ถ้าเอาไม้สดๆ ไปทำละก็มันจะเกิดเรื่อง เพราะว่าต่อไปช่อฟ้าแห้งมันจะมองดูไม่สวย ท่านก็บอกถ้าอย่างนั้นก็ไปหาซื้อ ที่อื่นก็ไม่มีขาย หาไปหามาก็หาไม่ได้ นายช่างก็แนะนำบอกบ้านของนางสุธรรมามีช่อฟ้า ท่านมาฆะมานพก็บอกว่าไปจอซื้อเขา เมื่อไปถึงนางสุธรรมาบอกไม่ขาย ถ้าไม่ให้ร่วมบุญร่วมกุศลไม่ขายแน่ ทีนี้ทำยังไง เมื่อซื้อเขาไม่ขาย ท่านมาฆะมานพก็ไม่ยอมรับ เพราะไม่อยากคบผู้หญิง ผู้หญิงยุ่ง นายช่างก็บอกว่าท่านปรารถนาพุทธภูมิ ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า ต่อไปเมื่อบำเพ็ญบารมีดีแล้วจะเป็นพระพุทธเจ้าจะต้องบริจาคทาน ๒ ประการ คือให้ลูกเป็นทานให้เมียเป็นทาน ถ้าหากว่าท่านมาตัดผู้หญิงเสียเวลานี้แล้วละก็อีตอนที่มีบารมีใกล้จะเต็ม ท่านก็จะขาดทาน ๒ ประการคือให้ลูกเป็นทานให้เมียเป็นทาน ท่านจะเป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้ ยังไงๆ ท่านก็จะต้องคบผู้หญิงตลอดกาล เป็นอันว่าท่านมาฆะมานพจนใจยอมรับ เอาช่อฟ้าของนางสุธรรมาไปสวมกับศาลาก็พอดี แต่ว่าตอนนี้ซิเสียที ๓๓ คนรวมทั้งช่างอีกคนหนึ่งกับช่างเป็น ๓๕ ทำกันเกือบตายไม่มีชื่อ ไปมีชื่อนางสุธรรมาเพียงคนเดียว ใครๆ ไป ใครๆ มาเขาก็เห็นเขียนชื่อนางสุธรรมา ศาลาสุธรรมา แล้วก็ศาลาสุธรรมานี่เป็นอำนาจบารมีของนางสุธรรมา เมื่อยางสุธรรมาตายจากคนก็มาเป็นชายาพระอินทร์ ศาลาหลังนั้นก็ตามขึ้นมา มีชื่อบนสวรรค์ว่าศาลาสุธรรมาเหมือนกัน แล้วก็เป็นที่ประชุมของเทวดา เป็นศาลาที่ประดับประดาไปด้วยแก้ว ๗ ประการ มีแท่นเป็นที่ประทับของพระอินทร์สวยสดงดงามมาก


เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัท ประเดี๋ยวก่อน ออกจากศาลาสุธรรมาไปก่อน ไปโน่นซิ ไปสวนจิตรลดาวันภรรยาคนที่ ๒ ไปดูสวนจิตรลดาวัน อ๋อ สวนจิตรเวลานี้พระเจ้าแผ่นดินประทับอยู่ที่เมืองมนุษย์ แต่ว่าคนละสวน ไปว่าถึงนางสุจิตรา คิดว่านางสุธรรมานี่เขาเป็นคนฉลาด เมื่อผัวทำศาลาเขาทำช่อฟ้า ก็ดีแล้วเราไม่มีโอกาส ผู้ชายไม่ชวนเรา แต่ว่าคนมาพักที่ศาลาก็ดี อาบน้ำก็ดี อาจต้องการความสวยงาม ความสดชื่นจากดอกไม้และใบไม้ ฉะนั้น นางจึงใช้คนไปปลูกสวนสาธารณประโยชน์ เมื่อต่างตายจากความเป็นคน ก็มาเป็นชายาของพระอินทร์ เกิดมีสวนจิตรลดาวันขึ้นข้างสระโบกขรณี นี่ว่ากันถึงรายที่ ๒


คราวนี้ ลัดๆ กันไปว่ารายที่ ๓ รายที่ ๓ คือนางสุนันทา นางสุนันทานี่เห็นนางสุจิตราปลูกสวนดอกไม้ เธอก็เอาบ้าง บอกว่าไอ้คนที่มาตามทางมันอาจจะหิว ในเมื่อมีน้ำอาบ มีศาลาพัก มีดอกไม้ทัดทรง แต่ยังไม่มีผลไม้ นางจึงได้ปลูกสวนใหญ่มีผลไม้ทุกประเภทขึ้น ให้เป็นที่อาศัยของคนเดินไปและเดินมา เมื่อเดินมาหิวก็มากินลูกหมากรากไม้ได้หรือไม่อยากนั่งพักในศาลาจะไปเดิน เล่นในสวนก็ได้ เป็นที่สบายใจของคนทั้งหลายที่ผ่านไปผ่านมา เมื่อนางสุนันทาตายแล้วก็ขึ้นมาเป็นชายาของพระอินทร์ แต่ละคนก็มีวิมานคนละหลังๆ เหมือนกัน แล้วก็สวนสุนันทาก็ปรากฏขึ้นทางทิศตะวันออกของเวชยันต์วิมาน


เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน สำหรับสกวันก็ดี ปารุสกวันก็ดี ไม่ปรากฏในบาลีว่ามาจากไหน หรือว่าปรากฏ แต่อาตมาไม่ทราบก็รู้ไม่ได้ เพราะค้นหนังสืออาจจะไม่หมด เป็นอันว่าพูดกันแค่รู้ ว่าอานิสงส์ของความดีทีทำในสมัยเป็นมนุษย์ ปรากฏผลเป็นดังนี้


เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัท มองดูเวลามันก็ใกล้จะหมด หรือว่าย่องหมดไปหน่อยหนึ่งแล้วก็ไม่ทราบ เป็นอันว่าบรรดาท่านพุทธบริษัทที่ติดตามมาก็ดี หรือว่าอยู่ข้างล่างที่รับฟัง เวลานี้ท่องเที่ยวไปในดินแดนของพระอินทร์พลางๆ ก่อน วันพุธหน้าอาตมาจะมาพาท่านพุทธบริษัทไปชมต่อไป สำหรับวันนี้หมดเวลาแล้วก็ต้องขอลากลับ


ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทและพระ คุณเจ้าที่เคารพที่กำลังรับฟัง จงมีแต่ความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล และจงเจริญไปด้วยจตุรพิธพรชัยทั้ง ๔ ประการ มีอายุ วรรณะ สุขะ พละ และปฏิภาณ หากทุกท่านประสงค์สิ่งใด ก็ขอให้ได้สิ่งนั้นสมความปรารถนา สวัสดี…

จาก หนังสือ ไตรภูมิ

by admin admin ไม่มีความเห็น

ยันต์เกราะเพชร

ยันต์เกราะเพชรต่อไปนี้จะอธิบายเรื่องการเป่ายันต์เกราะเพชร (๘ ก.พ. ๒๕๓๕) คือว่าคำว่าเกราะเพชร”ญาติโยมพุทธบริษัทเป็นของที่มีความสำคัญมาก นอกจากจะป้องกันคุณผีคุณคนแล้ว หากว่าทุกคนปฏิบัติได้อย่างเคร่งครัดจะป้องกันได้ทุกอย่างอันตรายจะมีกับท่านได้แต่ทุกคนจะไม่มีอันตราย ทั้งนี้เพราะอะไรเพราะว่าทุกอย่างเข้ามากระทบกระทั่งเขาทุกคนจะมีความรู้สึกว่าเหมือนกับกระทบเบาๆสิ่งที่ปรากฏชัดมาแล้วก็มี ๒ อย่าง คนที่มานั่งที่นี่หลายคนคงประสบมาแล้วนั้นก็คือว่า น้ำมันชาตรีกับมีดหมอ มีดหมอก็เป็นมีดหมอชาตรีคำว่าชาตรีที่มีกำลังเหนือคงกระพัน ในสมัยโบราณเรียกว่าคงกระพันชาตรี คำว่าชาตรีนัยหนึ่งเขาเรียกว่าลูกเบาถ้ากระทบกระทั่งอะไรหนักเข้าหนักๆจะมีความรู้สึกเหมือนของเบา ๆอย่างกับมีหลายคนอย่าง ดร. ปริญญาเธอถูกรถชนกระเด็นไปประมาณ ๓ วา ไม่มีความรู้สึกอะไรเลยและก็มีผู้ชายคนหนึ่งเขียนหนังสือมาแจ้งให้ทราบว่า ไปนั่งมอเตอร์ไซค์ ไปมีรถมาชนเธอรถขาดเป็นสองท่อน ล้อด้านหน้าวิ่งไปทาง ล้อด้านหลังวิ่งไปทาง รถล้มเธอก็ลุกขึ้นปัดฝุ่นแล้วก็เดินผิวปากแล้วก็ตำรวจมาถามว่าศพอยู่ที่ไหนเธอบอกศพก็คือผมเอง นี่เป็นตัวอย่างเบื้องต้นนะทีนี้อันตรายต่าง ๆที่เกิดขึ้นกับ แต่ว่ายันต์เกราะเพชรนี่บรรดาท่านพุทธบริษัทต้องปฏิบัติให้เคร่งครัดคือ
๑. ทุกคนเวลากลางคืนจะต้องสวด อิติปิ โสฯทุกคืนเวลาสวด อิติปิ โสฯ นึกถึงพระพุทธเจ้าท่าน เพราะเวลามาเป่าจริง ๆอาตมาไม่ได้เป่า พระพุทธเจ้าท่านเป่า
และประการที่ ๒ ถ้าจะใช้ของทุกอย่างจะเป็นมีดชาตรีก็ดี พระก็ดี พระทั้งหมดก็เป็นชาตรีเหมือนกันให้ปลุกด้วยคาถาที่เรียกว่า
อิทธิฤทธิ พุทธะนิมิตตังขอเดชะเดชัง ขอเดชเดชะจงมาเป็นที่พึ่งแก่มะอะอุนี้ด้วยเถิด”แล้วก็การเป่าคราวนี้จะทำเป็น ๒ ตอนด้วยกันในตอนแรก จะเป่าคาถายันต์เกราะเพชรเพื่อเป็นการคุ้มครองบรรดาพุทธบริษัทตอนที่สอง จะเป่าคาถามหาลาภคำว่ามหาลาภ นี่หมายความว่าท่านจะมีลาภอยู่เสมอขอให้ทุกคนถ้ายังไม่ได้คาถามหาลาภนี่ให้สังเกตดู
กลางคืนถ้าบูชาพระท่านว่าคาถานี้กี่จบ สมมติว่า ๓ จบ ๕ จบ เป็นต้นหรือ ๙ จบก็ตาม เวลาท่านจะหยิบสตางค์ที่ท่านเก็บไว้ ให้เอามือหยิบสตางค์อย่าเพิ่งนำออกมา ว่าคาถาตามที่ท่านบูชา แล้วนำเงินออกมานับถ้ามันเหลือจะต้องเก็บ เวลาเก็บให้ว่าเท่านั้น ถ้าทำอย่างนี้ทุกคนจะมีเงินไม่ขาดตัวถ้าจิตเป็นฌานจะมีความร่ำรวยมากนี่ ดร. ปริญญาประกาศเมื่อกี้นี้บอกว่าคาถายันต์เกราะเพชรนี่ได้มาจากครูของพระร่วง วันนี้ขอพูดยาวหน่อยนะอาตมาไม่ค่อยสบายมันเป็นโรคเก๊าต์ โรคเก๊าต์ที่ขามันปวดมาก และตอนเช้าแถมเป็นโรคไข้จับสั่นอีกแล้วถ้าพูดไม่ค่อยชัดก็ขออภัยด้วยคาถายันต์เกราะเพชรหลวงพ่อปานเรียกจากหลวงพ่อแจงอาจารย์แจงจากจังหวัดสุโขทัยบอกว่าเป็นคาถายันต์มหาพิชัยสงครามเวลาเขาจะออกสงครามเขาเอาไว้เหนือธงมหาพิชัยสงครามทีนี้ต่อมาก่อนที่อาจารย์แจงจะตาย ๒ ปี ท่านขอยืมตำรามาจากหลวงพ่อปาน ท่านมอบแล้วเมื่อนำไปแล้วไม่ช้าท่านก็ได้ตายท่านสั่งเมียไว้ว่าถ้าใครเอาเอาคาถาบทนี้ให้นำดาบ ๒ เล่มคู่ กับยันต์นี่ออกไปยืนกลางนอกชานแล้วก็ลำดาบถ้าเสียฟ้าผ่าลงไปให้นำไปได้ก็ปรากฏที่พระหลายองค์ที่อยากจะได้คาถาบทนี้ต่างคนก็รำไปก็เหงื่อแต่ก็เอาไปไม่ได้เมื่ออาตมาทราบประวัติแล้วก็คิดว่าคาถาบทนี้เป็นสมบัติของพ่อเรา คือหลวงพ่อปาน เราก็ควรจะได้ ก็ไปกับท่านฤๅษี ๒ องค์ เป็นเพื่อนกัน ไปขอคาถาบทนี้เมียอาจารย์เอาหนังสือมาแจงให้ดู ท่านสั่งบอกว่าถ้าท่านสามารถเอาดาบนี้ไปรำแล้วมีเสียงฟ้าผ่าลงมาจึงจะได้ก็นึกในใจเราเป็นพระมันก็ไม่น่าจะรำได้ก็เลยจุดธูปเทียนขออธิษฐานว่า หากว่ายันต์เกราะเพชรนี้ควรแก่ข้าพเจ้าเมื่อเวลาถือดาบไปที่นอกชานไม่ต้องรำให้มีเสียงฟ้าผ่าลงมาทันทีถ้าดาบนี้ไม่ควรแก่ข้าพเจ้าเมื่อเดินไปกลางนอกชานไม่มีเสียงฟ้าผ่าก็จะไม่เอาผลที่พึงได้ก็คือว่าเมื่อดาบนี้ออกไปแล้วกลางนอกชาน เสียงฟ้าผ่าดังสนั่น ก็เป็นอันว่าไม่ต้องรำก็เลยได้มา ฉะนั้นบรรดาพุทธบริษัททั้งหลายโดยถ้วนหน้าถ้าหากว่าท่านรักษายันต์เกราะเพชรอย่างอ่อนคำว่าอย่างอ่อนคือว่าการรักษาศีล ๒ ข้อข้อที่ ๑ อทินนาทาน อย่าลักขโมยอย่าแย่งปล้นชิงเขา
ข้อที่ ๒ ไม่ดื่มสุราและเมรัยและเวลานี้เขาทำบุญต่างๆ เขาใช้สุราและเมรัยเป็นพื้นฐาน ถ้าเขาเลี้ยงเป็นพิธีไม่เมามาย อย่างนี้ใช้ได้ถ้ารักษาอย่างเข้ม คือขึ้นชื่อว่าว่าศีล ๕ ทั้งหมดเราจะไม่ยอมละเมิดหรือว่าบางข้ออาจจะต้องละเมิด แต่ศีล ๒ ข้อเราไม่ยอมขาดนั้นคือหนึ่งอทินนาทาน สองสุราเมระยะ ฯ แม้แต่งานพิธีเราก็ไม่กิน กินแต่โซดาแทนอย่างนี้ขอรับรองผลว่าไม่ใช่เฉพาะคุณผีคุณคนทุกอย่างที่จะมีอันตรายเกิดขึ้นกับเราได้ แต่อันตรายเกิดขึ้นกับเราได้แต่อันตรายกับเราจะไม่มี อย่างกับคนถูกชนกระเด็นไป ๓ – ๔ วาเขามีแค่ช้ำนิดหน่อย คนคิดว่าตาย อย่างกับคนที่เขานั่งรถมอเตอร์ไซค์ไปถูกชนล้อหลุดไปสองข้างรถล้ม เขาลุกขึ้นมามือปัดฝุ่น แล้วเธอบอกศพคือผมเองแล้วก็มีรายหนึ่งอยู่ไม่ไกลอยู่บ้านทุ่งนานี่เองแกล้างปืนเสร็จแล้ว ลูกขึ้นลำปืน ๑๑ มม.นะโยมนะ ลูกสาวถามว่ามีกระสุนไหมแม่ลืมไปบอกว่าไม่มี ลูกสาวก็เลยลองเอานกสับปืนก็ลั่นปังไปโดนแม่ โดนข้างหลังมันก็น่าตาย แต่แม่มีความรู้สึกมีท่อนอะไรเล็ก ๆ มาถูกหลังเท่านั้นเองอันตรายไม่มีคาถาปลุกพระนี่น้ำมันชาตรีเป็นอันว่าน้ำมันชาตรีก็ดี มีดหมอชาตรี ให้ทุกคนติดตัวไว้ และจงอย่าลืมว่าตอนเช้าให้ปลุกด้วยคาถา อิทธิฤทธิ พุทธะ นิมิตตัง ขอเดชะเดชัง ขอเดชเดชะจงมาเป็นที่พึ่งแก่มะอะอุนี้ด้วยเถิดเวลาก่อนจะเดินทางหรือว่าจะไปไหนให้ภาวนาว่า พุทโธ หายใจเข้านึกว่า พุท หายใจออกว่า โธ สัก ๓ ครั้งแล้วกลืนน้ำลายไปครั้งหนึ่ง แล้วว่าอีก ๓ ครั้ง กลืนน้ำลายอีกครั้งหนึ่งถ้าอย่างนี้วันนั้นทั้งอันตรายจะไม่มีกับท่าน เวลาจะว่าคาถาพุทโธก็ดี อิติปิ โส ฯก็ดี อิทธิฤทธิ ฯ ก็ดี ให้นึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นประธานและนึกถึงหลวงพ่อปานเป็นที่สุดฉะนั้น วันนี้ จะทำเป็น ๒ อย่างนะ อันดับแรกจะเป็นคาถายันต์เกราะเพชร อันดับที่ สอง จะเป็นคาถามหาลาภให้นึกถึงสตางค์ในกระเป๋าท่านนึกถึงกระเป๋าสตางค์ที่เหน็บที่บ้านนึกถึงตัวเองว่าขอให้มีลาภสักการะเสมอไป<o


เวลาสตางค์ไปถึงบ้านเก็บสตางค์ อย่าลืมนะโยม สวดมนต์กลางคืนกี่จบต้องว่า คาถาเงินล้าน ทั้งจบนะสมมุติว่า ๓ จบ เอาเงินเข้าวางแล้วอย่าเพิ่งปล่อยมือ ถือไว้ก่อนว่าคาถา ๓ จบ แล้วปล่อยมือ<o

เวลาใช้เอามือจับสตางค์อย่าเพิ่งนำออกมา ว่าคาถา ๓ จบ แล้วนำออกมา มานับตามที่เราต้องการใช้ ถ้าเหลือ เวลาเก็บให้ว่า ๓ จบ ถ้าทำอย่างนี้ทุกคนไอ้ภาษี ๗ เปอร์เซ็นต์นี่ไม่หนักใจญาติโยม ภาษีมูลค่า ๗ เปอรเซ็นต์ไม่หนักใจหรอกเรามีเงินมากกว่าเป็นอันว่าเรามีเงินไม่ขาดสาย
ต่อไปนี้ขอบรรดาญาติโยมทั้งหลายตั้งใจสมาทานศีล ๕ แล้วก็สมาทานกรรมฐาน

แต่ยังก่อนนะโยมนะ สมาทานกรรมฐานนี่หมายความว่าถ้าเราภาวนา พุทโธ หรืออะไรก็ตาม แม้จะนั่งชั่วขณะเวลา ๑ นาที ๒ นาที ๓ นาทีก็ตามจะสามารถป้องกันนรกได้ เพราะบทที่เราให้ทั้งหมดตั้งแต่ นะโม ตัสสะฯ พุทธัง ธัมมังสังฆังฯ และศีล ๕ เป็นต้นทั้งหมดนี้เป็นองค์พระโสดาบัน

อารมณ์พระโสดาบัน

ท่านอย่าลืมว่าพระโสดาบันน่ะไม่มีอะไรมากคือ
เคารพพระพุทธเจ้า
เคารพพระธรรม
เคารพพระอริยสงฆ์ และก็
มีศีล ๕ บริสุทธิ์ และก็
จิตตั้งใจไว้เฉพาะพระนิพพาน
ถ้าทุกคนมีศีล ๕ บริสุทธิ์และหวังนิพพาน อย่างนี้เรียกว่าพระโสดาบัน เป็นของไม่ยาก
ถ้าเป็นพระโสดาบันแล้วบาปเก่าๆ ทั้งหมดที่ทำมาแล้วทั้งหมดไม่สามารถจะนำเราลงอบายภูมิได้ มีทางเกิดเฉพาะสวรรค์ กับโลกมนุษย์
ถ้าอย่างอ่อน เกิดในสวรรค์ ๗ ครั้ง เกิดในมนุษย์โลกเกิดเป็นมนุษย์ ๓ ครั้งไปนิพพาน ถ้าอย่างเข้มไปเกิดบนสวรรค์ครั้งเดียวแล้วมาเกิดเป็นมนุษย์ แล้วไปนิพพาน

ที่มา :ธรรมปฏิบัติเล่ม ๑๕ โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน
(พระมหาวีระ ถาวโร) วัดจันทาราม จ.อุทัยธานี

Top